บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1420 โฉมงามใจร้าว
บทที่ 1420 โฉมงามใจร้าว
จี้อวี๋ไม่ปฏิเสธ ยังคงความเงียบเอาไว้
ในใจของเฉินซีค่อย ๆ คลายความตกตะลึง และเริ่มเข้าใจคำพูดจี้อวี๋ขึ้นมาบ้าง ไม่แน่ว่าจี้อวี๋คงอยากรีบจากไปเพราะอย่างไรก็คงไม่อาจหยุดภัยพิบัติในสามภพได้
แต่เขาก็สับสนเช่นกัน จี้อวี๋จะกลับเขาเทพพยากรณ์หรือสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ากันแน่?
หากเป็นตัวเลือกหลัง จี้อวี๋ก็คงจะกลับภพเซียนพร้อมกับเขาก็ได้ เพราะสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอยู่ในภพเซียน แต่หากเป็นอย่างแรก ก็ไม่มีเหตุผลที่จี้อวี๋จะบอกว่าจะจากไป แค่บอกว่าจะกลับเขาเทพพยากรณ์ก็พอแล้ว
จี้อวี๋พลันเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่ต้องเดาสุ่มไปหรอก เพื่อช่วยเหลือข้าเมื่อหลายปีก่อน ศิษย์พี่ของข้าไร้ทางเลือกจึงต้องจากไป ข้าเองตอนนี้ก็จะติดตามเขาไปเช่นกัน”
เขาอยากเดินตามรอยฝูซี! ทันใดนั้น เฉินซีนึกขึ้นได้ว่าศิษย์พี่หญิงหลียางเคยบอกไว้หลายครั้งว่านายท่านเขาเทพพยากรณ์ ฝูซี ได้จากเขาเทพพยากรณ์ไปนานและไม่เคยกลับมาอีกเลย เขาไปที่ใดกันแน่?
ตอนนี้จี้อวี๋ตั้งใจจะเดินตามรอยฝูซี หรือจี้อวี๋จะรู้ว่าฝูซีอยู่ที่ใด?
จังหวะนั้นเองก็พลันได้ยินเสียงเฉินอวี่ดังมา “ท่านลุง ท่านพ่อ… ขอให้ท่านรีบกลับตระกูลก่อน”
ที่มาพร้อมกับเสียงคือเฉินอวี่ที่ปรากฏอยู่กลางอากาศ ก่อนจะเคลื่อนมาด้านข้างเฉินซีอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้เขามีสีหน้าแปลกประหลาดอยู่บ้าง ดูลังเลไม่กล้าเอ่ยคำ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เฉินซีชะงักไป “มีอะไรหรือ?”
เฉินอวี่ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนหัวเราะกล่าว “ไอ้หยา ข้าจะอธิบายอย่างไรดี? ท่านกลับไปเดี๋ยวก็รู้เอง”
“เจ้าหนู เหตุใดต้องทำทีเป็นความลับเช่นนั้นด้วย?” เฉินซีส่งสายตาไม่พอใจมองเฉินอวี่ แต่สุดท้ายก็ยอมกลับไปแต่โดยดี
“ท่านลุงจี้อวี๋ เช่นนั้นข้าจะมาเยี่ยมท่านวันอื่นก็แล้วกัน” พูดถึงจุดนี้ เฉินซีก็เสริมขึ้นว่า “อย่าเพิ่งจากกันทั้งที่ยังไม่ได้ลาเล่า”
จี้อวี๋เงียบไป จากนั้นโบกมือ “เจ้ารีบไปเถอะ ข้าไม่รีบ”
เฉินซีพยักหน้า จากนั้นก็รีบจากไปพร้อมกับเฉินอวี่ เหินร่างไปยังจวนตระกูลเฉินในเมืองหมอกสน
…
จวนตระกูลเฉิน
ตอนนี้เป็นเวลาดึกสงัด แต่ลานบ้านส่วนลึกภายในจวนตระกูลเฉินจุดโคมจนสว่างไสว ทำให้ดูเหมือนเป็นเวลากลางวันก็มิปาน
เฉินฮ่าวกับภรรยา เฟยเหลิ่งชุ่ย ยืนอยู่นอกลานบ้าน เหมือนกำลังรอใครบางคนอยู่
“ไอ้หยา เป็นเพราะเจ้าตัวน้อยเป่าเปานั่นแท้ ๆ ที่ไปบอกเรื่องการกลับมาของท่านพี่เข้า” เฉินฮ่าวได้แต่ถอนหายใจหมดหนทาง
เฟยเหลิ่งชุ่ยเม้มปากคลี่ยิ้ม “ไม่ใช่ความผิดของเป่าเปาหรอก อย่างไรข่าวเรื่องการกลับมาของท่านพี่ก็ต้องเป็นที่รู้กันไม่ช้าก็เร็ว แต่ว่า…” พูดถึงจุดนี้ ใบหน้างามสง่าก็ทำหน้าเหมือนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จากนั้นไม่นานก็เอ่ยขึ้นว่า “แต่ว่าท่านพี่คงต้องลำบากแล้ว”
เฉินฮ่าวเงยหน้าขึ้นมองลานบ้าน ก่อนเอ่ยเสียงเบา “จริง ๆ แล้วมันก็ความผิดท่านพี่นั่นแหละ ก็ใครใช้ให้แต่ก่อนทำตัวเจ้าชู้ไก่กาไปทั่วเล่า?”
