บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1415 พบหน้าสหายเก่าอย่างไม่คาดคิด
บทที่ 1415 พบหน้าสหายเก่าอย่างไม่คาดคิด
ว่าแล้ว เฉินซีก็แวบร่างหายไป กลิ่นอายเปลี่ยนไปจากเดิม กลายเป็นความดุดันโหดเหี้ยมแผ่ออกมาแทน ดั่งราชันหาผู้ใดเทียบเคียงอำนาจได้
มันเป็นกลิ่นอายที่ได้มาจากผ่านประสบการณ์การต่อสู้และฆ่าสังหารนับไม่ถ้วน เป็นดั่งซากศพที่พอกพูนและมหาสมุทรเลือด เป็นกลิ่นอายของคนที่ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน จัดการศัตรูมามากมาย โดยที่ไม่มีใครสามารถโค่นล้มเขาได้
พริบตาเดียวชายหนุ่มก็ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
โตวเตี่ยนยืนเบิกตากว้างอยู่ข้าง ๆ เหมือนว่าไม่เคยรู้จักเฉินซีผู้นี้ ได้แต่ยืนตะลึง
ครืน!
กลิ่นอายดุดันที่พุ่งออกมาจากร่างเฉินซีนั้นแกร่งกล้านัก จิตสังหารหนั่นแน่นดีดขึ้นฟ้า ทำให้เวหาและเมฆารัศมีแสนลี้เกิดความโกลาหลและสั่นสะท้าน คล้ายกับกำลังร้องโหยหวนยอมสยบต่อราชัน
ร่างสูงใหญ่ย่างเท้าอยู่กลางอากาศ ปราณเซียนพิสุทธิ์แผ่ออกมาจากร่าง ทำให้มีกลิ่นอายดุดันคล้ายกับเทพลงมาจุติยังโลกมนุษย์ เป็นเหมือนราชันแห่งสวรรค์ที่ทำเอาพลังเต๋ารู้แจ้งบิดเบี้ยวและเปลี่ยนไปตามความต้องการได้
หรือก็คือ รัศมีแสนลี้ถูกพลังของเขากักเอาไว้แล้ว และจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถหนีพ้นออกไปได้!
แต่พลังเก้าในสิบส่วนของเฉินซียังถูกผนึกไว้ หากเขาใช้พลังได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเมืองหรือจะเป็นทั้งราชวงศ์ซ่ง กระทั่งโลกโถงโบราณก็คงพังทลายจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
ทว่าเท่านี้ความแกร่งของเฉินซีก็เพียงพอที่จะทำให้ทั่วทั้งภพมนุษย์หวาดกลัวได้แล้ว
พริบตานั้น เสียงโห่ร้องแห่งสงครามพลันหยุดชะงัก!
ไม่ว่าจะเป็นกองทัพต่างพิภพหรือผู้บ่มเพาะที่อยู่ในเมือง ทั้งหมดล้วนสัมผัสได้ถึงความขนหัวลุก ในใจรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา ใบหน้าซีดขาวกันเป็นแถว
“ใครกัน!”
“บัดซบ! เป็นคนพื้นเมือง!”
“ระวังตัวด้วย! ทุกคนระวัง!”
เมื่อทุกคนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าเกรงขามโหดเหี้ยมที่เจืออยู่ในอากาศ กองกำลังต่างพิภพนับพันก็เปล่งเสียงร้องหวาดผวาดังระงม
“ใจเย็นก่อน! ให้ข้าจัดการมันเอง!”
ฟ่าว!
อากาศเกิดความผันผวน คนต่างพิภพพากันรุดหน้าพุ่งเข้ามา
เจ้าของเสียงมีผมสีเขียวดูเหมือนสาหร่าย รูปร่างใหญ่โต หว่างคิ้วคือผลึกแก้วสีน้ำเงินเข้ม พอเขาลงมือ ร่างก็ปลดปล่อยกลิ่นอายดุดันสูงส่งออกมา เขาคือแม่ทัพต่างพิภพที่ฝีมือทัดเทียมเซียนปฐพี!
“แม่ทัพหลานเท่ออี! เป็นแม่ทัพหลานเท่ออี!”
เมื่อเห็นแม่ทัพพุ่งตัวออกไป กองกำลังต่างพิภพต่างร้องยินดีจนเสียงดังสนั่นฟ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชมที่มีต่อแม่ทัพของตน
แต่สีหน้าเหล่าผู้บ่มเพาะในเมืองกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะมีแม่ทัพอยู่ท่ามกลางกองทัพต่างพิภพด้วย ภายในโลกโถงโบราณ คนต่างพิภพระดับนี้ก็นับว่าเป็นที่สุดของที่สุดแล้ว!
แต่โชคร้ายที่ครั้งนี้ต้องมาเจอกับเฉินซี
ฟ่าว!
พอเห็นแม่ทัพหลานเท่ออี เฉินซีไม่ได้ขยับเคลื่อนหรือสนใจอีกฝ่าย เขาเพียงกวาดมือออกไป ซัดปราณกระบี่ฟาดฟันศัตรู
ฉัวะ!
พริบตานั้นก็เหมือนเวลาถูกหยุด ภายใต้สายตาตื่นตะลึงของคนรอบข้าง แม่ทัพหลานเท่ออียังไม่ทันได้เข้าถึงตัวเฉินซี ร่างก็ถูกเฉือนขาดเป็นสองส่วน ที่แปลกคือตอนนั้นเขายังคำรามลั่นด้วยใบหน้าโหดเหี้ยมออกมาอยู่ด้วยซ้ำ…
ซู่!
เลือดสีน้ำเงินพุ่งออกมาจากร่างแม่ทัพหลานเท่ออีจนย้อมเบื้องบนเป็นสีฟ้า เป็นภาพที่ดูน่าหวาดกลัวแต่ก็งดงามตาไปพร้อมกัน
ทั้งยังเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนรอบข้างอ้าปากค้าง จากที่อึ้งอยู่ก็ดึงสติกลับมาได้ทันที
แม่ทัพหลานเท่ออีตายแล้ว!
ตัวตนระดับแม่ทัพยังไม่ทันได้ลงมือก็ถูกฟันร่างขาดเป็นสองส่วน สิ้นใจอยู่กลางอากาศแล้ว!
เรื่องเกิดขึ้นรวดเร็วนัก หากไม่ได้เห็นด้วยสองตาตน ก็คงไม่มีใครเชื่อ
“นายท่าน!”
“แม่ทัพหลานเท่ออี!”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ไอ้พวกคนพื้นเมืองบัดซบ! ฆ่า! ฆ่ามันให้หมด!”
ทันใดนั้นพวกกองทัพต่างพิภพก็คำรามเสียงดังลั่น ปนเปกับเสียงร้องเศร้าโศกเสียใจ จากนั้นพวกมันก็พุ่งเข้ามาใส่เฉินซีดั่งคลื่นสมุทร
เฉินซีเห็นดังนั้นจึงไม่ยั้งมืออีก เขาพุ่งร่างเข้าไปทันที!
ตอนนี้ปราณกระบี่คมกริบมากมายระเบิดออกมาจากทั่วร่าง ประหนึ่งเทพกระบี่ ที่ไม่ว่าจะเดินผ่านไปทางใด พวกคนต่างพิภพก็ถูกสังหารสิ้นได้โดยง่าย เลือดกระฉูดขึ้นฟ้า เสียงกรีดร้องดังโหยหวนทั่วท้องนภา
อาจเรียกได้ว่าเฉินซีชี้กระบี่ไปทางใดก็ไม่อาจมีใครหยุดเขาได้ ทุกอย่างถูกทำลายสิ้นในเงื้อมมือของคนผู้นี้!
หากมองมาจากที่ไกล เงาร่างโดดเดี่ยวของเฉินซีนั้นแวบไปมาในกองทัพขณะใหญ่ของพวกคนต่างพิภพ กระบี่เป็นเหมือนเส้นแสงกวาดผ่านรอบข้าง กลิ่นอายดั่งราชันผู้ปกครองใต้หล้า ดูโดดเด่นเหนือใครจนไร้ผู้ใดกล้าสบตาโดยตรง
ท่ามกลางการฆ่าสังหารอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ กองกำลังต่างพิภพนับพันคล้ายกับผ้าขี้ริ้วถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ซากศพนอนกองพะเนิน เลือดนองพื้น
มันเป็นเหตุการณ์น่าตกใจนัก ทำเอาผู้บ่มเพาะพลังทั้งหลายในเมืองตกใจจนพูดไม่ออก ไม่อยากเชื่อสายตาตนว่าจะได้เห็นความมหัศจรรย์เช่นนี้
จะว่าเป็นการสังหารหมู่ก็ไม่แปลก!
สังหารสิ้นในทีเดียว!
ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาผู้นี้เหมือนเทพจุติ มีอำนาจสูงส่งไม่อาจประมาณได้!
คนตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่
ดังนั้นเพราะการต่อสู้จบลงถึงได้เพิ่งตั้งสติได้ พอลองมองดูอีกทีก็ไม่เหลือศัตรูอยู่ในเขตนอกเมืองแล้ว
พื้นที่กว้างขนาดใหญ่เต็มไปด้วยซากศพ กองเลือด กองกระดูก… ได้กลิ่นหืนเอียนของเลือดโชยไปในอากาศ กลิ่นควันสงครามยังคงตลบคลุ้งฟ้าดิน
กองทัพต่างพิภพจึงถูกทำลายสิ้นด้วยประการฉะนี้!
ทั่วทั้งสนามต่อสู้เหลือไว้เพียงเงาร่างสูงยังคงยืนหยัด หลังเขาเหยียดตรง สายตาดุดันดั่งสายฟ้าฟาด ผมยาวหนาสีดำพลิ้วไหวไปตามแรงลม แสงอาทิตย์อัสดงสีแดงอาบไล้ร่าง เป็นเหตุการณ์น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง
รอบข้างตกอยู่ในความเงียบสงัด
ทุกสายตาที่จับจ้องเฉินซีล้วนเจือแววเคารพนับถือ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเพราะเกรงว่าจะเป็นคนทำลายบรรยากาศเงียบสงบนี้
เมื่อราชันโกรธเกรี้ยว ซากศพนับล้านจึงกองพะเนิน!
แม้ผู้อาวุโสท่านนี้จะไม่ใช่ราชัน แต่ก็น่ากลัวกว่าราชันของโลกมนุษย์เสียอีก! เพราะศัตรูคือคนต่างพิภพนับหมื่น แค่ชั่วอึดใจเดียวก็ถูกเขาสังหารสิ้น นับเป็นความสามารถไม่ธรรมดา จะครองทั้งโลกาก็ยังได้
ต่อหน้าตัวตนเช่นนี้ จะมีใครไม่แสดงความเคารพนับถือออกมาได้บ้าง?
เฉินซีเห็นแล้วก็ส่ายหน้า แม้ตอนนี้เขาจะขึ้นขอบเขตเซียนปราชญ์แล้ว แต่ก็ยังไม่ชินกับการที่คนอื่นมองเช่นนี้อยู่ดี
ชายหนุ่มยั้งกลิ่นอายดุดันเอาไว้ ทำให้มันสงบนิ่งกลับคืน จากนั้นเรียกโตวเตี่ยนที่กำลังยืนอึ้งอยู่ไกล ๆ “มาสิ เข้าเมืองกัน”
“อ๊ะ!” โตวเตี่ยนดึงสติหลุดจากภวังค์มาได้ จิตใจนางยังตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าไม่หาย พอได้ยินเฉินซีเรียกจึงได้แต่เดินตามเขาไปอย่างคิดอะไรไม่ออก
เมื่อเห็นว่านางยังดูตกใจอยู่ เฉินซีจึงยักไหล่อย่างจนใจแล้วจับมือนาง พาเดินเข้าเมืองไป “ก็บอกแล้วว่าให้หลับตา เจ้าก็ไม่ฟังเอง ตอนนี้กลัวหรือ?”
โตวเตี่ยนได้แต่พึมพำเสียงเบา และไม่พูดอะไรอีก มือถูกเฉินซีกุมไว้ พอสัมผัสความอบอุ่นที่ฝ่ามือได้ ความกลัวในใจก็เริ่มสลายไปมาก จิตใจจึงสงบลง ทำให้รู้สึกสบายใจได้ในที่สุด
ทั้งสองจึงเดินเข้าเมืองไปทั้งอย่างนั้น ตลอดทางไม่มีใครกล้าหยุดพวกเขา ไม่มีใครกล้าพูดอะไร มีเพียงเสียงเดียวที่เอ่ยขึ้นมาจังหวะที่เฉินซีและโตวเตี่ยนกำลังจะเดินหายลับไปในประตูเมือง
“เจ้า… เจ้าคือ… เฉินซีหรือ?” น้ำเสียงลังเลมีร่องรอยความกระวนกระวายอยู่
ทว่าเฉินซีได้ยินคำเหล่านั้นก็ใจสะดุ้ง เขารีบหันไป พลันเห็นชายกลางคนเจ้าของหน้าตาหล่อเหลากำลังมองเขาอยู่ท่ามกลางผู้บ่มเพาะ สายตาของคนผู้นั้นมีทั้งความตกใจ ความสงสัย และความไม่อยากเชื่อ
เฉินซียิ่งมองคนก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น จึงลองถามออกไปว่า “พี่ตวนมู่?”
พอได้ยินเสียงเฉินซี ชายวัยกลางคนร่างผอมแต่ดูหล่อเหลาก็ชะงักไป ก่อนสายตาจะฉายแววตื่นเต้นออก “เจ้า… เจ้าคือเฉินซีจริง ๆ!”
ในใจเฉินซีเกิดความตะลึงงัน เป็นตวนมู่เจ๋อจริง ๆ ด้วย!
เมื่อหลายปีก่อนตอนเขาอยู่เมืองหมอกสน เขาก็ใช้ความสัมพันธ์กับตู้ชิงซีมาทำความรู้จักกับตวนมู่เจ๋อและซ่งหลินแห่งเมืองทะเลสาบมังกร อีกทั้งยังได้เข้าการทดสอบดินแดนรกร้างใต้พิภพไปด้วยกัน ภายหลังจึงสนิทสนมกันมาก กลายเป็นสหายที่คุยกันได้ทุกเรื่อง
แต่พวกเขาไม่ได้พบกันเป็นเวลานานทีเดียว!
นับตั้งแต่เฉินซีออกจากราชวงศ์ซ่งเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ พวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก วันนี้กลับได้มาพบหน้าอย่างไม่คาดคิดกันในเมืองรุ่งอรุณ ทั้งคู่จึงตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
“บรรพชนตวนมู่ ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นใครกัน?”
“เฉินซี? เฉินซีไหน? คงไม่ใช่คนในตำนานที่มาจากตอนใต้ของเมืองหมอกสนหรอกนะ? แต่ได้ยินว่าเขาไปยังแดนภวังค์ทมิฬและขึ้นภพเซียนไปแล้วนี่?”
“สวรรค์โปรด! สหายตวนมู่เจ๋อผู้นี้รู้จักผู้อาวุโสท่านนี้ด้วยหรือ ตระกูลตวนมู่ไปสานสัมพันธ์กับผู้สูงส่งระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
พอเห็นเฉินซีกับตวนมู่เจ๋อจำกันได้ คนรอบข้างหลายคนก็ส่งเสียงอื้ออึงออกมาทันใด ไม่อยากเชื่อว่าตวนมู่เจ๋อจะรู้จักกับผู้อาวุโสตรงหน้าพวกเขาได้
“พี่ตวนมู่ เราไปหาที่คุยดี ๆ กันเถอะ!” เฉินซีรีบยั้งความคิดทั้งหลายไว้ แล้วบอกตวนมู่เจ๋อ อีกฝ่ายรู้ว่าที่นี่ไม่เหมาะจะสนทนากัน ดังนั้นจึงเดินออกไปพร้อมกับเฉินซี
…
ภายในภัตตาคารเมืองรุ่งอรุณ
เฉินซีกับตวนมู่เจ๋อคุยไปดื่มเหล้าไป ส่วนโตวเตี่ยนก็นั่งเทเหล้าให้พวกเขาอยู่ข้าง ๆ
ยามเพื่อนเก่าได้พบหน้า ย่อมมีเรื่องคุยกันมากมาย
ตอนแรกตวนมู่เจ๋อยังเก็บอาการอยู่เล็กน้อย แต่พอเหล้าเข้าปากหน่อย เขาก็เอาแต่ถอนหายใจออกมา แล้วก็เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ซ่งช่วงหลายปีมานี้ให้เฉินซีฟัง
ซึ่งก็ต้องมีเรื่องความเปลี่ยนแปลงในตระกูลเฉินแห่งเมืองหมอกสน ความเป็นอยู่ของตู้ชิงซีและซ่งหลิน และเรื่องราวของสหายเก่าคนอื่น ๆ…
เฉินซีนั่งฟังเงียบ ๆ เหมือนได้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน ทำให้เขาเองก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน พริบตาเดียวหลายร้อยปีก็ผ่านพ้นไป ใครจะไปคิดว่าหลายสิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้นกับคนรอบตัวเขาเช่นนี้
นี่คืออำนาจของกาลเวลา มันไม่ใช่เพียงเปลี่ยนคนหรือเปลี่ยนสิ่งใดไปได้ แต่ถึงขนาดที่สามารถเปลี่ยนโชคชะตาของคนได้ทีเดียว
“ใช่แล้ว เจ้าขึ้นภพเซียนไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดครั้งนี้จู่ ๆ ถึงกลับมาราชวงศ์ซ่งได้ล่ะ?” ตวนมู่เจ๋อพลันถามขึ้น ทำให้เฉินซีได้สติ
เพล้ง!
เมื่อได้ยินดังนั้น โตวเตี่ยนก็ร่างแข็งค้างไป จอกเหล้าในมือร่วงลงกับพื้นก่อนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ขึ้นภพเซียน? ผู้อาวุโสเฉินซี… จริง ๆ แล้วเป็นเซียนอย่างนั้นหรือ?!