บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1441 หัวใจแห่งเต๋าปราชญ์
บทที่ 1441 หัวใจแห่งเต๋าปราชญ์
ณ ภายนอกปราการไร้แดน
หัวเจี้ยนคงมีสีหน้าเคร่งขรึม และนั่งขัดสมาธิประหนึ่งรูปปั้น
เขาเฝ้าอยู่ที่นี่มาห้าสิบปีแล้ว!
นี่หมายความว่ามันผ่านไปห้าสิบปีแล้วตั้งแต่ที่เฉินซีเข้าสู่ปราการไร้แดน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววเลยจนถึงตอนนี้
ห้าสิบปีนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อหัวเจี้ยนคงแม้แต่น้อย ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ของเบญจนิมิตแห่งอาสัญที่ลงมาสู่ทวีปคนเถื่อนบรรพกาลในวันนั้น ก็มิอาจสั่นคลอนหัวเจี้ยนคงได้
หลังจากที่มาถึงระดับการบ่มเพาะปัจจุบัน เขาก็ตระหนักได้ถึงความไม่เที่ยงของชีวิตและความตาย ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งใดในโลกภายนอก แม้ว่ากลียุคของสามภพกำลังจะเกิดขึ้น แต่มันก็เป็นเพียง ‘หายนะ’ สำหรับเขาเท่านั้น
การพิชิตมันเท่ากับการแสวงหามหาเต๋าต่อไป
ถ้าเขาไม่สามารถพิชิตมันได้ แล้วจะเป็นอย่างไร?
…
ในวันนี้ หัวเจี้ยนคงซึ่งแต่เดิมกำลังนั่งสมาธิอย่างเงียบ ๆ จู่ ๆ ก็สังเกตเห็นบางสิ่ง จึงลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในขณะนี้ มีเสียงหึ่ง ๆ ดังออกมาจากภายในปราการไร้แดน และพร้อมกับความผันผวนนี้ ได้มีร่างหนึ่งก้าวออกมาจากภายในนั้น
น่าตกใจที่ร่างนี้คือเฉินซี!
“ในที่สุดเจ้าก็ออกมา…” หัวเจี้ยนคงยืนขึ้นและจับจ้องเฉินซี พลันสังเกตเห็นได้ทันทีว่า เมื่อเทียบกับห้าสิบปีก่อน อีกฝ่ายได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งอีกครั้ง
ชายชุดสีเขียวปลิวสะบัด ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวลุ่มลึกและนิ่งสงบ ร่างกายเปี่ยมล้นด้วยกลิ่นอายที่สำรวมสุขุม ซึ่งดูสมบูรณ์และบริสุทธิ์ราวกับพระจันทร์เต็มดวงเหนือผืนฟ้าที่ใสกระจ่าง
ผิวหนังเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันลึกลับของเต๋า แม้กระทั่งผมสีดำหนาก็เปล่งประกายของเต๋าและรัศมีแห่งสวรรค์ ซึ่งในขณะที่ยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางสบาย ๆ เขาก็แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามอันเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งกลับคืนสู่ความเรียบง่าย
เมื่อหัวเจี้ยนคงมองเฉินซีจากระยะไกล มันก็คล้ายกับมองไปยังสถานที่ที่มหาเต๋าพำนักอยู่ และมันก็น่าทึ่งมาก
“ผู้อาวุโส ขอบคุณที่คอยปกป้องระหว่างที่ข้าบ่มเพาะ” เฉินซียิ้มพลางประสานมือคารวะ ทุกวาจาและการกระทำแฝงไปด้วยกลิ่นอายของเต๋า
“เจ้าเข้าใจมันแล้วหรือ?” หัวเจี้ยนคงอดที่จะถามคำถามนี้ไม่ได้ และหว่างคิ้วก็เต็มไปด้วยความตกใจ
