บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1409 ตรวนแห่งภัยพิบัติ
บทที่ 1409 ตรวนแห่งภัยพิบัติ
หลังจากที่หัวเจี้ยนคงจากไปแล้ว เฉินซีก็ตรงไปยังห้องกระบี่ทันที
ตอนนี้ใจข้ามีเพียงความปลอดภัยของท่านแม่เท่านั้น ข้าสงสัยเหลือเกินว่าการตัดสินใจของข้าในครั้งนี้จะทำให้จั่วชิวเฟิงเริ่มเปิดหน้าฉากความขัดแย้งภายในตระกูลจั่วชิวอย่างไม่สนอะไรทั้งนั้นหรือไม่… ในขณะที่เฉินซีกำลังนั่งขัดสมาธิในห้องกระบี่ หัวใจของเขาไม่อาจสงบลงได้เลย
ชายหนุ่มตระหนักดีว่าคำพูดที่จั่วชิวไท่อู่เอ่ยก่อนหน้านี้เป็นการกระทำแทนคนตระกูลจั่วชิวอย่างแน่นอน และเมื่อตอนนี้เขาได้ทำข้อตกลงกับจั่วชิวไท่อู่แล้ว คนผู้นั้นจะต้องมีปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ไม่ผิดแน่
ด้วยวิธีนี้ จั่วชิวเสวี่ย มารดาของเขาจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้
ถึงอย่างนั้น เฉินซีก็ตระหนักดีว่าการที่มารดาสามารถรอดชีวิตได้มาจนถึงทุกวันนี้ ย่อมแปลว่านางจะต้องไม่เป็นอะไรไปโดยง่ายอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่จั่วชิวไท่อู่เคยพูดไว้ ปัจจุบันตระกูลจั่วชิวถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งนำโดยจั่วชิวเฟิง ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งมีผู้นำคือจั่วชิวเสวี่ย มารดาของเขา
ความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายนี้กินระยะเวลามานานมากแล้ว มันเกิดขึ้นก่อนที่เฉินซีจะลืมตาดูโลกเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่จั่วชิวเสวี่ยยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ก็แสดงให้เห็นว่านางมีพลังเพียงพอที่จะหย่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวในแก่ฝ่ายจั่วชิวเฟิง
ดูเหมือนเวลาที่เหลืออยู่จะเริ่มน้อยลงทุกที ข้าต้องจัดการกับเรื่องทั้งหมดนี้อย่างเหมาะสมก่อนที่ความขัดแย้งในตระกูลจั่วชิวจะปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์… เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก และคิดไม่ตก หนึ่งเดือนต่อจากนี้ ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะไปเข้าหาหัวเจี้ยนคงและรีบกลับไปยังภพมนุษย์เพื่อเตรียมการอย่างเหมาะสมสำหรับเฉินฮ่าว น้องชายของเขา รวมถึงคนอื่น ๆ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาหมดซึ่งความเป็นห่วงกังวลต่อครอบครัวของตน เมื่อถึงยามที่ต้องเผชิญหน้ากับตระกูลจั่วชิว
ส่วนท่านพ่อ… เฉินซีนึกถึงเฉินหลิงจวินขึ้นมาไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่ผ่านเข้ามาโดยไม่มีเหตุผล จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับบิดาแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้เขาเผลอถอนใจออกมาอย่างลืมตัว
ชายหนุ่มคิดว่าด้วยชื่อเสียงที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งภพเซียน ถ้าเฉินหลิงจวินยังมีชีวิตอยู่ในภพเซียนจริง มีหรือที่เขาจะไม่มาที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเพื่อพบกับลูกชายของตน?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาไม่ได้อยู่ในภพเซียนอีกต่อไปแล้ว? หรือบางทีอาจจะยังมีความลับอื่น ๆ ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็เป็นได้ ไม่ว่าจะคิดไม่ในทางไหน เฉินซีทำได้เพียงส่ายหน้าเพื่อสลัดความกังวลนั้นออกไป
…
“เฉินซียังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ!” ภายในห้องโถงที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตร จั่วชิวเซิงเจ้าของสีหน้าหม่นทุกข์ตะโกนลั่นทั้งกรามที่ขบแน่น เสียงที่เร้นลอดจากไรฟันเผยให้เห็นถึงความตกใจ ความสับสน และความโกรธเกรี้ยวอันยากจะระงับ
“เกินอันใดขึ้น? เจ้าได้พบกับท่านบรรพจารย์อาวุโสไท่อู่หรือไม่? เขาอธิบายว่าอย่างไร?” สีหน้าของจั่วชิวหงเคร่งเครียดลงในพลัน เขารัวคำถามออกไปด้วยความตกใจสุดขีด
“ท่านบรรพจารย์อาวุโสไท่อู่… เข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะแล้ว!” จั่วชิวเซิงกระซิบแหบพร่าทั้งใบหน้าซีดเซียว “นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าท่านบรรพจารย์อาวุโสไท่อู่ไม่ได้เลือกสิ่งที่ถูกต้องอย่างที่ท่านบรรพจารย์หวงหลินได้ชี้ทางไว้!”
