บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1437 ดินแดนกาลเวลา
บทที่ 1437 ดินแดนกาลเวลา
เมื่อเห็นว่าจั่วชิวเฟิงกำลังคล้อยตาม เว่ยซิงก็กล่าวเสริมขณะที่เหล็กยังร้อน “เฉินซีนั่นซ่อนตัวอยู่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ข้าคิดว่าอาจต้องใช้วิธีการพิเศษบางอย่างในการฆ่ามัน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จั่วชิวเฟิงจึงระงับความนึกคิดและสงบลงอย่างสมบูรณ์
นิกายอำนาจเทวะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเว่ยซิง ดังนั้น แม้ว่าเขาจะตกลงที่จะร่วมมือกับเว่ยซิง แต่จั่วชิวเฟิงก็ยังคงมีความระมัดระวังไว้ในใจ เพราะถึงอย่างไร ชื่อเสียงของนิกายอำนาจเทวะในภพทั้งสามนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก มันไล่ตามวิถีแห่งความไร้อารมณ์ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ร่วมมือกับนิกายอำนาจเทวะ คนผู้นั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องระมัดระวัง
“ใต้เท้าเว่ย ข้าขอถามได้หรือไม่ วิธีการพิเศษที่ท่านกล่าวถึงคือสิ่งใด?”
เว่ยซิงยิ้มและหลีกเลี่ยงด้วยการตอบคำถามด้วยคำถามแทน “ปัจจุบัน ตระกูลจั่วชิวเต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน ข้าสงสัยว่าท่านประมุขจั่วชิวมีแผนการอันใดหรือไม่”
จั่วฉิวเฟิงขมวดคิ้วทันที “แต่ความขัดแย้งก็สามารถคลี่คลายได้ในที่สุด มิใช่หรือ?”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน ถ้าใต้เท้าเว่ยเต็มใจช่วยข้า ตระกูลจั่วชิวย่อมจดจำบุญคุณนี้อย่างแน่นอน”
เว่ยซิงยิ้มเช่นกัน “ในเมื่อท่านประมุขจั่วชิวกล่าวแล้ว ข้าจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไร”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ ทั้งคู่ก็เข้าใจความคิดของกันและกัน ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจั่วชิวเฟิงตั้งใจที่จะพึ่งพาพลังของเว่ยซิง เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งภายในตระกูล ในขณะที่เว่ยซิงตั้งใจที่จะคว้าโอกาสนี้เพื่อลากตระกูลจั่วชิวให้เข้าร่วมกับนิกายอำนาจเทวะ เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว ก็ถือได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์
ส่วนตระกูลจั่วชิวจะถูกควบคุมโดยนิกายอำนาจเทวะอย่างสมบูรณ์ หรือหากมันข้ามแม่น้ำได้แล้วรื้อสะพานทิ้ง ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของทั้งสอง
“เพื่อต้านทานกองกำลังภายนอก เราจะต้องรักษาความมั่นคงภายในให้คงที่ ไยเราไม่ดำเนินการทันที และจัดการกับปัญหาภายในของตระกูลจั่วชิวก่อนล่ะ” เว่ยซิงหยั่งเชิง
“ฮ่า ฮ่า ใต้เท้าเว่ย เหตุใดจึงต้องรีบร้อนด้วย?” จั่วชิวเฟิงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ข้าได้ยินมาว่า คนในตระกูลเหล่านั้นที่ต่อต้านท่านประมุขจั่วชิวล้วนเกี่ยวข้องกับจั่วชิวเสวี่ย มารดาของเฉินซี ดังนั้นเหตุใดเราจึงไม่ใช้สิ่งนี้เพื่อข่มขู่เฉินซี และบังคับให้มันมาหาเราอย่างเชื่อฟังเล่า” เว่ยซิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “การทำเช่นนี้ จะสามารถช่วยให้ท่านประมุขจั่วชิวระงับความขัดแย้งภายใน และคุกคามเฉินซีได้ในคราวเดียว อาจกล่าวได้ว่าเป็นการยิงเกาทัณฑ์ลูกเดียว ได้นกถึงสองตัว ท่านเห็นด้วยหรือไม่?”
จั่วชิวเฟิงนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะถามอย่างฉับพลัน “เมื่อหลายปีก่อน บิดาของข้าถึงแก่กรรมอย่างกะทันหัน เรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับนิกายของท่านหรือไม่?”
เว่ยซิงตกตะลึง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง “ท่านประมุขจั่วชิว เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้น”
“ฮึ่ม!” จั่วชิวเฟิงแค่นเสียงเย็น “ถึงใต้เท้าเว่ยจะไม่ทราบ แต่นิกายของท่านย่อมทราบเรื่องนี้ดี แน่นอนว่าข้าไม่ได้ปฏิเสธความร่วมมือ แต่ท่านอย่าคิดว่าจะสามารถปกปิดทุกอย่างได้”
สีหน้าของเว่ยซิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “แน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอทราบได้หรือไม่ ตอนนี้ใต้เท้าเว่ยมีกองกำลังอยู่ในมือกี่กองกำลัง?” จั่วชิวเฟิงถามด้วยท่าทีสบาย ๆ
เว่ยซิงยิ้ม “มากมาย! เกินจินตนาการของท่านประมุขจั่วชิวอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุด ผู้อาวุโสของสำนักศึกษานภาไพศาล สำนักศึกษามหาเดียวดายและสำนักศึกษาระทมสันต์ ต่างมีความยินดีที่จะร่วมมือกับเรา
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “แน่นอนว่านี่เป็นเพียงกองกำลังบางส่วนที่นิกายของข้าวางไว้ในภพเซียน หากท่านผู้นำจั่วชิวต้องการมัน ก็จะมีกองกำลังมาเพิ่มมากขึ้น เพื่อที่จะช่วยตระกูลจั่วชิวกวาดล้างอุปสรรคทั้งปวง”
จั่วชิวเฟิงเงียบไปนานหลังจากได้ยินสิ่งนี้ และกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาในท้ายที่สุด “เช่นนั้น ข้าจะไม่เกรงใจใต้เท้าเว่ย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะกดดันคนในตระกูลที่ต่อต้านข้า ถึงเวลานั้น ข้าคงต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของใต้เท้าเว่ยแล้ว”
เว่ยซิงพยักหน้า “ข้ายินดีรับใช้!”
…
ในวันเดียวกัน จั่วชิวเฟิงใช้เวลาไปเยี่ยมจั่วชิวหวงหลิน และปรึกษาหารืออยู่เป็นเวลานาน
ในคืนนั้นเอง จั่วชิวเฟิงเรียกประชุมตระกูล เขาได้รวบรวมผู้อาวุโสของตระกูลมารวมกัน ก่อนที่จะประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ความขัดแย้งภายในตระกูลจะเป็นสิ่งต้องห้าม หากผู้ใดฝ่าฝืน เขาจะลงโทษโดยไร้ความเมตตา! อย่างน้อยที่สุด ก็ถูกไล่ออกจากตระกูล และอย่างหนักที่สุด อาจถึงขั้นถูกประหารชีวิต!
ทันทีที่สิ้นคำ มันทำให้ผู้อาวุโสทุกคนตะลึงงัน
ตัวอย่างเช่น จั่วชิวเฟยหมิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่สนับสนุนจั่วชิวเสวี่ย พวกเขาต่างโกรธมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกดมันเอาไว้ ภายใต้สัญญาณของจั่วชิวเฟยหมิง และดูเหมือนการยอมรับโดยปริยาย
ทุกคนตระหนักดีว่า ไม่ว่าจั่วชิวเฟิงจะกล่าวอะไร เขาก็จะเริ่มลงมือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และเป้าหมายของการปราบปรามนี้ ก็คือคนในตระกูลทั้งหมดที่นำโดยจั่วชิวเฟยหมิง
ชั่วขณะหนึ่ง ตระกูลจั่วชิวก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล และแสดงสัญญาณของความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรง
จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ จะนิ่งเฉย และรอให้ความตายมาถึงหรือ?
แน่นอนว่าย่อมไม่!
จั่วชิวเฟิงคาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้ว ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ความขัดแย้งภายในปะทุขึ้น ในวันนั้น ภายใต้คำแนะนำของจั่วชิวเฟิง เว่ยซิงปรากฏตัวต่อหน้าสายตาเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลจั่วชิว พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่เว่ยซิง เขามาพร้อมกับผู้อาวุโสของสำนักศึกษานภาไพศาล สำนักศึกษาระทมสันต์ และสำนักศึกษามหาเดียวดาย รวมถึงบรรดาราชันเซียนครึ่งขั้นจากทวีปอื่น ๆ
ในขณะนี้ ทุกคนล้วนเข้าใจแล้วว่า เหตุผลที่จั่วชิวเฟิงกระทำการในลักษณะแข็งกร้าวเช่นนี้ ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังภายนอกที่น่ากลัวอย่างยิ่ง!
ในอดีต การพึ่งพาความช่วยเหลือจากภายนอก เพื่อแทรกแซงเรื่องสำคัญของตระกูลถือว่าเป็นข้อห้ามอย่างใหญ่หลวง เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ และสร้างความเกลียดชังให้กับตระกูลจั่วชิวทั้งหมด
ทว่าในยามคับขันเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์จั่วชิวเฟิง เพราะถึงอย่างไร จั่วชิวเฟิงก็เป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ประกอบกับจั่วชิวหวงหลินและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของตระกูลจั่วชิวก็หนุนหลังเขาอยู่ ดังนั้นในเมื่อพวกเขากระทำการเช่นนี้ จะมีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์จั่วชิวเฟิงอีก?
สำหรับจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ พวกเขาตกเป็นเป้าหมายของการปราบปรามของจั่วชิวเฟิงมาโดยตลอด ดังนั้นจะวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ ก็หาสำคัญ
ในตอนนี้ หากพวกเขากล้าวิพากษ์วิจารณ์ นั่นจะเป็นการเปิดโอกาส ให้จั่วชิวเฟิงบดขยี้พวกตนทั้งหมดทันที!
เมื่อเผชิญหน้ากับแผนการของจั่วชิวเฟิง จั่วชิวเฟยหมิงและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างเลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่ต่อต้าน ราวกับยอมรับความพ่ายแพ้
ทว่าจั่วชิวเฟิงก็ไม่รู้สึกยินดีใด ๆ เพราะนั่นหมายความว่า เขาจะไม่มีข้ออ้างอันชอบธรรมในการบดขยี้พวกจั่วชิวเฟยหมิง ซึ่งการมีอยู่ของคนเหล่านี้ เปรียบดั่งหนามยอกอกจั่วชิวเฟิงอย่างยิ่ง
“เหตุใดไม่กวาดล้างคนในตระกูลเหล่านี้ให้สิ้นเลยเล่า!” นี่คือคำแนะนำของเว่ยซิง
แต่จั่วชิวเฟิงกลับปฏิเสธ เพราะเขามีแผนอยู่ในใจแล้ว ก่อนอื่นจะเรียกคืนอำนาจที่จั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ครอบครอง ก่อนจะยึดตำแหน่งผู้อาวุโส แล้วค่อยจัดการทีละคน บีบบังคับให้ยอมจำนน
ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถจัดการกับปัญหาภายในตระกูลได้โดยไม่ต้องเสียเลือด!
แน่นอนว่าจั่วชิวเฟิงไม่คิดเปิดเผยด้านที่โหดเหี้ยมของตน ให้เหล่าคนดื้อรั้นที่ยอมตายมากกว่ายอมจำนน
“การทำเช่นนี้จะใช้เวลานานมาก” เว่ยซิงขมวดคิ้วอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อได้ยินเกี่ยวกับแผนการของจั่วชิวเฟิง อันที่จริงแล้ว เขารู้ว่ากระทำทั้งหมดนี้ เป็นเพราะคนไม่ได้คลายความระมัดระวัง และเกรงว่าเขาจะฉวยโอกาสนี้ เพื่อให้กองกำลังของนิกายอำนาจเทวะแทรกซึมเข้าไปในตระกูลจั่วชิว
“ใต้เท้าเว่ย มันไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ท่านบอกเองนี่ว่า ขอเพียงเจ้าเด็กเฉินซีถูกฆ่าภายในหนึ่งร้อยปี เวลาเท่านี้ก็เพียงพอที่จะกวาดล้างความขัดแย้งภายในตระกูลข้าได้อย่างสมบูรณ์” จั่วชิวเฟิงยิ้มขณะที่ตบไหล่เว่ยซิงอย่างพึงพอใจ
เว่ยซิงถอนหายใจและไม่ได้กล่าวคำใด แต่กลับหัวเราะเสียงเย็นในใจ ฮึ่ม! หากนิกายอำนาจเทวะ ต้องการยึดครองตระกูลจั่วชิวจริง ๆ เจ้าคิดว่า เจ้า จั่วชิวเฟิง จะสามารถหยุดได้หรือ? ไม่เป็นไร จัดการกับเฉินซี แล้วค่อยจัดการกับตระกูลจั่วชิวก็ยังไม่สาย!
…
ฉากวสันตฤดูที่มีหมอกปกคลุม และดอกท้อที่งดงามตระการตาราวกับพระอาทิตย์ตกดิน
เฉินซีจ้องมองฉากตรงหน้า นี่เป็นฉากอันงดงามและน่าหลงใหลของฤดูใบไม้ผลิ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง สายลมอันเขียวชอุ่มพัดผ่าน ดอกท้อบานสะพรั่ง ช่างเป็นฉากที่งดงามจับใจ
“นี่คือดินแดนกาลเวลาที่เจ้าสำนักได้สร้างขึ้นด้วยตนเอง มันสร้างมาจากมหาเต๋าแห่งเวลา เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ข้าเข้าใจกฎแห่งเวลา ข้าบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่นี่ หากเจ้าตั้งใจที่จะเข้าใจพลังแห่งกาลเวลา บางทีเจ้าสามารถเริ่มต้นจากที่นี่” เสียงของหัวเจี้ยนคงยังคงก้องอยู่ในหูของเขา แต่หัวเจี้ยนคงก็หายไปแล้ว
ดินแดนกาลเวลา!
นี่คือสถานที่บ่มเพาะที่หัวเจี้ยนคงเตรียมไว้ให้เฉินซี มันเต็มไปด้วยพลังแห่งกาลเวลา หลังจากนี้จะสามารถเข้าใจมันได้สำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับโชคของเฉินซีเอง
สถานที่ที่เฉินซียืนอยู่คือ ป่าท้อในดินแดนกาลเวลา และมันเป็นตัวแทนของวสันตฤดู
วสันตฤดูเป็นฤดูที่ความมีชีวิตชีวาปรากฏขึ้นจากผืนดิน ทุกสรรพสิ่งเริ่มงอกงาม
เฉินซียืนนิ่งเป็นเวลานาน จากนั้นก็ส่ายศีรษะ
เพราะไม่ว่าจะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจค้นพบร่องรอยของพลังแห่งกาลเวลาโดยใช้ญาณมหาเทวะอมตะ ดวงจิตแห่งเต๋า หรือวิญญาณ เพื่อตรวจสอบพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้ ดังนั้นการคิดต่อไปจึงเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ
ชายหนุ่มเอามือไพล่หลังขณะเดินลัดเลาะผ่านป่าท้อ ก้าวข้ามลำธารน้ำใสที่คดเคี้ยว และบังเอิญได้เห็นแสงตะวันที่สาดส่องท้องฟ้ายามเย็น
ในเวลาไม่นาน ม่านแห่งราตรีก็เคลื่อนคล้อยลงมา ดวงดาวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงร้องอันแผ่วเบาของแมลงดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ขณะที่สายลมแห่งราตรีพัดมาอย่างแผ่วเบา ทำให้ต้นไม้ส่งเสียงดังหวีดหวิว มันเป็นฉากที่เงียบสงบเกินจะพรรณนา
รัตติกาลนี้ว่างเปล่าและเงียบงัน มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่เดินเพียงลำพังในฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้
หัวใจของเขาค่อย ๆ สงบลง เพียงเหลือบมองทุกสิ่งที่ผ่านไป มองดูภูเขา ลำธาร และทิวทัศน์ เมื่อใดที่รู้สึกพึงพอใจก็จะหยุดมอง แล้วหากไม่สนใจก็จะจากไป
ชายหนุ่มกระทำตามความพอใจ และปล่อยไปตามใจต้องการ
หากเขามีอารมณ์ เขาจะดึงใบหญ้า หรือเด็ดลูกท้อสองสามลูกเพื่อเติมลงในสุราของตน
ต้นไม้โบราณ หินขนาดมหึมา น้ำตก… ร่างสูงใหญ่ย่ำก้าวไปทุกหนทุกแห่ง หยอกล้อกับเหล่าหิ่งห้อยในตอนกลางคืนและเหล่าผีเสื้อท่ามกลางดอกไม้
เมื่อหมดความสนใจ ชายหนุ่มจะสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป ฟันผ่าภูเขา แยกน้ำ และเดินผ่านพื้นที่นั้นในทันที
หลังจากนั้น ม่านแห่งรัตติกาลเลือนหาย ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาลอยเด่นกลางนภา สลายม่านสีดำหมึกแห่งราตรี ปล่อยให้ฟ้าดินเข้าสู่เวลากลางวัน และจากนั้นเวลาก็เคลื่อนจากวสันต์สู่คิมหันต์!
ดวงอาทิตย์อันวิจิตรตระการตาลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่คลื่นความร้อนม้วนตัวขึ้น ดอกบัวบานสะพรั่งท่ามกลางความร้อนแรง
กลางวันและกลางคืนนั้นผันเปลี่ยนในชั่วพริบตา วสันต์ผันเปลี่ยนเป็นคิมหันต์ น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถสัมผัสมันได้
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองและดื่มสุราเข้มข้นหนึ่งอึก ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ท่าทางดูไร้กังวล เส้นผมรวบไว้หลวม ๆ ในขณะที่ก้าวไปข้างหน้า