บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1431 คำเชิญร่วมงานฉลองวันเกิด
บทที่ 1431 คำเชิญร่วมงานฉลองวันเกิด
แดนอำนาจเทวะ
ณ ภูเขาขนาดมหึมาที่ปกคลุมไปด้วยหินหลอมเหลว และสว่างไสวดั่งเปลวไฟที่พุ่งสู่ผืนฟ้า
ซุ่ยเหรินถิงนั่งขัดสมาธิราวกับเทพแห่งเปลวเพลิง ทั้งยังมีท่าทางที่สง่างามและสูงส่ง
“มันก็แค่มดปลวกตัวเล็ก ๆ แต่เจ้ากลับสูญเสียราชันเซียนครึ่งขั้นสองคน และศิษย์บริวารเต๋าของนิกาย เว่ยซิง เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ” ซุ่ยเหรินถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และปราศจากอารมณ์ใด ๆ
เว่ยซิงที่ถูกจั่วชิวเฟิงเรียกว่าใต้เท้าเว่ยกำลังยืนอยู่หน้าภูเขาไฟ หัวใจสั่นสะท้าน เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เขารีบโค้งคำนับ “ท่านบรรพบุรุษซุ่ยเหริน ตั้งแต่เฉินซีลงไปสู่ภพมนุษย์ พลังของเขาจะถูกจำกัดอยู่ที่ขอบเขตเซียนทองคำ ดังนั้นเหตุผลที่แผนการล้มเหลวในครั้งนี้ อาจเป็นเพราะมันได้รับความช่วยเหลือจากผู้เยี่ยมยุทธ์ มิฉะนั้น ด้วยพลังฝีมือของราชันเซียนครึ่งขั้นของตระกูลจั่วชิว ย่อมไม่ล้มตายด้วยน้ำมือของมันอย่างแน่นอน”
“ความช่วยเหลือจากผู้เยี่ยมยุทธ์?” ทันใดนั้น ดวงตาของซุ่ยเหรินถิงก็เบิกกว้าง สายฟ้าอันเยือกเย็นก็พุ่งออกมาจากภายในดวงตา “นี่คือคำอธิบายของเจ้า ใช่หรือไม่?”
“ศิษย์ยอมรับความผิดพลาดของตน ท่านบรรพบุรุษโปรดลงโทษศิษย์ด้วย!” เว่ยซิงคุกเข่าจนเกิดเสียงดังตุบ และรู้สึกหวาดกลัวในใจทบทวี ทั้งยังเงียบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาว ไม่กล้าแก้ตัวแม้เพียงครึ่งคำ
เขาเป็นเพียงศิษย์บริวารเต๋า ดังนั้นหากซุ่ยเหรินถิงไม่พอใจ ย่อมสามารถฆ่าได้ โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกใด ๆ
ซึ่งแท้จริงแล้ว เขารู้สึกผิดในใจเช่นกัน ใครจะคาดคิดว่า ราชันเซียนครึ่งขั้นสองคนจะต้องมาล้มตายในภพมนุษย์? นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของแผนการ แต่เป็นเพราะไอ้สารเลวที่ชื่อเฉินซีนั่นผิดปกติเกินไป!
“เจ้าสารเลวนั่นครอบครองกระบี่เต๋าวิบัติและชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับเขาเทพพยากรณ์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการมันจริง ๆ” ซุ่ยเหรินถิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างไม่แยแส
ทว่าก่อนที่เขาจะกล่าววาจาต่อไป ทันใดนั้น ก็มีเสียงอันยิ่งใหญ่ที่ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน “ศิษย์พี่ซุ่ยเหริน รีบมุ่งหน้าไปยังวังวิญญาณหยก ท่านประมุขต้องการพบท่านเป็นการด่วน!”
“ขอบคุณที่แจ้งข้า ศิษย์น้อง” ซุ่ยเหรินถิงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและประสานมือไปยังระยะไกล จากนั้นก็หันมากล่าวกับเว่ยซิง “เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าไปไม่นาน”
เว่ยซิงรีบโค้งคำนับ และถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อร่างของซุ่ยเหรินถิงหายไป แล้วพลันคิดในใจ ไยท่านประมุขถึงต้องการพบท่านบรรพบุรุษด้วย?
