บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1414 ท่ากระบี่สะท้านใต้หล้า
บทที่ 1414 ท่ากระบี่สะท้านใต้หล้า
ซากปรักหักพังกระจายอยู่ทั่วแดน รอบข้างเต็มไปด้วยซากศพของสิ่งมีชีวิต
ตอนนี้ทั้งเมืองเหลือเพียงซากปรักหักพัง เหลือไว้เพียงความรกร้างว่างเปล่า ซากศพ กองเลือด กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดและกลิ่นความตาย
พระอาทิตย์ที่กำลังทิ้งตัวลงส่องแสงสีแดงอยู่ที่เส้นขอบฟ้า แต่งแต้มอารมณ์ความรู้สึกอ้างว้างในบรรยากาศเพิ่มขึ้นอีก
ที่นี่คือเมืองเมฆาทักษิณ!
แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว ไร้ซึ่งพลังชีวิตใดหลงเหลืออยู่!
เห็นดังนี้ โตวเตี่ยนก็นิ่งอึ้งไป ม่านตาขยายออก มือทั้งสองกำแน่น วิญญาณคล้ายจะหลุดจากร่างก็มิปาน
“เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้า… จากไปไม่ถึงวัน… จะเป็นไปได้อย่างไร…?” โตวเตี่ยนสั่นเทิ้มไปทั้งกาย เอ่ยเสียงตะกุกตะกักออกมาด้วยความเศร้าโศก น้ำตาอุ่น ๆ สองสายไหลอาบแก้ม นางเศร้าโศกเสียใจอย่างถึงที่สุด ต่อมาก็เหมือนสิ้นไร้พลัง นางทรุดกายลงพื้นแล้วส่งสายตาว่างเปล่ามองเมืองที่เงียบสงัด
เฉินซีกวาดสายตาเย็นชามองไปรอบกาย ในใจรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง คิดว่าไม่ควรพานางมาเห็นภาพเช่นนี้เลย
“หือ? ยังมีคนเหลืออยู่ที่นี่อีกหรือ!”
“ไปฆ่าไอ้สองคนนั้นกัน!”
“เร็วเข้า!”
“อย่ามาแย่งโอกาสกับข้านะ! ภารกิจวันนี้ข้าขาดอีกแค่สองหัวเท่านั้น!”
ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงดังระงมมาจากซากเมืองเมฆาทักษิณ ก่อนที่เงาร่างหลายร่างจะกระโจนขึ้นมาด้านบน
เงาร่างเหล่านั้นมีหลายรูปแบบหลายประเภท บ้างมีหนวด บ้างสวมเกราะเป็นเกล็ด บ้างมีสี่ตา บ้างมีกายเป็นอสูร เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกต่างพิภพ
ตอนนี้มีผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพอยู่ราวสิบคน หลังจากเห็นเฉินซีกับโตวเตี่ยน พวกมันก็เผยสีหน้าโหดเหี้ยมกระหายเลือดออกมา แย่งกันลงมือสังหารเฉินซีและโตวเตี่ยน
โตวเตี่ยนพลันหยุดร้องไห้ทันใด นางลุกขึ้นยืนพร้อมกับใบหน้าเศร้าโศกที่เปลี่ยนเป็นหวาดกลัว รีบคว้าแขนเสื้อเฉินซีไว้เอ่ยเสียงสะท้านออกมา “ผู้อาวุโส ผู้อาวุโส เราหนีกันเถอะ!” คล้ายกับว่านางเสียสติไปแล้ว
“หนีหรือ? สายไปแล้ว! ฮ่า ๆ! แม่สาวน้อยคนนี้ดูน่ารักดี เล่นสนุกสักหน่อยค่อยสังหารก็ยังไม่สาย!” ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพสูงราวเก้าจั้ง ทั่วร่างเต็มไปด้วยหนามแหลมสีขาวกระโจนเข้ามา
มันถือค้อนสีแดงเลือดขนาดใหญ่ไว้ในมือแล้วซัดมันลงมาก่อนตัวจะกระโจนมาถึง แรงลมพัดหวีดหวิว เผยแสงเรืองสีโลหิตเข้มออกมาดูน่าตกใจ
แต่ในสายตาเฉินซีแล้ว เจ้านั่นก็เหมือนมดตัวหนึ่ง ถึงจะทำท่าทางดุร้ายอย่างไรก็ไม่ได้ดูน่ากลัวสำหรับเขาเลย
เฉินซีไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่เงยหน้ามองคนเท่านั้น
จากนั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพก็ชะงักกลางอากาศ มองไกล ๆ เป็นเหมือนแมลงถูกแช่ในน้ำแข็ง ใบหน้ายังคลี่ยิ้มเหี้ยมอยู่ด้วยซ้ำ ทำให้ดูเป็นภาพประหลาดตายิ่ง
โตวเตี่ยนนั้นเดิมทีหวาดกลัวนัก แต่พอเห็นภาพนั้นก็อดชะงักไปไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกัน?