“บ้าเอ๊ย! ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้? ด้วยนิสัยของท่านบรรพจารย์อาวุโสไท่อู่ ท่านไม่มีทางจะปล่อยเฉินซีไปง่าย ๆ เช่นนี้แน่ หรือว่าจะมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น?” หัวใจของจั่วชิวหงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย เขารอให้ข่าวการตายของเฉินซีแพร่กระจายภายในสำนักศึกษาอย่างใจจดใจจ่ออยู่หลายวัน ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ได้กลับเป็นข่าวร้าย!
“ไม่ใช่เพียงแค่นั้นนะ ข้าได้ยินมาว่าตอนที่ท่านผู้นำตระกูลไปพบจั่วชิวเสวี่ยที่คุกเนตรเซียน นางก็ปฏิเสธความหวังดีที่ท่านมอบให้” หัวใจของจั่วชิวเซิงหนักอึ้ง แสงเยือกเย็นสะท้อนภายในดวงตา “ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ไม่ว่าจะเฉินซีหรือจั่วชิวเสวี่ย พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับท่านผู้นำตระกูลอย่างถึงที่สุด!”
จั่วชิวหงชะงักไปเมื่อได้ฟังเช่นนั้น เขาเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรต่อไปดีเล่า?”
จั่วชิวเซิงตอบอย่างกระวนกระวายใจ “อย่างพวกเราจะไปทำอะไรได้อีก? มาเถอะ ไปรายงานเรื่องนี้ต่อท่านผู้นำตระกูลก่อน เรื่องราวจะเป็นไปในทางไหนก็ต้องให้ท่านเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็เดาว่า… ความขัดแย้งภายในตระกูลที่สั่งสมมานานหลายปีคงถึงคราวปะทุขึ้นแล้ว!”
ความขัดแย้งภายในตระกูล! ดวงตาของจั่วชิวหงหรี่ลง เขาถอนหายใจออกมายาวเหยียด “หรือจริง ๆ แล้ว เราควรจะจัดการพวกมันไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน…”
จั่วชิวเซิงตะคอกเสียงโกรธ “พอแล้ว! อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีก!”
…
ณ คุกเนตรเซียน
ภายในพื้นที่มิติแปลกตาที่ทับซ้อนไปด้วยภูเขาอันอุดมสมบูรณ์ ธารใส รั้วไม้ไผ่ และเรือนหลังหนึ่ง
ตามปกติแล้วจั่วชิวเสวี่ยมักจะยืนอยู่ในลานเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยรั้วไม้ไผ่ นางชอบทอดสายตาไปยังภูเขาอันเขียวชอุ่มซึ่งปกคลุมไปด้วยหมอกหนาที่อยู่ห่างไกลออกไปเงียบ ๆ บนช่องว่างระหว่างคิ้วที่คมเข้มดังหมึกชั้นดีแต่งแต้มด้วยความสงบนิ่ง
หากเฉินซีอยู่ที่นี่ คงจะสังเกตเห็นได้อย่างแน่นอนว่าใบหน้าของเขานั้นคล้ายคลึงกับผู้เป็นมารดาถึงเจ็ดส่วนเลยทีเดียว กลิ่นอายแห่งความสุขุมและเงียบขรึมเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
“อาเสวี่ย” เสียงแหบแห้งทว่าทุ้มต่ำดังก้อง พร้อมกันนั้น ชายชราเท้าเปลือยเปล่าในชุดผ้าป่านก็ปรากฏขึ้นจากอากาศบางเบา เขาเป็นชายที่มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา ผิดกับท่าทีที่หนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าภูผา
น่าตกใจที่เขาคือจั่วชิวเฟยหมิง ผู้อาวุโสจากตระกูลจั่วชิว!