มีปราการชีวันและมรณาอันลึกลับทั้งสิบแปดชาติภายในปราการไร้แดน และทุก ๆ ปราการก็เป็นตัวแทนของวัฏจักรแห่งชีวิตและความตาย โดยที่ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่หัวเจี้ยนคงเข้าไปในปราการไร้แดน เพื่อทำความเข้าใจต่อพลังแห่งชีวิตและความตาย เขาต้องใช้เวลากว่าร้อยปี และเกือบจะสูญเสียตัวตนอยู่ภายในนั้น
แต่หลังจากผ่านไปเพียงห้าสิบปี เฉินซีก็ก้าวออกมาจากปราการไร้แดน สิ่งนี่ทำให้หัวเจี้ยนคงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแแรง ๆ… เด็กคนนี้เป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจ ซึ่งไม่อาจตัดสินได้ตามสามัญสำนึกจริง ๆ
“ข้าเข้าใจมันอย่างถ่องแท้แล้ว” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ในช่วงเวลาห้าสิบปีนี้ ภายในปราการไร้แดน เขาได้สัมผัสกับชีวิตที่แตกต่างกันถึงสิบแปดชาติ ซึ่งมันเป็นตัวแทนของวัฏจักรแห่งชีวิตและความตาย
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ ในทุกวัฏจักรแห่งชีวิตและความตาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้ การบ่มเพาะ ความแข็งแกร่ง และแม้กระทั่งนิสัยใจคอ ทั้งหมดล้วนถูกผนึกไว้อย่างสมบูรณ์
กล่าวง่าย ๆ ก็คือ เขาได้ลืมไปว่าตนคือเฉินซี ขณะที่อยู่ในปราการชีวันและมรณาอันลึกลับทั้งสิบแปดชาติ
ตัวอย่างเช่น ในชาติแรก เขากลายเป็นบัณฑิตที่ยากจนในโลกมนุษย์ ได้อ่านบทกวีและตำราทุกประเภท หลังจากเติบใหญ่ เขาบอกลาบิดามารดาที่แก่ชราอย่างเด็ดเดี่ยว และรีบมุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงเพื่อสอบจอหงวน ระหว่างทางไปที่นั่น ก็บังเอิญผ่านวัดในภูเขาที่รกร้าง และได้พบกับวิญญาณของหญิงสาวคนหนึ่ง นางงดงามและมีจิตใจดีงามจนไม่มีใครเทียบได้ เขาตกหลุมรักนางทันที
น่าเสียดายที่มนุษย์และวิญญาณนั้นมีเส้นทางที่แตกต่างกัน เนื่องจากนางเป็นวิญญาณ หญิงสาวจึงถูกหลวงจีนเฒ่าปราบอย่างไร้ความปรานี และการที่เขาหมกมุ่นในความรักมากเกินไป เหตุไม่คาดฝันนี้จึงทำให้เขาจิตวิปลาส กลายเป็นขอทานที่ไร้ชีวิตชีวาและเดินเตร่ไปตามท้องถนน ซึ่งมีชีวิตอยู่โดยไม่สนความเป็นไปของโลก อีกทั้งไม่รู้ความหมายของชีวิต
จนกระทั่งแก่ตัวลง เขาได้อ่านบทกวีบนม้วนคัมภีร์โดยบังเอิญ บทกวีนั่นกล่าวถึงการที่คนเราจะเข้าถึงการรู้แจ้งได้ ก็ต่อเมื่อละทิ้งความหลงใหลทั้งปวง เพราะชีวิตก็เหมือนกับความฝัน
ทันใดนั้น เขาก็รู้แจ้งในบัดดล หลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาก็จากไปด้วยความยินดี
ในชาติที่สอง เฉินซีกลายเป็นนักดาบที่ชิงชังความชั่วร้ายและความอยุติธรรม โดยหมายมั่นที่จะทำลายความอยุติธรรมทั้งปวงในโลก
ในชาติที่สาม เขาได้กลายเป็นหลวงจีนน้อยที่โง่เขลาและไร้เดียงสา ซึ่งคอยรับใช้พุทธองค์อย่างสุดหัวใจ
ในชาติที่สี่ เขาได้กลายเป็นจักรพรรดิที่หนักแน่นและไร้ความปรานี…
…
ปราการชีวันและมรณาอันลึกลับทั้งสิบแปดชาติ คือชีวิตและความตายที่แตกต่างกันสิบแปดชาติ เขาต้องเผชิญกับอุปสรรคและความยากลำบากทุกประเภท ทั้งยังเผชิญกับความสุขอันยิ่งใหญ่ ความโศกเศร้า และความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ในขณะที่ประสบกับวัฏจักรแห่งชีวิตและความตายเหล่านี้