“พี่เก้า เจ้าโง่! ไม่โจมตีเล่า?” ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่รุดมาจากข้างหลังผลักร่างเขาด้วยความโกรธ
ฟุบ!
ทันทีที่แตะโดนร่าง ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเจ้าของนาม ‘พี่เก้า’ ก็ร่างระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ฝนเลือดโปรยลงบนพื้น
กระทั่งค้อนใหญ่สีโลหิตในมือเขายังกลายเป็นผุยผงสลายหายไป!
ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในพริบตา เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพคนอื่นมาถึงก็ทันเห็นเหตุการณ์น่าผวาอย่างทันท่วงที ทำเอาพากันหรี่ตาลง ในใจตกตะลึงยิ่ง
เกิดอะไรขึ้น? ภายในพลันเกิดความกลัวขึ้นอย่างไม่อาจอธิบายได้ จึงทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง สายตาจดจ้องไปทางเฉินซี หรือจะเป็นฝีมือเจ้านี่?
“ไอ้พวกชนพื้นเมืองเวร! เจ้าสังหารพี่เก้าหรือ?” ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพผู้มีสี่ตารวบรวมความกล้าแล้วถามขึ้นด้วยเสียงเคร่งขรึม
โชคร้ายที่เฉินซีไม่คิดใส่ใจ เขาเพียงสะบัดแขนเสื้อคราวหนึ่งแล้วว่ากับโตวเตี่ยน “ไปเถอะ”
ไปหรือ? โตวเตี่ยนอึ้งไป ก่อนจะหรี่ตาลง
เพราะนางเห็นว่าร่างของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพกว่าสิบคนนั้นเริ่มแตกสลายกลายเป็นผุยผง และเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ ผงเหล่านั้นก็ปลิวหายไปกับสายลม!
เหตุการณ์นี้ทำให้โตวเตี่ยนกลัวจนหนังศีรษะตื้อชา นั่นมันผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเกือบสิบคนเลยนะ พริบตาเดียวกลับสลายกลายเป็นผุยผงเช่นนั้นได้หรือ?
หรือว่าผู้อาวุโสข้างกายข้าจะมีพลังบ่มเพาะสูงส่ง เห็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพไม่ต่างจากมดปลวกกัน?
โตวเตี่ยนรู้สึกตกตะลึงในใจอีกครั้ง ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงเก่งกล้าสามารถเช่นนี้? แล้วเหตุใดยอดฝีมืออย่างเขาถึงได้ไม่รู้สถานการณ์ภายในโลกตอนนี้เลย?
ตอนนี้เฉินซีได้กลายเป็นตัวประหลาดในสายตาโตวเตี่ยนแล้ว ทั่วร่างเขาได้เผยกลิ่นอายลึกล้ำเกินหยั่งออกมา!
เคร้ง!
เฉินซีไม่รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใด แค่ยั้งคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็เอื้อมมือไปคว้ากระบี่จากซากร่างแล้วปักมันลงกับพื้น
จากนั้นเขาพาโตวเตี่ยนจากไป
…
“หือ? ไปไหนกันแล้ว?”
“พี่เก้ากับคนอื่นไปไหนกัน?”
หลังจากเฉินซีกับโตวเตี่ยนจากไปไม่นาน ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพกลุ่มหนึ่งก็เหินร่างผ่านฟ้ามาถึงที่นี่ พวกมันต่างตกตะลึง เพราะจู่ ๆ สหายก็หายไปกลางวันแสก ๆ นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่ง
“หือ? กระบี่นี่ดูคุ้นตานัก…” ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพอีกคนเห็นกระบี่ที่เฉินซีทิ้งไว้ เดินเข้าไปคว้ามันขึ้นมาดูทันที
เคร้ง!
เสียงกระบี่โหยหวนร้องพุ่งขึ้นท้องนภา ซัดเมฆาเบื้องบนจนทลายสิ้น!
ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพสีหน้าเปลี่ยน รู้สึกหวาดผวาขึ้นมาทันใด
ครืน!
ยังไม่ทันได้ตั้งตัวตอบสนองอะไร กระแสปราณกระบี่อันน่าเกรงขามก็ระเบิดออกมา เหมือนลมพายุพัดผ่านได้ทุกหนทุกแห่ง ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งหลายไม่มีแม้แต่โอกาสส่งเสียงร้องตกใจก็ถูกทำลายหายไปสิ้นแล้ว!
จากนั้นกระแสปราณกระบี่ก็เคลื่อนตัวออกมาด้วยความเร็วแสง โอบล้อมไปทั่วทั้งเมืองเมฆาทักษิณที่กลายเป็นซากปรักหักพัง
ในเมืองเมฆาทักษิณมีผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพอยู่กว่าหมื่นคน แต่ในพริบตาเดียวก็ถูกปราณกระบี่กวาดล้างหายไป คล้ายกับหลอมละลายกลายเป็นน้ำ ไม่เหลือสิ่งใดไว้ให้เห็นอีก!
เมื่อปราณกระบี่จางหายไปแล้ว ทั่วเมืองเมฆาทักษิณก็ตกอยู่ในความเงียบสนิท เหลือไว้เพียงเสียงลมที่ยังคงพัดหวีดหวิว คล้ายหวาดกลัวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
…
ฟ่าว!
แสงเส้นหนึ่งไหลผ่านฟ้าและเคลื่อนตัวไปด้วยความรวดเร็ว
โชคไม่ดีที่ห้วงมิติในภพมนุษย์นั้นอ่อนแอเกินไป จึงทำให้ประสิทธิภาพการเคลื่อนมิติลดลงมาก หากใช้แรงเกินไปก็คงทำให้เกิดรอยแยกมิติได้ และจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ที่นี่… เฉินซีถอนหายใจเล็กน้อยระหว่างที่ทำการเคลื่อนมิติ
หากอยู่ในภพเซียน ด้วยพลังของเขาตอนนี้ จะเดินทางกี่ล้านลี้ก็ทำได้ภายในพริบตา แต่ตอนนี้เขาอยู่ในภพมนุษย์ ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งเค่อกว่าจะเคลื่อนมิติได้ในระยะเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มทรงพลังเท่านั้น แต่เพราะขีดจำกัดของพลังพิภพที่นี่เช่นกัน ด้วยหากเขาใส่แรงมากไป แม้ตัวเฉินซีจะไร้ผลกระทบ แต่ฟ้าดินที่นี่จะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ เพราะจะปรากฏรอยแยกมิติขึ้นจำนวนมาก ทำให้สิ่งมีชีวิตในโลกรองเหล่านี้ต้องประสบภัยพิบัติใหญ่หลวง
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” เฉินซีหันไปเห็นโตวเตี่ยนกำลังยืนทำหน้าอึ้งอยู่
“ข้า… ข้า…” โตวเตี่ยนรีบส่ายหน้าตั้งสติ จากนั้นใบหน้างดงามก็เผยความเคารพนับถือยิ่ง “นี่มันการเคลื่อนมิติ ผู้อาวุโส… ท่านเป็นเซียนปฐพีหรือ?”