นับตั้งแต่จั่วชิวเสวี่ยถูกขังไว้ที่นี่ จั่วชิวเฟยหมิงก็กลายเป็นกลุ่มที่ต่อต้านจั่วชิวเฟย ผู้นำตระกูลจั่วชิวแทน
หากให้นับแล้ว สถานะของจั่วชิวเฟยหมิงนั้นเทียบเท่ากับจั่วชิวหวงหลินเลยทีเดียว เขาสนับสนุนจั่วชิวเสวี่ยเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายสนับสนุนจั่วชิวเฟิง
“ท่านอาสาม ในที่สุดท่านก็มา” จั่วชิวเสวี่ยหมุนตัวกลับมาด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ “ดูเหมือนว่าความขัดแย้งภายในตระกูลใกล้จะปะทุแล้ว”
จั่วชิวเฟยหมิงขมวดคิ้ว “เจ้าพูดถูกแล้ว น่าเสียดายที่เวลาของเขามีน้อยเกินไป หากเรื่องเช่นว่านี้เกิดขึ้น กำลังที่เรามีอยู่ตอนนี้ยังคงด้อยกว่าคนเหล่านั้นอยู่พอสมควร”
ผู้เป็นหลานสาวยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้าได้ยินมาว่าผลงานของซีเอ๋อร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ช่างเยี่ยมยอดนัก”
เมื่อชื่อของเฉินซีปรากฏขึ้นในบทสนทนา ก็คล้ายว่ารอยยิ้มที่หาชมได้ยากพลันปรากฏขึ้นบนมุมปากของชายชรา เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “ใช่แล้ว ชื่อเสียงของเขาในภพเซียนไม่ต่างอันใดกับดวงตะวันที่แผดจ้ากลางฟ้าคราม ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้”
ครั้นจั่วชิวเสวี่ยได้ยินอาสามของตนชื่นชมบุตรชาย รอยยิ้มของนางก็ผลิแย้มเช่นกัน มันเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ “แน่นอน ก็เขาคือลูกชายของหลานกับเฉินหลิงจวินนี่นะ” นางพูดทั้งแววตาสดใส
จั่วชิวเฟยหมิงยิ้มและพยักหน้า “ครั้งนี้ข้ามาที่นี่ก็เพื่อบอกเจ้าว่าเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของซีเอ๋อร์ ก่อนจะมาถึงที่นี่ ข้าได้รับข่าวว่าบรรพบุรุษจั่วชิวไท่อู่ไม่ได้ลงมืออันใดกับเขา”
จั่วชิวไท่อู่? สีหน้าของจั่วชิวเสวี่ยคล้ายจะซับซ้อนขึ้นถนัดตาเมื่อได้ยินชื่อนี้ ราวกับมันเป็นนามที่นางทั้งชื่นชมและชิงชังในคราวเดียวกัน “เมื่อหลายปีก่อน หากไม่ใช่เพราะความลังเลของเขา จั่วชิวเฟิงก็คงต้องจ่ายหนักกว่านี้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล และเขาก็คงจะไม่มีวันได้ในสิ่งที่วาดฝันไว้ น่าเสียดายที่ในใจของคนผู้นั้น ทั้งความเป็นปฏิปักษ์และความขัดแย้งล้วนไม่อาจเทียบเท่าได้กับผลประโยชน์ของตระกูลจั่วชิว” นางพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน
จั่วชิวเฟยหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ต้องยอมรับว่าเป็นเพราะไท่อู่ เราจึงสามารถต่อต้านจั่วชิวเฟิงและหลีกเลี่ยงจากหายนะมาได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