มีเพียงเฉินซีที่รู้รสชาติของมันเท่านั้น
เป็นเพราะเขาได้เห็นสัจธรรมของชีวิตและความตาย ทั้งยังเห็นความไม่เที่ยง ในที่สุดเฉินซีก็รู้แจ้งอย่างฉับพลัน มันเหมือนกับแก่นแท้ที่ประทับอยู่ในหัวใจ แต่มิอาจเข้าใจได้
เปรียบเสมือนกับการเห็นโดยไม่เห็น รู้โดยไม่รู้ เข้าใจแต่ไม่เข้าใจ มันลึกล้ำเกินจะพรรณนา
หลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากเฉินซีแล้ว หัวเจี้ยนคงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความชื่นชม แล้วจึงกล่าวว่า “พลังแห่งชีวิตและความตายเปรียบเสมือนรากฐานของการบ่มเพาะ คนเราไม่อาจเข้าใจชีวิตและความตายของผู้อื่น แต่จะเข้าใจชีวิตของตนเอง”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ “กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีเพียงการเข้าใจกฎแห่งชีวิตและความตายอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะสามารถควบคุมชะตากรรมของตนเองได้!”
เฉินซีพยักหน้า ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า พลังของกฎแห่งชีวิตและความตายไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงพลังฝีมือของคนคนหนึ่ง แต่เป็นการเข้าใจในชีวิตของตนเอง
ก่อนที่จะเข้าใจกฎแห่งชีวิตและความตาย ชีวิตและความตายของคนเราก็เวียนว่ายไปตามลำธาร และมันถูกควบคุมโดยแม่น้ำแห่งโชคชะตา ในขณะที่ใครเข้าใจกฎแห่งชีวิตและความตาย ชะตากรรมก็จะตกอยู่ในกำมือของเราเอง ไม่ใช่สวรรค์!
“บัดนี้ เจ้าได้เข้าใจความลึกล้ำของสามกฎสูงสุดอย่าง เวลา มิติ ชีวิต และความตายแล้ว ดังนั้นเจ้าตั้งใจจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นเมื่อใด?” หัวเจี้ยนคงเอ่ยถาม
“ตอนนี้เลย” เฉินซีตอบโดยไม่ไตร่ตรองใด ๆ ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็เอามือไพล่หลัง ดวงตาพลุ่งพล่านด้วยประกายแสงอันศักดิ์สิทธิ์ที่ลึกล้ำและเจิดจ้า เสมือนตั้งใจจะมองทะลุผ่านความลับทั้งปวงของจักรวาล
“ตอนนี้?” หัวเจี้ยนคงตกตะลึง
ในขณะที่ตกตะลึง เฉินซีก็รวบนิ้วเข้าหากัน ประหนึ่งพู่กันด้ามหนึ่ง แล้วจึงปัดป่ายไปในอากาศ
มันเป็นการกระทำที่เรียบง่ายมาก ทั้งยังกระทำด้วยท่าทางที่สบาย ๆ และไร้กังวล ทว่าเมื่อการปัดป่ายเสร็จสิ้น สัญลักษณ์ที่ดูลึกลับก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของชายหนุ่ม
สัญลักษณ์นี้แม้จะดูเรียบง่ายอย่างยิ่ง แต่แท้จริงแล้วกลับคลุมเครือและลึกลับ เมื่อมองดูอย่างระมัดระวัง ก็จะสามารถมองเห็นแม้กระทั่งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ภูเขา แม่น้ำ ภูมิทัศน์ สัตว์ร้าย พืชพรรณ ก้อนหิน… แม้แต่การเปลี่ยนแปลงในฟ้าดิน วัฏจักรของประวัติศาสตร์ การเคลื่อนคล้อยของกาลเวลา… ทุกสิ่งสามารถพบเห็นจากภายในนั้น
มันเป็นเพียงสัญลักษณ์เดียว แต่กลับมีความลึกซึ้งอยู่มากมายมหาศาล!
