บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1445 การต่อสู้ที่สิ้นหวัง
บทที่ 1445 การต่อสู้ที่สิ้นหวัง
ตึง! ตึง!
ภายในทะเลทรายเนตรสวรรค์ เพลิงกาฬแห่งสงครามเดือดพล่านจากการปะทะกันของสมบัติอมตะจำนวนมากบนอากาศ รัศมีเซียนทั้งหลายปะทุคลั่งในขณะที่พลังซึ่งเป็นผลพวงจากแรงโจมตีได้เปลี่ยนให้พื้นที่มิติกลายเป็นผุยผง ความรุนแรงของมันทำลายแม้แต่ฟ้าดินให้พังทลาย คลื่นแห่งความโกลาหลซัดสาด ผืนปฐพีทั่วระแหงตกอยู่ใต้เงามืด
การต่อสู้ที่ดุเดือดดำเนินไปกว่าสามวันสามคืน ทั่วทุกพื้นที่ของทะเลทรายเนตรสวรรค์อาบนองไปด้วยโลหิตเซียน พวกมันย้อมแผ่นฟ้าให้กลายเป็นสีแดงสดคล้ายกับตกอยู่ใต้แดนชำระล้าง พื้นที่โดยรอบกำจายซ่านไปด้วยกลิ่นอายแห่งสงคราม เลือด และความตาย
หากการต่อสู้ระหว่างสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งภพเซียนนี้เกิดขึ้นในโลกภายนอก มันคงจะทำลายดินแดนนับไม่ถ้วนและกวาดล้างผู้บริสุทธิ์จนแทบหมดแผ่นดิน
โชคดีที่ที่นี่คือทะเลทรายเนตรสวรรค์ซึ่งมีพื้นที่ทอดไกลกว่าสิบล้านลี้ สภาพแวดล้อมของมันเลวร้ายอย่างยิ่ง ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้มีไม่มากนัก ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าการต่อสู้จะรุนแรงหรือเลือดสาดมากเพียงใด มันก็จะไม่ส่งผลกระทบออกไปยังภายนอก
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อการต่อสู้ที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลกานี้ปะทุขึ้น ทั่วทั้งทะเลทรายเนตรสวรรค์ก็พลันถูกทำลายด้วยไฟแห่งสงคราม และเสื่อมสลายไปจากโลกด้วยถูกเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นห้วงแห่งซากปรักรกร้าง
กาลเวลาผ่านไปถึงสามวันเต็ม!
ที่ด้านนอกสนามรบ จั่วชิวเฟิง ผู้นำตระกูลจั่วชิวทอดมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเยือกเย็นตลอดสามวัน กระทั่งการต่อสู้มาถึงจุดที่พลังหลักของฝ่ายจั่วชิวเฟยหมิงถูกทำลายไปจนใกล้จะหมดสิ้น ในตอนนี้พวกเขาเหลือเพียงกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่กำลังต่อสู้ด้วยความสิ้นหวัง
ผิดกับฝ่ายของจั่วชิวเฟิงที่แม้จะสูญเสียกำลังสำคัญไปมากเช่นกัน แต่หากเทียบกันแล้ว มันยังเป็นความสูญเสียในระดับที่ยังยอมรับได้
อย่างไรก็ตาม เขากลับไม่มีความปีติยินดีใดปรากฏขึ้นในห้วงใจแม้แต่น้อย เหตุผลน่ะหรือ ง่ายมาก การต่อสู้ครั้งนี้อย่างไรก็เกิดจากความขัดแย้งภายในของตระกูลจั่วชิว ไม่ว่าจะฝั่งของตนหรือคู่ตรงข้ามก็ล้วนแต่เป็นคนของตระกูลจั่วชิวทั้งสิ้น เลือดที่นองท่วมพื้นก็เป็นเลือดของตระกูลจั่วชิว จะมีใครที่ไหนยินดีจากเบื้องแท้ของใจที่ได้ฆ่าคนในตระกูลกันเล่า?
พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าหากจั่วชิวเฟิงไม่ถูกสถานการณ์บีบคั้น เขาก็คงไม่เลือกใช้วิธีการที่รุนแรงและป่าเถื่อนเช่นนี้แน่!
แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อสหายเต๋าเหล่านี้เป็นผู้บีบให้ข้าต้องทำ!
จั่วชิวเฟิงกวาดมองยังสมรภูมิที่อยู่ห่างไกลออกไปทั้งสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีแม้แต่ร่องรอยแห่งความเวทนาใดปรากฏในยามที่เสียงครวญไห้กระทบโสตประสาท นับแต่อดีตกาลจนถึงตอนนี้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ล้วนแล้วแต่ต้องโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และไร้เมตตาทั้งสิ้น!