…
ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวสู่ทั้งสามภพ เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี
…
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ซุ่ยเหรินถิงก็กลับมา แต่ทว่าคิ้วกลับขมวดแน่น เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องหนักใจ
ก่อนหน้านี้ เมื่อมาถึงวังวิญญาณหยก เขาไม่ได้พบท่านประมุข แต่ได้รับการถ่ายทอดเสียงผ่านกระแสปราณ ว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวสู่ภพทั้งสามเป็นเวลาร้อยปี
แม้ว่าเหตุผลเบื้องหลังนี้จะไม่ได้ชัดเจน แต่ซุ่ยเหรินถิงก็ยังพอเดาเหตุผลได้คร่าว ๆ มันจะต้องเกี่ยวข้องกับกลียุคของสามภพอย่างแน่นอน มิฉะนั้นประมุขนิกายคงไม่สั่งเป็นการส่วนตัวเช่นนี้
ดูเหมือนว่า… ภัยพิบัติครั้งใหญ่กำลังคืบคลานเข้ามาในอีกหนึ่งร้อยปี… หลังจากนั้นไม่นาน ซุ่ยเหรินถิงก็หายใจเข้าลึก ๆ และยืนยันความคิดของตน
“เว่ยซิง”
“ขอรับ” เว่ยซิงที่รออยู่ที่นี่ตั้งแต่ต้น รีบโค้งคำนับให้ซุ่ยเหรินถิง
“เดิมทีข้าตั้งใจจะลงมือด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้าต้องฆ่าเฉินซีภายในหนึ่งร้อยปี! และเพื่อให้ภารกิจของเจ้าง่ายขึ้น เจ้าสามารถใช้เบี้ยของนิกายที่มีอยู่ในภพเซียนได้ทั้งหมด” ซุ่ยเหรินถิงครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะกล่าวช้า ๆ “ข้ามีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น จงนำกระบี่เต๋าวิบัติและชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากกลับมา”
เว่ยซิงรู้สึกโล่งอกทันทีที่ได้ยินสิ่งนี้ “ศิษย์จะไม่ทำให้บรรพบุรุษผิดหวังอย่างแน่นอน!”
ซุ่ยเหรินถิงโยนป้ายคำสั่งไปยังเว่ยซิง สีหน้าดูเครียดขึง พลันกล่าวเสียงเย็น “จำไว้! หากเจ้าไม่สามารถทำงานนี้ให้เสร็จสิ้นได้ภายในเวลาร้อยปี ก็อย่าโทษข้าที่ไร้ปรานี!”
…
ภพเซียน ณ สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
ภายในดินแดนเร้นลับ หัวเจี้ยนคงที่มีผมสีขาวและสวมเสื้อผ้าสีเทาได้นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น
จานข่ายหมื่นดาราลอยอยู่กลางอากาศด้านหลัง เผยให้เห็นแสงของดวงดาวอันเย็นยะเยือกอยู่มากมายนับไม่ถ้วน
โอม!
ทันใดนั้น คลื่นมิติผันผวนที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น จากนั้นแสงเจิดจ้าก็เปล่งประกายจากภายในจานข่ายหมื่นดารา พร้อมกับทางเดินปรากฏขึ้น
หัวเจี้ยนคงที่กำลังนั่งสมาธิพลันลืมตา เมื่อมองไปที่นั่น แน่นอนว่าเขาเห็นร่างของเฉินซีกำลังเดินออกมาจากภายในทางเดิน
“เจ้ากลับมาแล้ว” หัวเจี้ยนคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ผู้อาวุโส” เฉินซีประสานมือคารวะ แล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะเขาได้กลับมาสู่ภพเซียนที่คุ้นเคย และรู้สึกว่าพลังที่ถูกผนึกไว้ ได้ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์แล้ว
ความรู้สึกที่ได้ครอบครองพลังเช่นนี้อีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกมั่นคงในใจ
“เจ้าทำสิ่งที่ตั้งใจไว้เสร็จแล้วหรือ?” หัวเจี้ยนคงถาม
เฉินซีพยักหน้า เรื่องของภพมนุษย์ได้สิ้นสุดลงแล้วจริง ๆ และสิ่งเดียวที่เขาเสียใจ ก็คือไม่สามารถมุ่งหน้าไปยังตระกูลไป๋เพื่อพบกับไป๋หว่านฉิงและคนอื่น ๆ ได้
“ท่านเจ้าสำนักขอให้ข้าบอกเจ้าว่า เมื่อเจ้าเข้าใจมรดกของจักรพรรดิเต๋าอย่างถี่ถ้วนแล้ว ท่านเจ้าสำนักจะพบกับเจ้าเป็นการส่วนตัว ตอนนี้เจ้าได้กลับมาสู่ภพเซียนแล้ว ดังนั้นก็จงสงบใจและบ่มเพาะภายในสำนักเถิด”