เฉินซีจ้องมองที่สัญลักษณ์และไตร่ตรอง “เส้นทางของปราชญ์คือการเผยแพร่เต๋าไปทั่วโลก ข้าหวังว่าเมื่อเคล็ดวิธีนี้ปรากฏขึ้นในโลก ผู้ที่มีชะตาต้องกัน จะสามารถพึ่งพาสิ่งนี้เพื่อเข้าสู่เส้นทางสู่เต๋า!”
ทันทีที่สิ้นคำ เขาก็ยกมือขึ้นและแตะเข้าที่สัญลักษณ์นั่น!
ความรู้สึกลึกล้ำอุบัติในใจของเฉินซีทันที และมันแพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ ท่วงทำนองของปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่และไร้ขอบเขตก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน มันแพร่กระจายไปทั่วโลกา เหล่าเซียนปราชญ์ในสามภพทั้งหมดล้วนสัมผัสได้ และจ้องมองไปทางสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างพร้อมเพรียงกัน
“หัวใจแห่งเต๋าปราชญ์!”
หัวเจี้ยนคงมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกายด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ ความตกใจฉายชัดบนใบหน้า
หัวใจแห่งเต๋าปราชญ์คืออะไร?
มันคือการสร้างหัวใจให้กับเต๋าปราชญ์!
สร้างโชคชะตาให้กับสิ่งมีชีวิตบนโลก!
เพื่อถ่ายทอดเคล็ดวิธีอันยอดเยี่ยมให้กับเหล่าปราชญ์ในอนาคต!
เพื่อสืบทอดเต๋าไปสู่รุ่นต่อ ๆ ไป!
ตราบใดที่สามารถทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหล่านี้สำเร็จ คนผู้นั้นอาจกล่าวได้ว่าครอบครองหัวใจแห่งเต๋าปราชญ์แล้ว
ขอบเขตเซียนปราชญ์ หมายความว่า กลายเป็นปราชญ์ที่สามารถเผยแพร่เต๋าไปทั่วโลก และก่อตั้งนิกายของตนเองได้ แต่ทว่า มีเพียงหนึ่งในล้านที่สามารถครอบครองหัวใจแห่งเต๋าปราชญ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาตั้งแต่สมัยโบราณ
เนื่องจากการปรากฏตัวของหัวใจแห่งเต๋าปราชญ์ นั่นหมายความว่าเคล็ดวิธีในการทำความเข้าใจในเส้นทางสู่มหาเต๋าได้ปรากฏภายในสามภพ ตราบใดที่ผู้บ่มเพาะแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาจะสามารถพบกับเคล็ดวิธีนี้ได้ในที่สุด และถือได้ว่าเป็นอานิสงส์อันประเมินค่าไม่ได้!
ทว่าตอนนี้ เฉินซีได้สร้างหัวใจแห่งเต๋าปราชญ์ของตนเองแล้ว และถือได้ว่าเป็นการสืบทอดเต๋าไปอีกหลายชั่วอายุคน!
มันคล้ายคลึงกับปณิธานอันแรงกล้าที่พุทธองค์ทรงปฏิญาณไว้ มันแสดงถึงความปรารถนา เป้าหมาย และความแน่วแน่ต่อมหาเต๋าของตนเองบนเส้นทางสู่การเป็นเทพ
ยกตัวอย่างในสมัยบรรพกาล พุทธองค์เคยปฏิญาณไว้ด้วยปณิธานอันแรงกล้าว่า ถ้าเราไม่ลงนรก แล้วใครจะลงนรก?