ดั่งคำกล่าวที่ว่า กองทัพไม่อาจบัญชาด้วยความปรานี
จั่วชิวเฟิงเชื่อว่าหากใครสักคนต้องขึ้นมาอยู่จุดเดียวกับตน คนผู้นั้นก็คงจะต้องเลือกวิธีการที่โหดร้ายไม่ต่างกัน แน่นอน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อความมั่นคงภายในของตระกูลจั่วชิว และเขาคือคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของผู้นำตระกูล
เขามีแต่ต้องทำมันเท่านั้น!
หากจะโทษใครสักคน ก็จงโทษตัวเองเถิดที่กล้ามาต่อกรกับข้า แม้ว่าหากบรรพชนตระกูลจั่วชิวตื่นขึ้นมาจากหลุม พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะเอาผิดข้าได้… จั่วชิวเฟิงพึมพำกับตัวเองในใจ
“รายงานท่านผู้ประมุข ตอนนี้ศัตรูเหลืออยู่เพียงสิบเจ็ดคนเท่านั้น กบฏจั่วชิวเฟยหมิงยังคงปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อความตายและยังคงดิ้นรนด้วยความสิ้นหวัง ในขณะเดียวกัน ฝ่ายของพวกเราสูญเสียราชันเซียนครึ่งขั้นไปหกคน ส่วนราชันเซียนครึ่งขั้นอีกสามสิบห้าคนและท่านบรรพบุรุษหวงหลินยังคงอยู่ในการต่อสู้ นับว่าพวกเราอยู่จุดที่ยังได้เปรียบขอรับ” ตอนนั้นเอง บุรุษวัยกลางคนร่างกำยำก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางอากาศเบาบางและประสานมือคำนับระหว่างที่รายงานสถานการณ์ต่อจั่วชิวเฟิง
จั่วชิวเฟิงตกอยู่ในภวังค์ความคิดลึกซึ้ง เขายังคงพูดเช่นเดิม “กดดันคนพวกนั้นต่อไป อย่าให้ใครหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!”
“รับทราบ!” ชายวัยกลางคนรับบัญชาด้วยความเคารพก่อนจะหายไปในทันที
“ฮ่า ๆ ๆ! ขอแสดงความยินดีกับประมุขจั่วชิว ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ผลลัพธ์คงกระจ่างในอีกไม่เกินหนึ่งชั่วยาม!” ทันทีที่เว่ยซิงได้ยินเช่นนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและรีบแสดงความยินดีกับอีกฝ่าย
จั่วชิวเฟิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยจากเบื้องลึกของจิตใจต่อคำพูดเหล่านั้น กระนั้นเขาก็ยังคงตอบเว่ยซิงด้วยเสียงเรียบเฉย “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการช่วยเหลือของใต้เท้าเว่ย”
ขณะที่จั่วชิวเฟิงพูด เขาก็มองไปที่ด้านหลังของเว่ยซิงโดยไม่ได้ตั้งใจ
ดวงตาสะท้อนภาพของคนเก้าคนที่สวมผ้าคลุมสีดำ คนเหล่านั้นเปี่ยมไปด้วยรัศมีที่สลัวรางอย่างยิ่ง แม้แต่ผ้าคลุมก็อัดแน่นไปด้วยพลังประหลาดที่ทำให้ผู้คนไม่อาจตั้งตัวถึงการมาถึงของพวกเขาได้ ช่างเป็นกลุ่มคนที่ดูลึกลับไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม จั่วชิวเฟิงนั้นตระหนักดีว่าร่างลึกลับในผ้าคลุมทั้งเก้าคนนั้นอยู่ในขอบเขตราชันเซียน! พวกเขาคือหมากหลักที่นิกายอำนาจเทวะวางไว้ให้เป็นสุดยอดขุมพลังแห่งภพเซียนมาตลอดหลายปีที่ผ่าน!