พูดจบก็เหมือนนึกอะไรออก มุมปากพลันยกยิ้มกับความโชคร้ายของเฉินซี ตามมาด้วยร่องรอยความอิจฉาเล็กน้อย
แต่โชคร้ายที่ภรรยาเขาบังเอิญสังเกตเห็นร่องรอยนั้น เฟยเหลิ่งชุ่ยส่งเสียงไม่พอใจขึ้นมาทันใด “อะไรกัน? เจ้าโทษที่ข้าเข้มงวดเกินไปอย่างนั้นหรือ? อยากลองอะไรเช่นนั้นบ้างหรือไร?”
เฉินฮ่าวรีบกระแอมกระไอเสียงแห้งแล้วเอ่ยเสียงพร้อมสีหน้าจริงจัง “เหลิ่งชุ่ย ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ? มีเพียงท่านพี่นั่นแหละที่จะทำเช่นนั้นได้ ข้าไม่มีความสามารถหรอก”
เฟยเหลิ่งชุ่ยได้ยินจึงยิ้มพอใจ “อย่างน้อยเจ้าก็มีเหตุผล”
“หึ! สิ่งใดที่มีแต่ข้าถึงจะสามารถทำได้กัน?” เป็นจังหวะนั้นเองที่ได้ยินเสียงกระจ่างดังมา ทำให้เฉินฮ่าวหุบปากทันที พอแหงนหน้ามองอีกทีก็เห็นเฉินซีกำลังเดินเข้ามาท่ามกลางม่านราตรี
“ท่านพี่” เฟยเหลิ่งชุ่ยรีบเดินเข้าไปทักทายเฉินซี
เฉินซีโบกมือให้ จากนั้นคลี่ยิ้มจอมปลอมหันมองเฉินฮ่าว “ไม่คิดเลยว่าจากกันตั้งหลายปี เจ้ากลับกล้านินทาลับหลังข้าได้”
เฉินฮ่าวยิ้มแห้ง “ใครจะกล้าทำเช่นนั้น?”
“ท่านลุง รีบเข้าเรื่องกันดีกว่า” เฉินอวี่ที่เพิ่งมาถึงหลังเฉินซีรีบเข้ามาช่วยท่านพ่อตนทันที
“ก็ได้ ก็ได้ เข้าเรื่องก่อน” เฉินฮ่าวมองบุตรชายด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะรีบนำเฉินซีเดินเข้าลานบ้าน ระหว่างทางก็ส่งกระแสปราณไปว่า “แค่ก ๆ ท่านพี่ ท่านต้องเตรียมจิตใจไว้ให้ดีนะ เอ่อ… ข้าจะไม่เข้าไปด้วยนะ”
เฉินซีชะงักไป “เจ้าเป็นคนอยากพบข้าไม่ใช่หรือ?”
เฉินฮ่าวเกาศีรษะมีสีหน้าประหลาดเล็กน้อย “ไอ้หยา จะว่าอย่างไรดี? เข้าไปเดี๋ยวท่านก็รู้เอง”
ลานแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มาก มีเพียงศาลาดูงดงามแห่งหนึ่งตั้งอยู่ รอบศาลามีธารน้ำไหล มีสะพานจากหยกขาวตั้งอยู่ ราวสะพานประดับไปด้วยดอกไม้พันธุ์ไม้งาม ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกมา ทำให้บรรยากาศดูสงบร่มรื่นยิ่ง
พูดแล้ว เฉินซีก็มาถึงหน้าศาลานั่นพอดี กำลังจะใช้ญาณมหาเทวะอมตะตรวจดูว่าใครที่ทำให้น้องชายของเขาถึงก็พูดอะไรไม่ออกเช่นนี้เป็นใครกันแน่
จังหวะนั้นเอง เฉินฮ่าวที่เดินอยู่ด้านหลังก็พลันก้าวเข้ามาเปิดประตูเสียก่อน ภาพด้านในรากฏสู่สายตาเฉินซี
พอเห็นคนด้านในห้องชัดเจน ม่านตาของชายหนุ่มก็หดตัว ยืนแข็งค้างอยู่กับที่ราวกับถูกฟ้าผ่า อีกทั้งร่างยังแข็งทื่อประหนึ่งตุ๊กตาไม้
ภายในห้องโถงนั้นมีโคมจุดเอาไว้ทำให้สว่างไสว ตกแต่งด้วยความเรียบง่ายไม่หวือหวา บนพื้นปูไปด้วยพรมแดง มีเก้าอี้ไม้จันทน์วางเรียงรายอยู่ด้านข้าง
ตอนนี้ภายในห้องโถงมีโฉมงามทั้งหลายนั่งเรียงรายอยู่ เป็นห้าโฉมสะคราญที่กำลังคุยกันดั่งนกขมิ้น แต่ละคนมีกลิ่นอายแตกต่างกันไป ให้ความรู้สึกเหมือนบุปผางามมากมายผลิดอกบานพร้อมกัน แต่ละดอกก็ครอบครองความงามไม่เหมือนใคร
เย็นชาดั่งน้ำแข็ง
บอบบางน่ารัก
สง่างามประณีต
หอมหวานร้อนแรง
งามดั่งภาพวาด
เป็นห้าคนงามสะท้านใต้หล้า เป็นห้าความงามคนละแบบภายใต้แสงเรืองของโคมไฟ แต่ละคนมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป
ตู้ชิงซี มู่เหยา ย่าชิง อวิ๋นน่า และเหยียนเยียน!
เฉินซีจำห้าโฉมงามได้ตั้งแต่แวบแรก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เฉินซีตกใจจนร่างชะงักค้าง แทบจะหายใจไม่ออกอยู่รอมร่อ
ถึงเขาจะผ่านพายุมามาก ถึงดวงจิตแห่งเต๋าจะถึงขอบเขตทารกดวงใจ แต่ยามได้เห็นห้าโฉมงามที่เคยมีความรู้สึกให้เมื่อหลายปีก่อน มีหรือเขาจะยังคงความเยือกเย็นเอาไว้ได้?
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเฉินฮ่าวถึงทำท่าทางประหลาดเช่นนั้น เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเฉินอวี่ถึงรีบพาเขามาที่นี่…
แต่ถึงจะเข้าใจ สมองก็ยังสับสน นี่ก็ผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว เหตุใดพวกนางถึงมารวมตัวกันอยู่ในตระกูลเฉินได้? หรือว่า… จะเป็นเพราะข้า?
ชายหนุ่มรู้สึกตกตะลึงอยู่ภายใน ความรู้สึกทั้งหลายพวยพุ่ง ทำให้นึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ตอนที่เป็นพ่อครัววิญญาณอยู่ในร้านอาหารนทีกระจ่าง และบังเอิญได้รู้จักกับตู้ชิงซีเข้า
ตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองทะเลสาบมังกรและช่วยมู่เหยากับน้องชายของนางไว้
ตอนที่ทำความรู้จักย่าชิงตอนมาถึงหอขุมทรัพย์สวรรค์เมืองเฟิงเย่
เขาจำได้….
…
หลากหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีต แต่ละเหตุการณ์มีเงาร่างของโฉมงามแต่ละคนซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ถึงจะเพิ่งมานึกได้ตอนนี้ แต่เหตุการณ์ทุกอย่างก็ยังชัดเจนแจ่มแจ้งเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน
ถึงขั้นที่เขานึกถึงชิงซิ่วอี้ ฟ่านอวิ๋นหลาน หวงฝู่ฉิงอิง ซูชิงเยียนได้ทีเดียว…
ว่ากันตามตรง หลายปีที่บ่มเพาะมา ได้พบเจอโฉมงามมาก็มาก แต่เขาตั้งใจจะใฝ่หาเต๋า จึงไม่อาจมอบคำสัญญาหรือคำตอบใดให้กับพวกนางได้จากหลายสาเหตุ
ดังนั้นจึงได้แต่กลบฝังความรู้สึกทั้งหลายไว้ในก้นบึ้งจิตใจ และไม่กล้าคิดถึงมันอีก เขามีเรื่องให้ต้องทำเยอะเกินไป มีภาระแบกไว้บนบ่ามากเกินไป…
ทว่าเฉินซีไม่เคยคิดเลยว่ายามเวลาไหลผ่านไปหลายร้อยปี กลับบ้านเกิดทั้งทีจะได้มาเจอพวกนางเช่นนี้ อีกทั้งพวกนางยังมาอยู่ที่นี่พร้อมกัน เป็นความรู้สึกตกตะลึงดั่งถูกกระบี่แทงเข้าที่กลางอก ทำให้ห่วงความรู้สึกที่ถูกกดอยู่ภายในหลายปีพวยพุ่งออกมาจนหมดสิ้น
ดังนั้นเขาจึงได้แต่อึ้งอยู่กับที่พร้อมสีหน้าสับสนเช่นนี้
“ท่านพี่ รีบเข้าไปสิ!” เฉินฮ่าวกล่าวกระทุ้งพี่ชายจากด้านข้าง
เฉินซีจึงหลุดจากภวังค์ความคิด เขาอ้าปากอยากทักทายพวกนาง แต่สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก
“หึ!” ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกันจากด้านใน เป็นเสียงจากห้าโฉมงามนั่นเอง
จังหวะที่ประตูถูกเปิดออก พวกนางก็เห็นเงาร่างคุ้นเคยของเฉินซีปรากฏสู่สายตา นัยน์ตาพวกนางเป็นประกายเจือแววตื่นเต้นยินดี ในใจก็เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ความทรงจำมากมายพวยพุ่งเข้าสู่ห้วงจิต
แต่เพียงครู่เดียว พวกนางก็เคลื่อนสายตาจากไปพร้อมกันเหมือนนัดกันไว้ ไม่เหลือบมองเฉินซีอีก ใบหน้าแต่ละคนเจือแววรวดร้าว
แต่เมื่อเห็นว่าเฉินซียังยืนอยู่ด้านนอกเหมือนคนโง่ นานแล้วก็ยังไม่ก้าวเข้ามา ในใจก็พลันเกิดความโกรธ ดังนั้นจึงส่งเสียงไม่พอใจออกไป
ยามชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้น ใจเขาพลันสั่นสะท้าน สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าเดินเข้าไป ท่วงท่ายามเดิมก็แข็งกระด้างเหมือนซากศพ
พอพวกนางเห็นเฉินซีเดินเข้ามา ห้าโฉมงามก็เม้มปากคงความเงียบไว้ มองซ้ายทีมองขวาที แต่ไม่มองเฉินซี ความรวดร้าวบนสีหน้ายิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
เช่นนี้ทำให้เฉินซีหนังศีรษะตื้อชา ใจสั่นกลัว แรงกดดันในตอนนี้หนักกว่าที่เคยรู้สึกยามเผชิญหน้ากับราชันเซียนเสียอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงรู้สึกเช่นนี้ สงสัยจะเป็นเพราะเขาติดค้างพวกนางมากเกินไปกระมัง?
หรือที่เขาไม่ทันตั้งตัวจะเป็นเพราะอารมณ์ทั้งหลายจากเมื่อหลายปีก่อน?
เฉินฮ่าวที่ยืนอยู่ด้านนอกเห็นเหตุการณ์นั้นเข้าก็รู้สึกขบขัน กลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ไม่เป็นใจ เขาก็คงจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาให้ก้องฟ้า มีใครเคยเห็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ซ่งมีท่าทางแข็งค้างน่าขันเช่นนี้บ้าง?
“เอาละ หยุดหัวเราะได้แล้ว ไม่เช่นนั้นท่านพี่เห็นเข้าคงได้มาสั่งสอนเจ้าทีหลังแน่!” เฟยเหลิ่งชุ่ยตวัดสายตามองเฉินฮ่าว จากนั้นก็ร้องบอกคนด้านในเสียงนุ่ม “ท่านพี่ ให้ข้าช่วยตระเตรียมงานเลี้ยงดีหรือไม่?”
นับว่าเป็นการช่วยเฉินซีให้หลุดจากสถานการณ์จวนตัว
ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอกทันใด เขากระแอมเสียงแห้ง “ได้เช่นนั้นก็ดี อืม งานเลี้ยงวันนี้ต้องพิเศษ ให้ข้าลงมือทำอาหารเองดีกว่า เราไม่ได้เจอกันนาน ต้องให้ทุกคนได้ลองชิมฝีมือข้าเสียหน่อย”
พูดจบก็ทำท่าจะสับฝีเท้ารีบเดินจากไป ช่วยไม่ได้นี่นา จิตใจเขาตอนนี้ไร้ความสงบ อยากไปหาที่คิดรับมือสถานการณ์ตรงหน้าอย่างสงบ ๆ สักหน่อย
แต่ขายังไม่ทันก้าวพ้นห้องโถงไป ตู้ชิงซี มู่เหยา ย่าชิง อวิ๋นน่า และเหยียนเยียนก็กระวนกระวายใจขึ้นมาทันที หากเขาก้าวเท้าออกไปแล้ว พวกนางคงไม่ต้องรออีกหลายร้อยหลายพันปีหรือ?
ดังนั้นพวกนางจึงร้องเสียงนุ่มออกมาพร้อมกัน “อย่าแม้แต่จะคิด!”
เฉินซีชะงักค้างอยู่กับที่ทันใด