ปณิธานอันแรงกล้านี้ ทำให้พุทธองค์มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งสามสามภพ ซึ่งได้รับความเคารพนับถือและสรรเสริญจากรุ่นสู่รุ่น
ในขณะที่ หัวเจี้ยนคงตกตะลึง ขณะที่นิ้วของเฉินซีแตะลงบนสัญลักษณ์ที่มีหัวใจแห่งเต๋าปราชญ์ ชายหนุ่มก็ดูเหมือนหลุดพ้นจากพันธนาการ และก้าวทะยานไปข้างหน้าทันที!
ครืน!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน!
ทันใดนั้น แสงสีทองอันทรงพลังและพร่างพราวอย่างไร้ขอบเขต ก็พุ่งออกมาจากร่างของเฉินซี แล้วพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้า มันยังคงทะยานขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง ทะลวงผ่านท้องฟ้าสีคราม และทะลุไปถึงจักรวาลโดยทันที ทำให้ดวงดาวมากมายในจักรวาลสั่นสะเทือน!
แสงนี้เคลื่อนที่ในแนวนอนและแนวตั้ง และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของราชันเซียน มันอยู่ในสภาพที่ไม่มีตัวตนและไร้ขอบเขต ซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างเฉินซีกับโลก!
ภายใต้ผลกระทบของแสงนี้ เมฆบนท้องฟ้าก็กระจายตัวออกไป ดาวตกร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า และส่องสว่างไปทั่วโลก อาบไล้ร่างกายของเฉินซีที่อยู่ข้างใต้
ทันใดนั้น เฉินซียืนอยู่กลางอากาศ กระแสลมพัดผ่านร่าง พลังงานจากฟ้าดินทั้งหมดสั่นไหวอยู่รอบตัว ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายอันน่าเกรงกามก็พวยพุ่งอย่างต่อเนื่อง!
ในไม่กี่ลมหายใจ กลิ่นอายของเฉินซีก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และทุก ๆ การเคลื่อนไหวก็แฝงไปด้วยกลิ่นอายยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของราชัน
ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น!
ในพริบตา หัวเจี้ยนคงก็ตระหนักได้ทันที และอุทานด้วยความประหลาดใจ “แสงของดวงดาวแห่งจักรวาลตอบสนองต่อกลิ่นอายของเขา พลังงานของโลกหมุนวนอยู่รอบตัว นี่คือกลิ่นอายของราชันเซียน! เขาจะต้องบรรลุมหาเต๋าได้อย่างแน่นอน!”
ในที่สุด เขาก็เข้าใจคำว่า ‘ตอนนี้’ ของอีกฝ่ายแล้ว
ตั้งแต่เฉินซีก้าวออกมาจากปราการไร้ขอบเขต จนกระทั่งบรรลุขอบเขตราชันครึ่งขั้นในรวดเดียว เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น!
นี่หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่าตั้งแต่ในปราการไร้แดน เขาก็มีคุณสมบัติที่จะพุ่งเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นแล้ว ตอนนี้จึงสามารถทะลวงขอบเขต และบรรลุอย่างรวดเร็ว!
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาถึงเวลาที่เฉินซีใช้ในการบรรลุขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น ชายผู้นี้ใช้เวลาเพียงเจ็ดสิบปีเท่านั้น
เจ็ดสิบปี!
นับตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ถือได้ว่าเป็นความเร็วในการบรรลุที่น่าอัศจรรย์อย่างไม่มีใครเทียบได้อย่างแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนัก เพราะการบรรลุสิ่งนี้ ย่อมอยู่ในความคาดการณ์ของเขาแล้ว ทุกสิ่งที่ทำไปก่อนหน้านี้ ก็ทำตามเจตจำนงในใจของตนเท่านั้น
แต่หลังจากที่บรรลุขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น และสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย เฉินซีก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง