บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1413 ร่องรอยของเผ่าต่างพิภพ
บทที่ 1413 ร่องรอยของเผ่าต่างพิภพ
“วิตถาร? จอมโกหก?”
เฉินซีรู้สึกหมดหนทาง จากนั้นก็ชำเลืองมองไปรอบ ๆ ก่อนจะยื่นมือออกไป
บริเวณใกล้เคียงมีแนวเทือกเขาที่ทอดยาวสูงต่ำอย่างต่อเนื่อง มันถูกล้อมรอบด้วยภูเขาอันอุดมสมบูรณ์ และมีแม่น้ำไหลผ่านระหว่างพวกมัน พร้อมกับการเคลื่อนไหวของเฉินซี ยอดเขาขนาดมหึมาแห่งหนึ่งก็ดังก้อง ก่อนที่จะถูกยกขึ้นจากพื้นดิน
ฟิ่ว!
หลังจากนั้น เส้นชีพจรวิญญาณที่หนาราวมังกร ก็พุ่งออกมาจากผืนดินใต้ภูเขา ราวกับดวงแสงที่กำลังส่องประกาย
เฉินซีเพียงสะบัดมือ เส้นชีพจรวิญญาณที่หนาก็เริ่มลุกไหม้ แล้วพลันละลายอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นวารีวิญญาณที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง แล้วจึงใส่วารีวิญญาณทั้งหมดนี้ลงในขวดหยก ซึ่งมีน้ำหนักทั้งหมดสองพันห้าร้อยจิน
“เอ้า วารีวิญญาณนี้เพียงพอที่จะชดใช้ให้เจ้าหรือไม่?” เฉินซียื่นขวดหยกออกไป
โตวเตี่ยนยังคงตกตะลึง ดวงตาที่สุกใสราวกับอัญมณีสีดำแวววาวเบิกกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ รู้สึกว่าทุกสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงภาพฝัน
นางอยู่เพียงขอบเขตเคหาทองคำเพียงเท่านั้น ไหนเลยจะเคยเห็นวิธีการที่น่าทึ่งอย่างการเคลื่อนย้ายภูเขาทั้งลูกเช่นนี้
ตอนนี้นางจึงตกตะลึงเหมือนตัวโง่งมน้อย ทั้งยังเหม่อมองอย่างว่างเปล่า และถึงกับไร้คำพูด
“รีบรับไปสิ” เฉินซีมองโตวเตี่ยนด้วยสีหน้าขบขัน และยัดขวดหยกใส่ในมือนาง
จากนั้นโตวเตี่ยนก็กลับมาคืนสติอีกครั้ง นางสูดลมหายใจเข้าลึก พลางมองวารีวิญญาณกว่าสองพันห้าร้อยจินในขวดหยก “สวรรค์! วารีวิญญาณนี้ มากมายพอที่จะซื้อกระบี่ระดับล้ำลึกขั้นสุดยอดได้หลายสิบเล่ม!”
นางเงยหน้ามองบุรุษตรงหน้า แล้วเอ่ยถามตะกุกตะกัก ”เจ้า… เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“เจ้าไม่ได้เรียกว่าข้าคนวิตถารหรอกหรือ? โอ้ แล้วก็จอมโกหกด้วย” เฉินซีหยอกล้อนาง
ใบหน้าเล็ก ๆ ที่สง่างามและอ่อนโยนของโตวเตี่ยนแดงก่ำทันที นางขยิบตาแลบลิ้นอย่างขี้เล่น “ผู้ยิ่งใหญ่มักไม่ถือสาหาความผู้เยาว์ ผู้อาวุโสโปรดหยุดล้อเลียนข้าได้แล้ว”
ผู้อาวุโส?
ล้อเลียน?
เฉินซีถึงกับอึ้ง แล้วพลันกล่าวว่า “เอาละ ข้าจะไปแล้ว ช่วยบอกข้าทีว่าที่นี่คือที่ใดกัน?”
โตวเตี่ยนไม่ร้องไห้หรือโวยวายอีกต่อไป เสียงของนางทั้งชัดเจนอย่างเชื่อฟัง “เทือกเขาพิชิตมังกร นอกเมืองเมฆาทักษิณของราชวงศ์ฉู่”
ราชวงศ์ฉู่?
