บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1406 ถูกพาตัวด้วยไปกำลัง
บทที่ 1406 ถูกพาตัวด้วยไปกำลัง
การถกวิถีเต๋านี้ กินเวลาไปถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ก่อนที่มันจะสิ้นสุดลง
เหล่าสมาชิกของพันธมิตรดาราต่างยังรู้สึกไม่พอใจ พวกเขาล้วนขอให้เฉินซีอยู่ต่ออีกสักพักหนึ่ง เพราะประโยชน์ที่ได้รับภายในเจ็ดวันนี้ มากมายมหาศาลยิ่งกว่าการค้นพบด้วยตนเองเสียอีก
แต่เฉินซีปฏิเสธ เพราะตนยังมีธุระที่ต้องจัดการ เนื่องจากสัญญาที่ให้ไว้กับจั่วชิวไท่อู่เมื่อกลับจากแดนโบราณจักรพรรดิเต๋า ทว่ามันกลับล่าช้ามาจนถึงตอนนี้ เนื่องจากมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจะกล้าล่าช้าอีกต่อไปได้อย่างไร?
นอกจากนี้ จั่วชิวไท่อู่ยังเป็นผู้อาวุโสที่ปลีกวิเวกอย่างสันโดษ และมีความอาวุโสที่สูงมาก ที่สำคัญชายชรายังเคยช่วยชีวิตเฉินซีในสมรภูมินอกพิภพในการสอบของฝ่ายใน ดังนั้นชายหนุ่มจะกล้าละเลยผู้มีพระคุณได้อย่างไร
ร่างสูงใหญ่จากไปด้วยความรู้สึกโล่งใจ เพราะภัยร้ายภายในพันธมิตรดาราได้ถูกคลี่คลายอย่างสมบูรณ์ ในช่วงเจ็ดวันของการถกวิถีเต๋า
ซึ่งเขาก็เชื่อมั่น ว่าหลังจากที่พันธมิตรดาราได้รับบทเรียนกับหายนะที่เกือบจะเกิดขึ้นครั้งนี้ มันจะแข็งแกร่งขึ้น แม้จะมีคนเช่นหวังจือเป่ยอีกสักสิบคน แต่สถานการณ์อย่างเจ็ดวันที่แล้ว จะไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน
นี่คือเป้าหมายที่เฉินซีทำการถกวิถีเต๋าเป็นเวลาเจ็ดวัน
ตอนนี้เขาบรรลุเป้าหมายแล้ว ดังนั้นจึงตรงไปหาจั่วชิวไท่อู่ทันที
…
ฟิ่ว!
ร่างสูงใหญ่ทะยานอยู่ใต้ผืนฟ้า
เฉินซียังคงจำที่หวังต้าวหลูเคยบอกไว้ได้ดี ถ้าจะไปหาจั่วชิวไท่อู่ ก็ควรแจ้งให้เขาทราบก่อน ซึ่งชายหนุ่มก็รับรู้ถึงเจตนาดีของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
เนื่องจากเป็นที่รู้กันทั่ว ว่าผู้สืบทอดของตระกูลจั่วชิว จั่วชิวคงได้เสียชีวิตด้วยน้ำมือของตน ยิ่งไปกว่านั้น ทั่วทั้งภพเซียนก็ทราบดีว่าเขากับตระกูลจั่วชิวเป็นเหมือนน้ำกับไฟ ให้ตายก็ไม่มีวันไม่มีวันญาติดีกันได้
นั่นรวมถึงการตายของราชันเซียนจั่วชิวหลิงหงด้วย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จั่วชิวไท่อู่ ผู้อาวุโสที่มีอิทธิพลค่อนข้างมากในตระกูล กลับเชื้อเชิญเฉินซี จึงอดคลางแคลงใจไม่ได้
ข้าสงสัยว่าจั่วชิวไท่อู่จะมีการบ่มเพาะเช่นใด น่าเสียดายที่อาจารย์ใหญ่ฉือฉางเซิงนั้นอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะ มิฉะนั้น คงจะดีกว่า หากขอให้เขาไปหาจั่วชิวไท่อู่กับข้า… ในขณะที่บิน เฉินซีก็ครุ่นคิดในใจเงียบ ๆ
โอม!
จู่ ๆ ก็เกิดกระแสพลังผันผวนในอากาศ ทันใดนั้น เฉินซีรู้สึกว่าฟ้าดินอันกว้างใหญ่ ได้ตกอยู่ในสภาวะหยุดนิ่ง!
เวลา มิติ กระแสลม… ทุกอย่างถูกแช่แข็ง!
ขอบเขตราชันเซียน!
การจะทำเช่นนี้ได้ ย่อมเป็นฝีมือของตัวตนสูงสุดที่ขอบเขตราชันเซียนอย่างแน่นอน
เฉินซีหรี่ตาลง ทั้งที่ข้าอยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แต่ผู้ใดกลับทำเช่นนี้?
“เจ้าหนู ไม่ต้องตกใจ มาเถอะ” เสียงสูงวัยดังก้องในหู ทำให้หัวใจกระตุกวูบ และระบุตัวตนของบุคคลนี้ได้ทันที! แต่ก่อนที่จะได้ขัดขืน ก็รู้สึกว่าร่างกายถูกเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติอย่างควบคุมไม่ได้ด้วยพลังมหาศาล
เพียงชั่วพริบตา ร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นภายในห้องโถงที่ว่างเปล่าแล้ว
มีเพียงชายชรากำลังนั่งตัวตรงบนเก้าอี้ตรงกลางห้องโถง ดวงตาขุ่นมัวดูเหมือนจะหลับใหล ในขณะที่ร่างกายแผ่กลิ่นอายอันเงียบสงบที่ลึกล้ำราวกับก้นบึ้ง
ชายชราคนนี้คือจั่วชิวไท่อู่!
หัวใจของเฉินซีดิ่งลงฉับพลัน เขาไม่คาดคิดเลยว่า อีกฝ่ายจะพาตนมาที่นี่ด้วยกำลัง ก่อนที่เขาจะทำการขอความช่วยเหลือจากหวังต้าวหลูเสียอีก
การกระทำดังกล่าว ทำให้ความหวาดระแวงในหัวใจของเฉินซีเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดในทันที
สำหรับเฉินซี จั่วชิวไท่อู่คือบุคคลที่ปกปิดความแข็งแกร่งของตนเอง และมีเพียงตระกูลจั่วชิวในหัวใจ
แต่ในขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็เป็นปัญหา เพราะเขากำลังวางแผนที่จะแก้แค้นตระกูลจั่วชิว ดังนั้น จั่วชิวไท่อู่จะนิ่งเฉยได้อย่างไร?
ความคิดเหล่านี้แวบขึ้นมาในจิตใจ ก่อนจะประสานมือโค้งคำนับ “ผู้น้อยเฉินซี ขอคารวะต่อผู้อาวุโส”
“ไม่ต้องมากพิธี นั่งเถอะ” จั่วชิวไท่อู่กล่าว ใบหน้าสูงวัยถูกปกคลุมด้วยท่าทางที่สงบ และไม่อาจแยกแยะอารมณ์ใด ๆ ได้ แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เฉินซีก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นมากขึ้น
ชายหนุ่มแอบหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับพยายามสงบสติอารมณ์อย่างเต็มที่ แล้วหย่อนกายนั่งลง
“เจ้าหนู เจ้าตั้งใจจะผิดสัญญาหรือ?” จั่วชิวไท่อู่มองด้วยความขุ่นเคือง น้ำเสียงปรากฏร่องรอยของความไม่พอใจเล็กน้อย
ร่องรอยของความไม่พอใจนี้เองที่ทำให้เส้นประสาทของเฉินซีผ่อนคลายลงอย่างมาก
ชายหนุ่มรีบอธิบายทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
“โอ้” จั่วชิวไท่อู่อุทานออกมา แต่ไม่สามารถแยกแยะอารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ จากใบหน้าได้ “ดูเหมือนว่าข้าจะเข้าใจเจ้าผิด อย่าตำหนิข้าที่พาเจ้ามาที่นี่ด้วยกำลังเลย เรื่องนี้เร่งด่วนนัก”
หัวใจของเฉินซีสั่นไหว เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะเข้าประเด็นสำคัญ
ทันใดนั้น ร่างโงนเงนของจั่วชิวไท่อู่ก็ยืดตรง ดวงตาที่ขุ่นมัวก็สว่างไสวและชัดเจน ราวกับสายฟ้าเย็นเฉียบสองสายฉีกผ่านม่านราตรี ซึ่งทำให้จิตวิญญาณสั่นคลอนและตกตะลึงอย่างยิ่ง