จั่วชิวเสวี่ยพยักหน้า “นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าเกลียดเขาก็ไม่ได้ รักเขาก็ไม่ลง ความตั้งใจของท่านบรรพบุรุษหวงหลินที่จะยืมมือของท่านบรรพจารย์อาวุโสไท่อู่ฆ่าซีเอ๋อร์นั้นเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมเกินไปจริง ๆ ข้าประเมินความสามารถของเขาต่ำเกินไป โชคดีที่สุดท้ายเรื่องไม่เป็นไปตามแผนการของเขา จริงสิ ท่านบรรพจารย์อาวุโสไท่อู่น่ะลังเลมาหลายปีแล้ว ครั้งนี้ข้าหวังว่าเขาจะมีจุดยืนชัดเจนได้เสียที”
ชายชราส่ายหน้า “ตามข้อมูลที่ข้าได้รับมา ไท่อู่นั้นปิดด่านบ่มเพาะแล้ว บางทีเขาอาจจะผิดหวังกับสภาพของตระกูลเราในตอนนี้อยู่ไม่น้อย”
ครั้นพูดจบ เสียงถอนหายใจก็ล่องลอยไปตามลม
ทั้งจั่วชิวหวงหลิน จั่วชิวชิวไท่อู่และเขาเป็นที่อยู่ในลำดับตระกูลชั้นเดียวกัน พวกเขามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในตระกูลจั่วชิว ทว่าน่าเสียดายที่คนทั้งสามมีจุดยืนที่แตกต่างกัน
จั่วชิวหวงหลินสนับสนุนจั่วชิวเฟิงให้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล
จั่วชิวไท่อู่ไม่สนใจเรื่องการเมืองภายในเหล่านี้ เขาเลือกที่จะถอนตัวออกจากความขัดแย้งและอยู่อย่างสันโดษภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
ในขณะที่เขา จั่วชิวเฟยหมิงเลือกที่จะสนับสนุนจั่วชิวเสวี่ย และช่วยนางทวงคืนทุกสิ่งที่สูญเสียไปเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งนั่นรวมไปถึงการต่อต้านฝ่ายของจั่วชิวเฟิงด้วย
หลังจากผ่านไปหลายปี ความขัดแย้งนี้ก็ใกล้จะปะทุขึ้นแล้ว ทว่าจั่วชิวไท่อู่ก็ยังเลือกที่จะปิดด่านบ่มเพาะ นั่นทำให้จั่วชิวเฟยหมิงอดไม่ได้ที่จะถอนใจ เหตุการณ์นี้ช่างคล้ายกับเมื่อหลายปีก่อนจริง ๆ!
“ท่านอาสาม แล้วผู้เฒ่าในตระกูลผู้ขี้เซาคนนั้นเล่า?” จั่วชิวเสวี่ยถามขึ้น
จั่วเฟยหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาส่ายหัวเบา ๆ “สถานการณ์ไม่ดีนัก ข้าไม่สามารถติดต่อกับท่านบรรพบุรุษเป่ยหยงได้เลย ข้าเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทั้งอาเฟิงและหวงหลินน่าจะได้ทำข้อตกลงบางอย่างกับท่านแล้ว”
บรรพบุรุษเป่ยหยง!
สถานะของจั่วชิวเฟยหมิงในตระกูลจั่วชิวนั้นนับว่าสูงอย่างยิ่ง การที่เขาเรียกว่าจั่วชิวเป่ยหยงว่า ‘บรรพบุรุษ’ ย่อมแสดงให้เห็นว่าสถานะและอำนาจของอีกฝ่ายยิ่งใหญ่เพียงใด
“ถ้าเช่นนั้นแล้วแม่เฒ่าผู้รู้วิธีการบ่มเพาะเล่า?” จั่วชิวเสวี่ยขมวดคิ้ว ก่อนจะถามด้วยเสียงเนิบช้า
“ท่านป้าบรรพบุรุษเหลิงฮวา ยังไม่แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน นับเป็นเรื่องที่น่ากังวลจริง ๆ” จั่วชิวเฟยหมิงถอนหายใจ
ท่านป้าบรรพบุรุษเหลิงฮวา!