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล่วงรู้ถึงตัวตนของพวกเขา
จั่วชิวเฟิงไม่เห็นความสำคัญใดที่จะต้องสนใจถึงตัวตนภายใต้ชุดคลุมของคนซึ่งอาศัยอยู่ในภพเซียน แต่กระนั้นใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะคลางแคลง พูดกันตามตรง ตั้งแต่ที่เว่ยซิงนำหมากหลักเหล่านี้มาด้วย มันก็ทำให้ใจของเขาบังเกิดความระแวงอย่างยิ่ง
ตอนนี้เว่ยซิงมีร่างลึกลับใต้ผ้าคลุมอยู่เก้าคน ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมีราชันเซียนครึ่งขั้นจำนวนหกสิบเก้าคนอยู่ในฝั่งของตน ยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สวมผ้าคลุมสีดำทั้งสิ้น พวกเขาคือหมากที่นิกายอำนาจเทวะวางไว้ในภพเซียนอย่างแน่นอน
กล่าวโดยสรุป บรรดายอดฝีมือทั้งหลายที่เว่ยซิงเป็นผู้นำมานั้นประกอบไปด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนเก้าคน และขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นหกสิบเก้าคน หากพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ประสานกันเป็นหนึ่งแล้วละก็ มันก็เพียงพอจะกวาดล้างกองกำลังขนาดใหญ่ในภพเซียนได้มากมายเลยทีเดียว!
เมื่อต้องเผชิญกับพลังเช่นนี้ มีหรือที่จั่วชิวเฟิงจะไม่นึกระแวง?
ถ้าหากตัวตนเหล่านี้ร่วมมือกับตระกูลจั่วชิวเพื่อฆ่าเฉินซี จั่วชิวเฟิงก็คงไม่รู้สึกเป็นกังวลเท่าไรนัก ทว่าสิ่งที่เขากังวลในตอนนี้ก็คือกองกำลังแห่งนิกายอำนาจเทวะ อาจจะเข้ามาแทรกซึมและบงการตระกูลจั่วชิวเสียเองหลังจากที่จัดการกับเฉินซีแล้ว
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้จั่วชิวเฟิงหวาดระแวงอย่างถึงที่สุด
“อันที่จริง หากท่านประมุขจั่วชิวยินดี ข้าก็ขอรับประกันว่าจะทำให้การต่อสู้ตรงหน้าสิ้นสุดลงโดยง่ายภายในไม่กี่เค่อ” ในขณะที่จั่วชิวเฟิงกำลังท่องไปในความคิดของตน เว่ยซิงก็พูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม ร่องรอยบนหน้าผากเด่นชัดซึ่งความมั่นใจอันแรงกล้า
“ไม่จำเป็น อย่างไรเสียนี่เป็นเรื่องภายในตระกูลจั่วชิวของข้า ไม่มีเหตุผลอื่นใดให้คนนอกเข้ามาแทรกแซง” จั่วชิวเฟิงปฏิเสธอย่างเด็ดขาดทั้งใจหวั่นวิตก
ในช่วงต้นของการต่อสู้ จั่วชิวเฟิงปฏิเสธข้อเสนอของเว่ยซิงที่จะเข้ามาเป็นผู้นำในการจัดการกับจั่วชิวเฟยหมิง รวมถึงคนทรยศคนอื่น ๆ ในกลุ่ม
เหตุผลก็เหมือนกับที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ นี่เป็นเรื่องภายในของตระกูลจั่วชิว ดังนั้นจะให้มองใครก็ไม่รู้สังหารคนในตระกูลของตนได้อย่างไร?
หลังจากความวุ่นวายนี้เกิดขึ้น แม้ว่าเขาจะกอดเก้าอี้ของผู้นำตระกูลไว้ได้ แต่คนอื่น ๆ ในตระกูลจั่วชิวก็คงจะมีความแค้นเคืองต่อเขาอย่างแน่นอน
พูดง่าย ๆ ก็คือ เหตุผลที่จั่วชิวเฟิงยอมร่วมมือกับเว่ยซิงในครั้งนี้ก็ไม่ใช่ด้วยเหตุผลใดอื่น หากเพียงต้องการหยิบยืมพลังของนิกายอำนาจเทวะในการปราบปรามและจัดการกับกลุ่มคนที่ต่อต้านตนเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น ในเวลาที่ต้องลงมือเคลื่อนไหวเพื่อจัดการกับบรรดาคนในตระกูลจริง ๆ เขาก็ตั้งใจที่จะไม่พึ่งพาพลังของนิกายอำนาจเทวะอย่างเด็ดดาด มันเป็นเส้นที่ขีดเอาไว้เพื่อปกป้องไม่ให้ตระกูลจั่วชิวถูกนิกายอำนาจเทวะเข้าแทรกแซงและขึ้นมามีอำนาจเหนือผู้นำตระกูล
เมื่อเว่ยซิงได้ยินเช่นนั้น เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ หากแต่หัวเราะเสียงเยียบเย็นภายในใจ
ในความคิดของเขา การกระทำของจั่วชิวเฟิงไม่ใช่แค่โง่ธรรมดา แต่เรียกได้ว่าโง่บรม เพราะถ้าหากไม่เอาแต่ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความขัดแย้งอันแสนวุ่นวายนี้ก็คงจบสิ้นไปตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนแล้ว
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยอมทำตามข้อเสนอ
สิ่งนี้ทำให้เว่ยซิงไม่พอใจอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เขายอมทุ่มสุดตัว ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อดึงหมากหลักทั้งเก้าที่อยู่ในขอบเขตราชันเซียน และหมากรองทั้งหกสิบเก้าคนที่อยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งก้าวให้มาอยู่ฝั่งเดียวกับตน
หากพลังที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ถูกหย่อนลงไปในการต่อสู้ ผลของการปะทะก็คงเป็นอันได้คำตอบอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้น จั่วชิวเฟิงกลับเอาแต่บอกปัดปฏิเสธ พวกเขาจึงทำได้เพียงอยู่เฉย ๆ และมีหน้าที่คอยดูการต่อสู้แต่เพียงเท่านั้น
มีหรือที่เว่ยซิงจะพอใจให้เป็นเช่นนี้?