“ขอรับ ศิษย์เข้าใจแล้ว” เฉินซีพยักหน้าอีกครั้ง หลังจากพบว่าจี้อวี๋เป็นจักรพรรดิเต๋าในยุคบรรพกาล ชายหนุ่มคิดว่า เจ้าสำนักอาจรู้ตัวตนของเขานานแล้ว
ส่วนหัวเจี้ยนคงจะรู้หรือไม่นั้น เขาเองก็ไม่อาจทราบได้
หรือบางทีเขาอาจจะรู้ทุกอย่างจากเจ้าสำนัก หลังจากเข้าใจมรดกของจักรพรรดิเต๋าอย่างสมบูรณ์แล้ว
หัวเจี้ยนคงไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เขานำเฉินซีออกจากแดนเร้นลับนี้ และส่งอีกฝ่ายไปที่ห้องกระบี่ แล้วจากไป
ฟู่~
หลังจากกลับไปที่พำนักของตน และนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างใน เฉินซีก็ตรวจสอบหม้อกลั่นศักดิ์สิทธิ์เก้าทวีป ก่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที เมื่อไม่พบความผิดปกติภายในนั้น
เพราะนี่คือภพเซียน และหม้อกลั่นศักดิ์สิทธิ์เก้าทวีปก็ไม่ได้มีเพียงโลกใบเล็กอย่างโลกโถงโบราณ ตอนนี้แม้แต่ผู้อาวุโสและศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองก็อยู่ภายในนั้น ดังนั้น หากมันถูกสังเกตเห็นโดยพลังของเต๋าสวรรค์ในภพเซียน เขาจะต้องเผชิญปัญหาอย่างแน่นอน
บางทีอาจไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับหม้อใบจิ๋ว และมีร่างอวตารดูแลพวกเขาภายในหม้อกลั่นศักดิ์สิทธิ์เก้าทวีป… เฉินซีครุ่นคิดในใจอย่างเงียบ ๆ
หม้อกลั่นศักดิ์สิทธิ์เก้าทวีป เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่กักขังชะตากรรมของโลกตั้งแต่จุดเริ่มต้น และถูกแบ่งออกเป็นหม้อศักดิ์สิทธิ์เก้าใบ หม้อแต่ละใบมีโลกอยู่ภายใน และมันก็มหัศจรรย์อย่างยิ่ง
ร่างอวตารนั้นบ่มเพาะเคล็ดหม้อกลั่นนพเก้าเทพยมโลกอยู่ภายในนั้นมาโดยตลอด และมีความก้าวหน้าด้วยอัตราความเร็วที่น่าทึ่ง ปัจจุบันร่างอวตารได้บ่มเพาะเคล็ดนี้จนถึงระดับที่สามแล้ว ซึ่งร่างกายได้รับการขัดเกลาจนบรรลุขอบเขตเซียนทองคำ ดังนั้นความแข็งแกร่งของร่างอวตารก็เพียงพอที่จะบดขยี้เซียนทองคำได้อย่างง่ายดาย
ทว่าความเร็วของการบ่มเพาะยังด้อยกว่าร่างหลักนัก
ซึ่งเฉินซีก็ไม่เคยคาดหวังว่าร่างอวตารจะสามารถพึ่งพาได้มากนัก เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ เขาถือว่าร่างอวตารเป็นไพ่ตายสำหรับหลบหนีจากภัยอันตราย
ตอนนี้ เนื่องจากโถงโบราณและนิกายกระบี่เก้าเรืองรองถูกวางไว้ในหม้อกลั่น ร่างอวตารจึงสามารถบ่มเพาะและพูดคุยกับครอบครัวของเขาได้ในเวลาเดียวกัน นั่นจึงถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินซีก็ย้ายความสนใจไปที่ตราหยกที่อยู่ภายในห้วงจิตสำนัก ซึ่งเป็นมรดกของจักรพรรดิเต๋า น่าเสียดายที่มันถูกปกคลุมด้วยพลังของชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก จึงไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาของแผ่นหยกได้ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ตาม
ช่างมันเถอะ ข้าจะได้รับมรดกนี้แล้ว ตอนนี้ข้าควรสงบใจและบ่มเพาะ แล้วพยายามหลอมรวมตราศักดิ์สิทธิ์แห่งนิจกาลจนสมบูรณ์ ในเวลานั้น มันก็เพียงพอที่จะบัญญัติเต๋าแห่งปราชญ์ยันต์อักขระของตนเอง เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะตัดสินใจได้ในที่สุด