เห็นได้ชัดว่าเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่พอจะเทียบชั้นกับจั่วชิวเป่ยหยงได้
“ชิ! ไอ้สารเลวนั่นมันทำตัวเหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนไม่ผิด หากในตอนนั้นท่านพ่อของข้าไม่มีเมตตาแล้วละก็ เพียงแค่การกระทำของพวกมันในเวลานั้นเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะขับไล่พวกมันออกจากตระกูลจั่วชิวแล้ว!” แววตาของจั่วชิวเสวี่ยเจือไปด้วยความคับแค้น เมื่อนางพูดมาถึงตรงนี้ก็คล้ายว่านางจะนึกบางอย่างออก นางเลิกคิ้วขึ้นสูงก่อนจะพูดขึ้น “ท่านอาสาม หรือว่าพวกเขาจะ…”
“เรื่องนั้นข้าเองก็พูดไม่ได้!” ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ จั่วชิวเฟยหมิงก็แทรกพลางขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาก็คาดเดาไว้ไม่ต่างจากนาง “ความตายของคนก็เหมือนตะเกียงมอดแสง กฎเกณฑ์ที่พ่อของเจ้าวางไว้ตลอดหลายปีบัดนี้พวกเขาลืมสิ้นไปหมดแล้ว”
จั่วชิวเสวี่ยสูดลมหายใจเขาลึก ๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ดูเหมือนว่าพวกเราจะทำได้แต่เพียงเตรียมรับมือกับสิ่งเลวร้ายเท่านั้น”
จั่วชิวเฟยหมิงพยักหน้าเห็นด้วย เขาเงียบไปนานก่อนจะมองจั่วชิวเสวี่ยด้วยความกังวลยิ่ง “อาเสวี่ย พลังของตรวนแห่งภัยพิบัติยังไม่อ่อนลงอีกหรือ?”
จั่วชิวเสวี่ยตอบ “ท่านอาสาม ท่านอย่าได้กังวลไป ตราบใดที่ข้าไม่ออกไปจากที่นี่ ตรวนแห่งภัยพิบัติก็ไม่อาจทำอะไรข้าได้” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ นางก็มองเขาด้วยสีหน้าจริงจังและถามบางอย่าง “ท่านอาสาม มีข่าวเกี่ยวกับหลิงจวินบ้างหรือไม่?”
จั่วชิวเฟยหมิงส่ายหน้าแทนคำตอบ
จั่วชิวเสวี่ยชะงัก ริมฝีปากของนางเหยียดยิ้มคล้ายจะเย้ยหยันต่อโชคชะตา “ซากโบราณสถานแรกกำเนิดถูกทำลายลงแล้ว เขาคงจะไม่คิดยอมแพ้และกำลังมุ่งหน้าไปยังนอกพิภพเพื่อค้นหาอักขระชะตาเทวะอย่างแน่นอน เพราะมีเพียงสมบัติล้ำค่าเช่นนั้นที่สามารถจะทำลายตรวนแห่งภัยพิบัติได้…”
ชายชราตกตะลึง “มีสมบัติเช่นนี้อยู่จริงหรือ?”
หลานสาวส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ข้ารู้จักหลิงจวินดี ตราบใดที่ยังมีร่องรอยของความหวัง เขาจะต้องทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน” ครั้นพูดจบ ดวงตาของนางก็ทอประกายความอ่อนโยนราวหยดน้ำ ภาพของร่างอันแสนเคยคุ้นผุดขึ้นมาจากเบื้องลึกของใจ
“อาเสวี่ย ข้าต้องไปแล้ว” ผ่านไปครู่หนึ่ง จั่วชิวเฟยหมิงก็กล่าวลา
“ท่านอาสาม ยิ่งความขัดแย้งดำเนินไปอย่างยาวนานเท่าไร มันก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อฝั่งของเรามากเท่านั้น เรื่องราวภายนอกนั้น ลำบากท่านแล้วเจ้าค่ะ” จั่วชิวเสวี่ยพูดอย่างรวดเร็ว
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าเองก็ต้องระมัดระวังตัวเช่นกัน สถานการณ์ตอนนี้กำลังยุ่งเหยิง เจ้าจะต้องไม่ประมาท…” จั่วชิวเฟยหมิงพยักหน้า เพียงไม่นานร่างของเขาก็หายไปในอากาศ
“ข้าจะรอดไปได้แน่…” จั่วชิวเสวี่ยยืนอยู่เพียงลำพังกลางลานเล็ก ๆ เสียงพึมพำของนางแผ่วเบา มันล่องลอยไปตามความคิดคำนึงที่มีต่อบุตรชายและสามีอันเป็นที่รัก…