ทันใดนั้น เฉินซีก็นึกขึ้นได้ ราชวงศ์ฉู่เหมือนจะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของราชวงศ์ซ่ง และราชวงศ์ทั้งสองก็อยู่ห่างจากกันหลายล้านลี้
ทว่าระยะทางเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร
“ท่านผู้อาวุโส ท่านกำลังจะมุ่งหน้าไปที่ใดหรือ? ไยถึงไม่ให้ข้านำทางให้ท่านเล่า” โตวเตี่ยนอาสาอย่างกระตือรือร้น ดวงตาสดใสจับจ้องเฉินซีด้วยความคาดหวังเล็ก ๆ
“วารีวิญญาณแค่ขวดเดียวก็เพียงพอที่จะซื้อตัวเจ้าแล้วหรือ?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อนางเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ครานี้โตวเตี่ยนไม่ได้แสดงท่าทีเขินอายอีกต่อไป และกล่าวอย่างสงบว่า “ข้าไม่ได้ทำเช่นนี้เพียงเพื่อให้ท่านพอใจข้า เป็นเพราะข้าเห็นว่าท่านไม่คุ้นเคยกับละแวกนี้ และข้าทนไม่ได้ที่จะเห็นท่านหลงทาง”
เฉินซีเพียงยิ้ม หากเป็นผู้อื่นที่เห็นความสามารถของเขา คนผู้นั้นคงจะหวาดกลัวจนสติแตกไปแล้ว ทว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้กลับดูไม่รู้สึกรู้สา ท่าทางและการกระทำไร้ความเกรงกลัว หรือความเคารพใด ๆ ซึ่งทำให้ดูแตกต่างอย่างยิ่ง
แต่หลังจากนั้น สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนจะกล่าวพลางขมวดคิ้ว “เมืองเมฆาทักษิณที่เจ้ากล่าวถึง อยู่ห่างจากที่นี่เจ็ดร้อยห้าสิบลี้ ใช่หรือไม่?”
โตวเตี่ยนตะลึงงัน จากนั้นพยักหน้า “ใช่แล้วท่านผู้อาวุโส ท่านกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองเมฆาทักษิณหรือ? ข้าเติบโตที่นั่นมาตั้งแต่เด็ก และข้าก็คุ้นเคยกับสถานที่นี้มาก”
เฉินซีขมวดคิ้วมากขึ้น “โลกแห่งการบ่มเพาะในปัจจุบันไม่ค่อยสงบสุขเท่าไหร่หรือ?”
ไม่ค่อยสงบสุข?
โตวเตี่ยนดูเหมือนครุ่นคิด แล้วโพล่งออกมา “ท่านคงไม่ได้หมายถึงพวกกองทัพต่างพิภพ ใช่หรือไม่?”
แสงเย็นเยียบวูบวาบในดวงตาของเฉินซี
ก่อนหน้านี้ ญาณมหาเทวะอมตะได้กวาดปกคลุมพื้นที่ในระยะสองหมื่นห้าพันลี้ ดังนั้นเขาจึงตรวจพบเมืองเมฆาทักษิณที่โตวเตี่ยนกล่าวถึง ทว่าบัดนี้มันได้กลายเป็นซากปรักหักพัง และพบร่างของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้บ่อยครั้ง
เขาได้สังหารเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพไปมากมาย ขณะที่อยู่ในนรกขุมที่เก้าและสมรภูมินอกพิภพ แต่หากเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่อยู่ภายในเมืองเมฆาทักษิณนั้น พวกมันกลับอ่อนแออย่างมาก และเทียบกับคนต่างพิภพในภพเซียนไม่ได้เลย
แต่มันก็สมเหตุสมผล เพราะนี่คือโลกใบเล็กในภพมนุษย์ ดังนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ ที่มาปรากฏตัวที่นี่ ก็ไม่มีจุดแข็งที่น่าเกรงขามใด ๆ
ตามความรู้ของเฉินซี ความแข็งแกร่งของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ ถูกแบ่งออกเป็นระดับเหล็กนิล ระดับทองสัมฤทธิ์ ระดับเงิน ระดับทองคำ ระดับผลึกม่วง ระดับแม่ทัพ และระดับจ้าวแม่ทัพ
ระดับเหล่านี้สอดคล้องกับขอบเขตตำหนักอินทนิล ขอบเขตเคหาทองคำ ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ขอบเขตจุติ ขอบเขตสถิตกายา ขอบเขตเซียนปฐพี และขอบเขตเซียนสวรรค์ของผู้บ่มเพาะในสามภพ
เวลานี้ เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่ปรากฏตัวภายในเมืองเมฆาทักษิณ ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับเงิน ซึ่งเทียบเท่ากับขอบเขตเคหาทองคำ และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่แข็งแกร่งถึงระดับทองคำ ซึ่งเทียบเท่ากับขอบเขตจุติ
พลังดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสายตาของเฉินซีแม้แต่น้อย ทว่าสำหรับผู้บ่มเพาะในราชวงศ์เล็ก ๆ ของโลกใบเล็กแห่งนี้ มันก็เพียงพอที่จะทำลายทั้งเมืองให้ราบเป็นหน้ากลอง!
เพราะขนาดผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหมอกสนของดินแดนทางใต้เมื่อหลายปีก่อน ก็ยังอยู่เพียงขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น!
คนต่างพิภพได้เริ่มสร้างความหายนะในโลกใบเล็กนี้แล้ว… เฉินซีถอนหายใจยาว เมื่อครั้งอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬ เขาเคยเห็นเหตุการณ์ของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่สร้างความหายนะไปทั่วแดน ทว่าแดนภวังค์ทมิฬก็เป็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล ดังนั้นการปรากฏตัวของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพจึงมีให้เห็นทั่วไป
แต่บัดนี้ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพได้มาปรากฏตัวในโลกใบเล็กแห่งนี้แล้ว นี่ถือเป็นหายนะร้ายแรง
เฉินซียังสงสัยว่า ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่ากลียุคของสามภพได้เริ่มส่งผลกระทบต่อโลกที่มีอยู่มากมายในจักรวาลหรือไม่
ครั้นคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ถามโตวเตี่ยนอีกครั้ง “คนต่างพิภพปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด?”
“กว่าร้อยปีแล้ว แต่ข้าไม่รู้เวลาที่แน่นอน เพราะตั้งแต่ที่ข้าเกิดมา พวกต่างพิภพที่น่ารังเกียจเหล่านั้น ก็เริ่มสังหารและปล้นสะดมในราชวงศ์ฉู่แล้ว” เมื่อนางกล่าวถึงคนต่างพิภพ ใบหน้าอันงดงามก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ไม่อาจปกปิดได้ แล้วพลันกล่าวต่ออย่างฉุนเฉียว “บิดามารดาและเหล่าสหายของข้า ล้วนแต่เสียชีวิตด้วยน้ำของพวกต่างพิภพ พวกมันช่างเลวทรามบัดซบ! หากข้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากผู้มีเมตตาไปยังเมืองเมฆาทักษิณ ข้าคงถูกพวกมันฆ่าไปแล้ว…”
เมื่อกล่าวจบ โตวเตี่ยนก็โกรธจนตัวสั่น
เฉินซีตบไหล่นางเพื่อปลอบใจ “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ากองต่างพิภพมีขนาดใหญ่เพียงใด?”
“ไม่รู้ แต่ข้าได้ยินจากสหายเต๋าคนอื่น ๆ ว่า ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ฮั่น และอีกแปดราชวงศ์ล้วนถูกคนต่างพิภพยึดครองไปหมดแล้ว และไม่ว่าพวกมันจะผ่านไปที่ใด ที่แห่งนั้นก็จะไม่หลงเหลืออะไรอยู่ ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนเสียชีวิตด้วยน้ำมือของพวกมัน…” โตวเตี่ยนหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวน้ำเสียงโศกเศร้า “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานที่ราชวงศ์ฉู่ของข้าก็จะถูกทำลายเช่นกัน…”
เฉินซีลอบถอนหายใจ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าในช่วงหลายปีที่เขาจากโลกใบเล็กนี้ไป จะมีสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายถึงเพียงนี้ จากนั้นเขาก็ถามคำถามที่อยากรู้ที่สุด “แล้วราชวงศ์ซ่งล่ะ?”
โตวเตี่ยนทำท่าครุ่นคิด และดวงตาของนางก็สว่างขึ้น “หรือท่านตั้งใจจะหาที่หลบภัยในราชวงศ์ซ่ง”
ชายหนุ่มตกตะลึง “หมายความว่าอะไร?”
โตวเตี่ยนรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อสังเกตเห็นท่าทางดังกล่าว ทั้งที่เขาแข็งแกร่งปานนี้ แต่เขากลับไม่ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ในราชวงศ์ซ่งด้วยซ้ำ?
โตวเตี่ยนอดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านไม่รู้หรือ? มีเพียงราชวงศ์ซ่งเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับกองทัพต่างพิภพได้จนถึงตอนนี้?”