ประสบการณ์ในภพมนุษย์ ทำให้ตระหนักว่าคงอีกไม่นานที่กลียุคของสามภพจะปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ การปรากฏตัวของจั่วชิวฮง จั่วชิวปั๋วอวินและปิงซื่อเทียน ทำให้เฉินซีสัมผัสได้ถึงร่องรอยของภัยอันตราย เห็นได้ชัดว่าตระกูลจั่วชิวและนิกายอำนาจเทวะล้วนมุ่งเป้ามาที่ตน และถึงขั้นที่กองกำลังทั้งสองร่วมมือกันวางแผนร้ายเพื่อกำจัดเขา
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เฉินซีไม่กล้าที่จะหย่อนยานไปมากกว่านี้
แน่นอน หากเขาเปิดฉากทำสงครามเต็มรูปแบบกับตระกูลจั่วชิว ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะล้มเหลว เนื่องจากการวางแผนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นหากสงครามปะทุขึ้น ย่อมมีผู้ยิ่งใหญ่มากมายช่วยเหลือ
ตัวอย่างเช่น สืออวี๋ เซียงหลิวหลี ต้าวเหยา ผางตู่และซุนอู๋เหิ่นจากตำหนักเต๋าหนี่หวา และราชันเซียนรัตติกาลจากทวีปรัตติกาล แม้ว่าปัจจุบันพวกเขาจะอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียน แต่อย่าลืมว่าแต่ละคนได้รับผลวิญญาณเต๋า หากไม่มีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น พวกเขาจะบรรลุขอบเขตเทวาได้ภายในร้อยปี!
ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ฉือฉางเซิงจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า หัวเจี้ยนคง จ้าวไท่ฉือและอ๋าวจิ่วหุย ล้วนได้รับผลวิญญาณเต๋าเช่นกัน หากพวกเขารู้ว่าเฉินซีทำสงครามกับตระกูลจั่วชิว พวกเขาย่อมไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน
นอกจากนั้น กองกำลังเช่นสมาชิกของพันธมิตรดาราและตระกูลเซวียนหยวนที่ยืนอยู่ข้างหลังอาซิ่ว จะกลายเป็นผู้สนับสนุนที่ทรงพลัง
อาจกล่าวได้ว่า เฉินซีได้สร้างเครือข่ายความสัมพันธ์และกองกำลังของตัวเองในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามานานแล้ว และเมื่อสงครามปะทุขึ้น มันจะสั่นคลอนภพเซียนอย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งเดียวที่เฉินซีไม่พอใจก็คือการบ่มเพาะของตัวเขาเอง มันอยู่ที่ขอบเขตเซียนปราชญ์เท่านั้น จึงไม่อาจประกาศสงครามกับตระกูลจั่วชิวได้จนถึงตอนนี้
ดังนั้น เรื่องสำคัญที่สุด คือการพัฒนาการระดับการบ่มเพาะอย่างเต็มที่! ไม่ใช่แค่เพื่อแก้แค้นตระกูลจั่วชิว แต่ยังต้องต่อสู้กับนิกายอำนาจเทวะและกลียุคของสามภพที่กำลังจะเกิดขึ้น!
เมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้อย่างชัดเจน เฉินซีก็ไม่มีอารมณ์ที่จะคิดถึงสิ่งอื่นใด และเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะภายในโลกแห่งดาราทันที
…
ดอกไม้บานและเหี่ยวเฉา ในขณะที่ฤดูใบไม้ผลิผ่านไป และฤดูใบไม้ร่วงก็มาเยือน
สามปีผ่านไปนับตั้งแต่เฉินซีเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ และเท่ากับสิบห้าปีในโลกแห่งดารา
สำหรับผู้ที่อาศัยในภพเซียน เวลาสามปีนี้ผ่านไปเพียงพริบตาเดียว และมันก็ไม่มีความหมายใด ๆ เพราะยามผู้อาวุโสบางคนเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ ครั้งหนึ่งอาจมากกว่าหมื่นปี!
เวลานั้นถึงจะเรียกได้ว่ายาวนานมากสำหรับผู้บ่มเพาะในภพเซียน
ในวันนี้ อาซิ่วก็ไปเยี่ยมเฉินซี เพื่อปลุกเขาจากการบ่มเพาะ
นางชวนข้าไปร่วมงานฉลองวันเกิดของผู้อาวุโสเซวียนหยวนพั่วเซียวหรือ?
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อทราบสาเหตุที่หญิงสาวมาเยือน เขาไม่รู้ว่าเซวียนหยวนพั่วเซียวคือใคร แต่รู้สึกว่านี่เป็นเพียงวันเกิด และที่สำคัญกว่า… คือเหตุใดตัวเขาถึงได้รับเชิญ?