เขาเป็นเหมือนเทพเจ้าโบราณที่ตื่นจากการจำศีล ทุก ๆ การเคลื่อนไหวนั้นเปล่งกลิ่นอายแห่งการครอบงำมหาศาล ซึ่งน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
“ข้าทราบดีถึงความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเจ้ากับตระกูลจั่วชิว ครั้งนี้ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพียงเรื่องเดียว ข้าหวังว่าเจ้าจะแสดงความเมตตาและประนีประนอมได้” จั่วชิวไท่อู่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“ตราบใดที่เจ้าตกลง ข้าสามารถรับประกันความปลอดภัยของมารดาเจ้า และอนุญาตให้เจ้าทั้งคู่ได้พบกัน”
เขาพลันกล่าวต่อทันที “ตระกูลจั่วชิวตกอยู่ในความปั่นป่วนไม่ได้แล้ว! กลียุคของสามภพที่ใกล้เข้ามา หากตระกูลจั่วชิวยังตกอยู่ในความปั่นป่วน คนในตระกูลจะต้องประสบกับภัยพิบัติอย่างแน่นอน และเมื่อนั้น รากฐานของตระกูลจะสั่นคลอน! ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม เลือดครึ่งหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ในกายก็เป็นของตระกูลจั่วชิว และข้าจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด!”
ทันทีที่สิ้นคำกล่าว เขาก็มองเฉินซีเงียบ ๆ เพื่อรอคำตอบ
ห้องโถงเงียบสงัด มีเพียงเสียงของชายชราเท่านั้นที่ยังคงก้องกังวานไปรอบ ๆ ทุก ๆ คำพูดแฝงแรงกดดันที่ส่งผลกระทบต่อหัวใจโดยตรง
เฉินซียังคงเงียบ สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่แน่นอน
จั่วชิวไท่อู่ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขาต้องการเพียงคำตอบเท่านั้น ดังนั้นเฝ้ารออย่างอดทนและให้เวลาอีกฝ่ายได้ไตร่ตรอง
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าจะกลับมามั่นคงและสงบอีกครั้ง ทำให้จั่วชิวไท่อู่ไม่สามารถสัมผัสถึงอารมณ์ที่แท้จริงของเฉินซีได้อีกต่อไป
ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้จั่วชิวไท่อู่มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแล่นพล่านไปทั่วหัวใจ
ชายชราจึงขมวดคิ้วและรีบกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เจ้ารู้หรือไม่ การตายของคงเอ๋อร์และบรรพจารย์หลิงหงได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อตระกูลจั่วชิวแค่ไหน? ปัจจุบัน มีความขัดแย้งมากมายเกิดขึ้นและเมื่อมันปะทุจนถึงขีดสุด จะไม่มีใครรอดพ้น รวมถึง… มารดาของเจ้าด้วย!”
แต่น่าเสียดาย ที่เขาต้องผิดหวัง เพราะกล่าวถึงขนาดนี้ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงร่องรอยของอารมณ์ที่ผันผวนบนใบหน้าของเฉินซีได้เลย
“ผู้อาวุโส ข้าชื่นชมท่านจริง ๆ ที่คิดอ่านแทนตระกูลจั่วชิวถึงเพียงนี้ แต่ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลย” เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบเช่นเดียวกับสีหน้า “เพราะท่านมองจากมุมมองของตระกูลจั่วชิว แต่ท่านไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของข้าเลย”
จั่วชิวไท่อู่ขมวดคิ้ว ความเศร้าโศกปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่น ทำให้บรรยากาศภายในห้องโถงที่ว่างเปล่านั้นกดดันและเงียบงันยิ่งขึ้น แม้แต่อากาศก็ใกล้จะถึงจุดเยือกแข็งแล้ว
ทว่าเฉินซียังคงกล่าวอย่างใจเย็น “นับตั้งแต่วันที่ข้าเกิด ตระกูลของข้าก็ถูกสังหารอย่างโหดร้าย มีเพียงท่านปู่ บิดามารดา และน้องชายของข้าเท่านั้นที่ยังคงอยู่”
“แต่ไม่กี่ปีหลังจากนั้น บิดามารดาของข้าก็หายตัวไป เหลือเพียงท่านปู่และน้องชายที่ต้องพึ่งพาอาศัยเพื่อความอยู่รอด เราต้องพบกับความอัปยศอดสู คำเยาะเย้ย และการดูถูกนับไม่ถ้วนทุกคืนวัน”
“ท่านคงไม่รู้ แต่ข้าต้องอดทนกับชีวิตแบบนี้มานานกว่าสิบปี พวกเขาเรียกข้าว่าเฉินหน้าตายหรือตัวซวยบ้าง และรู้สึกว่าข้าเป็นสาเหตุของภัยพิบัติทั้งหมดนี้ ถึงขนาดที่… แม้แต่ท่านปู่ก็สงสัยว่าข้าอาจโชคร้ายเกินไป…”
เฉินซีเล่าเรื่องราวทุกอย่างในอดีตด้วยน้ำเสียงสงบ ไม่มีความโกรธหรือความเจ็บปวดใด ๆ มีแต่ความชินชาเท่านั้น
“ต่อมาท่านปู่ก็ประสบคราวเคราะห์และเสียชีวิตไป ในขณะที่น้องชายของข้าแขนพิการ ในเวลานั้น ข้ารู้สึกว่าโลกกำลังพังทลาย และแม้แต่ข้าก็สงสัยว่าตัวเองเป็นตัวซวยที่นำหายนะมาสู่ตระกูล… จนกระทั่งทุกวันนี้ ข้ายังคงรู้สึกหวาดกลัวกับความเจ็บปวดนั้น และไม่มีทางที่จะขจัดออกไปได้”
“หลังจากนั้น ข้าก็พบร่องรอยแห่งความหวัง ข้าพบว่าบิดามารดาของข้ายังมีชีวิต และรู้ว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังการกวาดล้างตระกูลเฉินของข้า ดังนั้น… ข้าจึงบ่มเพาะ และทุ่มเททุกวิถีทางเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น ข้าไม่กล้าพอใจในตัวเอง ไม่กล้าหย่อนหยาน และไม่กล้าเสียเวลาหรือโอกาสที่จะแข็งแกร่งขึ้น ข้าไม่กล้า…”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ จู่ ๆ เฉินซีก็ยิ้มบาง ๆ ดวงตาก็เปล่งประกายด้วยแสงที่เจิดจ้าอย่างยิ่ง “ท่านก็เคยเห็นมันเช่นกัน ปัจจุบัน ข้ามีพลังเพียงพอที่จะคุกคามตระกูลจั่วชิวได้แล้ว และใกล้จะบรรลุความปรารถนาของข้า… ท่านคิดว่าข้าจะยอมแพ้ในเวลาเช่นนี้หรือ?”
“ไม่!” ทันใดนั้น น้ำเสียงของเฉินซีก็เด็ดเดี่ยว แน่วแน่และหนักแน่น ทั้งยังมีกลิ่นอายที่เย่อหยิ่งในตัวเอง “ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่สามารถทำให้ข้ายอมแพ้ได้ มิฉะนั้น ข้าจะผิดต่อคนในตระกูลที่ล่วงลับไปแล้ว ผิดต่อท่านปู่ของข้า และ… ผิดต่อตัวเองที่สุด!”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เฉินซีเม้มริมฝีปากแน่นและนิ่งเงียบ สีหน้ากลับมาสงบอีกครั้ง
ในทางกลับกัน ใบหน้าของจั่วชิวไท่อู่นั้นมืดมนอย่างมาก ดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนมากมาย มีเพียงเสียงของเฉินซีที่ยังคงดังก้องอยู่ในห้องโถงที่ว่างเปล่า
หลังจากเงียบอยู่นาน จั่วชิวไท่อู่ก็หายใจเข้าลึก ๆ แล้วถอนหายใจ สีหน้าของเขาก็ซับซ้อนมาก แต่ไม่รู้ว่าถอนหายใจต่อชะตากรรมที่อาภัพของเฉินซี หรือรู้สึกเศร้้าโศกต่อเวรกรรมและความเกลียดชังที่ฝังแน่นมานานแล้วกันแน่
ในท้ายที่สุด ชายชราก็มองเฉินซีด้วยดวงตาที่เย็นชาและไม่แยแส “ใจข้ามีแต่ผลประโยชน์ของตระกูลจั่วชิวเท่านั้น ดังนั้นขอถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้า… จะเปลี่ยนใจหรือไม่?”