“ไม่รู้เลย ว่าต่อสิ” เฉินซีส่ายหัว
“อันที่จริง ข้าก็ไม่รู้เท่าไหร่ แต่ได้ยินมาว่า ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่จากราชวงศ์อื่นได้หนีไปยังราชวงศ์ซ่งเพื่อความอยู่รอด พวกเขากล่าวว่า ราชวงศ์ซ่งนั่นมีบุคคลที่น่าเกรงขามจำนวนหนึ่งคอยพิทักษ์อยู่ ทำให้กองทัพต่างพิภพไม่อาจทำสิ่งใดได้”
โตวเตี่ยนรีบอธิบายเกี่ยวกับทุกสิ่งที่นางรู้ “ท่านน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเฉินอวี่และเฉินอันกระมัง? ปัจจุบันพวกเขาเป็นเสาหลักของราชวงศ์ซ่ง และได้สังหารนายพลของกองทัพต่างพิภพไปนับไม่ถ้วน เป็นเพราะการปรากฏตัวของพวกเขา ทำให้ราชวงศ์ซ่งสามารถยืนหยัดได้”
ดวงตาของโตวเตี่ยนสว่างขึ้นเมื่อกล่าวถึงบุคคลสำคัญสองคนนี้ และเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความชื่นชม โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าสีหน้าของเฉินซีดูแปลกไปเล็กน้อย
“ข้าได้ยินจากสหาย ว่าผู้อาวุโสเฉินอวี่และเฉินอันเป็นบุคคลที่สืบเชื้อสายมาจากแดนภวังค์ทมิฬ และมีความน่ากลัวอย่างยิ่ง เดิมทีข้าตั้งใจจะมุ่งหน้าไปยังราชวงศ์ซ่ง มันคงจะดีมาก ถ้าข้าสามารถฝากตัวเป็นศิษย์ของหนึ่งในสองบุคคลผู้ยิ่งใหญ่นี้!
ทันทีที่กล่าวจบ ใบหน้าของโตวเตี่ยนก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง
เฉินซีรู้สึกงุนงงสับสน เด็กน้อยเฉินอันและเฉินอวี่ เติบโตถึงปานนี้แล้วหรือ?
“เป็นอย่างไร ผู้อาวุโสเฉินอวี่และเฉินอันน่าเกรงขามสุด ๆ ไปเลยใช่หรือไม่? ปัจจุบันชื่อเสียงของพวกเขาได้แพร่กระจายไปทั่วโลกแห่งการบ่มเพาะ ข้าได้ยินมาว่า พวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องที่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากด้วย”
เมื่อโตวเตี่ยนสังเกตเห็นสีหน้าตกตะลึงของอีกฝ่าย นางคิดว่าชายหนุ่มคงตกใจกับชื่อเสียงของเฉินอวี่และเฉินอัน จึงอดไม่ได้ที่จะปลอบใจเขา “แต่ไม่ต้องเสียใจไป ท่านก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน แม้ว่าท่านจะไม่สามารถเทียบกับผู้อาวุโสเฉินอันและเฉินอวี่ได้ แต่ในบรรดาคนที่ข้ารู้จักก็ไม่มีใครเทียบท่านได้”
ชายหนุ่มถึงกับไร้คำพูด และพยักหน้า “จากสิ่งที่เจ้ากล่าวมา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะน่าเกรงขามมากจริง ๆ”
“เจ้าหมายถึงอะไรที่บอกว่าดูเหมือน?” โตวเตี่ยนเหลือบมองอย่างโกรธเคือง จากนั้นก็หัวเราะออกมา “น้ำเสียงเช่นนี้ ท่านอิจฉาพวกเขาหรือ?”
อิจฉา?
เฉินซียิ้มอย่างขมขื่น ข้าจะอิจฉาลูกชายและหลานชายของตัวเองทำไม?
หลังจากนั้น เขาก็ส่ายศีรษะแล้วกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ข้าจะไปแล้ว อ้อ ข้าลืมบอกเจ้า เมืองเมฆาทักษิณถูกทำลายโดยกองทัพต่างพิภพแล้ว ดังนั้นข้าแนะนำว่าเจ้าอย่ากลับไปที่นั่น”
“อะไรนะ?” โตวเตี่ยนรู้สึกตกใจมาก ข่าวนี้กะทันหันเกินไป นางจึงกล่าวด้วยความไม่เชื่อ “เจ้า… อย่าได้โกหกข้า”
เสียงของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสับสน
“ข้าจะพาเจ้าไปดูแล้วเจ้าจะเข้าใจเอง” เมื่อคำนึงว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในขอบเขตเคหาทองคำ จะเอาชีวิตรอดในช่วงเวลาที่วุ่นวายเหล่านี้ได้อย่างไร ทั้งยังกำลังจะสูญเสียบ้านเกิดเมืองนอน เฉินซีก็ไม่กล้าทิ้งนางไว้เพียงลำพัง
เขาจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วพานางไปเคลื่อนย้ายไปทันที