เฉินซียังไม่ทันตอบนางก็เอ่ยต่อ “มิน่าท่านถึงได้แข็งแกร่งนัก ใช่แล้ว ท่านรับศิษย์หรือไม่? ท่านว่าฝีมือข้าดูเป็นอย่างไร? ถึงข้าจะโง่ไปหน่อย แต่หากเป็นเรื่องบ่มเพาะข้าตั้งใจมาก”
พูดแล้วก็เงยหน้ามองเฉินซีด้วยสายตาแห่งความหวัง
เฉินซีอึ้งไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ามีเรื่องต้องทำเยอะ เกรงว่าคงจะรับเจ้าเป็นศิษย์ไม่ได้”
คำนั้นก็เท่ากับปฏิเสธ จึงทำให้แววแห่งความหวังในแววตาโตวเตี่ยนหม่นลงทันใด นิ่งไปนานนางจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม “ผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้ข้าต้องขออภัยที่ทำอะไรไม่ยั้งคิด”
จบคำนางก็เงียบไป
ท่านพ่อท่านแม่เสียไปตั้งแต่นางยังเด็ก ทำให้นางต้องร่อนเร่ไปเรื่อย ที่เติบโตมาได้จนถึงวันนี้ก็เพราะมีจิตใจเข้มแข็งและมองโลกในแง่ดี
นางเชื่อว่า ในเมื่อฟ้ายอมให้นางรอดชีวิตมาได้ เช่นนั้นฟ้าก็คงยังใส่ใจนางอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้สึกเสมอมาว่าตนเองไม่ใช่คนโชคร้าย
ทว่า… ก็มีบางครั้งที่ต้องพบกับความพ่ายแพ้
“เดินทางถึงราชวงศ์ซ่งเมื่อไหร่จะแนะนำอาจารย์ดี ๆ ให้เจ้าเอง รับรองเลยว่าอาจารย์ของเจ้าจะไม่ด้อยกว่าเฉินอวี่กับเฉินอันแน่” เสียงเฉินซีดังขึ้นที่ข้างหู เป็นดั่งความอบอุ่นที่ปลอบประโลมจิตใจได้ ทำให้โตวเตี่ยนเกร็งร่าง ในใจสัมผัสถึงความอบอุ่นสายหนึ่ง นางสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยเสียงกระจ่างพร้อมรอยยิ้ม “อื้อ ขอบคุณผู้อาวุโส”
พอได้เห็นรอยยิ้มมุ่งมั่น มองโลกในแง่ดี และดูเจิดจ้าของหญิงสาว เฉินซีจึงเริ่มยิ้มออกมาเช่นกัน การได้พบเจอแม่นางน้อยหลังจากลงมายังภพมนุษย์เช่นนี้ก็ถือเป็นโชคอย่างหนึ่งเหมือนกันกระมัง?
เขาตัดสินใจแล้วว่าอย่างน้อยเขาก็จะจัดการเรื่องให้หญิงสาวผู้นี้ก่อนออกจากภพมนุษย์
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันไป ก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาจากที่ไกลเป็นระลอก
เฉินซีพลันหยุดเคลื่อนไหวทันใด สายตาเย็นยะเยือกกวาดออกไปราวกับฟ้าผ่า
มันเป็นทุ่งโล่งกว้าง เห็นเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่งตั้งอยู่ที่ขอบฟ้าไกล ตอนนี้ ณ พื้นที่กว้างหน้าเมืองแห่งนั้นกำลังเกิดสงครามขนาดใหญ่อยู่
กองทัพต่างพิภพที่มากันหนาแน่นเหมือนคลื่นสมุทรอย่างมืดฟ้ามัวดิน พุ่งเข้าโจมตีเมืองใหญ่นั่น แสงอัปมงคลส่องขึ้นฟ้า ซัดพลังออกมาอย่างน่ากลัว
ส่วนศัตรูของกองทัพต่างพิภพคือผู้บ่มเพาะหลากหลายคนที่ยืนเรียงกันเป็นแถว พวกเขาประจำการอยู่ในเมือง ต่อสู้กับกองทัพต่างพิภพจนฟ้าลั่นดินสะเทือน เป็นการต่อสู้ที่หนักหน่วงยิ่ง
เฉินซีสังเกตโดยละเอียด ก็เห็นค่ายกลขนาดใหญ่ถูกกางไว้ทั้งนอกและในเมือง เมื่อรวมกับผู้บ่มเพาะพลังฝีมือเยี่ยมเหล่านั้นแล้ว หากไม่เกิดเรื่องเกินคาดอะไร กองทัพต่างพิภพก็คงไม่อาจกำชัยในศึกครั้งนี้ได้
นี่คือเมืองรุ่งอรุณที่อยู่แดนเหนือของราชวงศ์ซ่งสินะ… ในที่สุดก็มาถึงสักที… ญาณมหาเทวะอมตะของเฉินซีกวาดออกไปได้พื้นที่ราวแสนลี้ เก็บข้อมูลมีประโยชน์มาได้จากเสียงอื้ออึงในสนามรบ
พริบตาต่อมา ร่างเขาก็หายไป พาโตวเตี่ยนเข้าไปยังสนามรบนั้นด้วย
“ผู้อาวุโส… ท่านคิดจะฆ่าสังหารพวกกองทัพต่างพิภพหรือ?” โตวเตี่ยนเบิกตากว้างถามด้วยความตกใจ
“เจ้ากลัวหรือ? หากกลัวก็หลับตาไว้ ไม่ต้องห่วงไป เดี๋ยวเดียวก็จบแล้ว…” เฉินซีเผยรอยยิ้มมุมปาก นัยน์ตาเย็นชามองไปยังสนามรบที่อยู่ไกล ๆ