หึ! ทั้งที่ตอนนี้ก็ทำตัวไม่ต่างหญิงงามเมืองเร่ขายความเริงรมย์ แต่กลับยังพยายามสร้างอนุสรณ์เพื่อพิสูจน์พรหมจรรย์อยู่ได้ หากไม่ใช่ว่าเพราะข้าเกรงกริ่งไอ้แพะเฒ่าสองตัวที่อยู่ขอบเขตเทวาในตระกูลจั่วชิวของเจ้าแล้วละก็ ข้าคงจะฆ่าไอ้สารเลวที่โฉดเขลาเบาปัญญาอย่างเจ้าไปแล้ว! เว่ยซิงไม่พอใจอย่างมาก ทว่าเขาทำได้เพียงอดทนเท่านั้น เมื่อความขัดแย้งภายในที่เกิดขึ้นนี้จบลงเมื่อใด เขาจะจับตัวจั่วชิวเฟยหมิงและคนสำคัญอีกสองสามคนไปข่มขู่เฉินซีให้ยอมจำนน ถึงตอนนั้น เขาก็จะได้ครอบครองกระบี่เต๋าวิบัติและชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากตามที่วางแผนไว้เสียที
นี่คือสิ่งที่เว่ยซิงต้องการมากที่สุด
“รายงานท่านประมุข ตอนนี้เหลือศัตรูเพียงเก้าคนเท่านั้น พวกเขาถูกท่านบรรพบุรุษหวงหลินและคนอื่น ๆ ล้อมไว้อย่างแน่นหนาแล้ว! จะให้พวกข้าทำเช่นไรต่อดีขอรับ? เชิญท่านประมุขบัญชา!” ครั้นเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ชายวัยกลางคนร่างกำยำคนก็เดินกลับมารายงานสถานการณ์ต่อจั่วชิวเฟิงอีกครั้ง
ในที่สุดเวลาที่รอคอยก็มาถึง… ความขัดแย้งภายในที่ดำเนินมาหลายร้อยปีถึงคราวสิ้นสุดลง! จั่วชิวเฟิงรู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะโบกมือสั่ง “มาเถอะ ไปดูคนพวกนั้นกัน!
สิ้นเสียงพูด เขาก็หายตัวไปพร้อมกับชายวัยกลางคนผู้นั้นทันที
“ตามพวกเขาไป!” แววตาของเว่ยซิงทอประกายแสงวาวโรจน์ พลางส่งกระแสปราณไปยังคนอื่น ๆ ก่อนจะพาร่างในผ้าคลุมสีดำตามจั่วชิวเฟิงไป
…
ณ ส่วนลึกของทะเลทรายเนตรสวรรค์
ท่ามกลางการต่อสู้ที่ยุติลง
ผู้อาวุโสของตระกูลซึ่งนำโดยจั่วชิวหวงหลินยืนล้อมจากทุกสารทิศ พวกเขาสร้างค่ายกลที่แน่นหนาล้อมรอบจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ เอาไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่มีทางใดที่ศัตรูจะล่าถอยออกไปได้
“น้องสาม เจ้าควรจะพอได้แล้ว ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เลือดของตระกูลจั่วชิวหลั่งนองมากเกินไปแล้ว หันไปทางไหนก็มีแต่คนของเราที่ตายตก เจ้าควรรู้ตัวได้แล้วว่าที่เรื่องมันเลวร้ายเช่นวันนี้ก็เป็นเพราะความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของเจ้า” จั่วชิวหวงหลินยืนเอามือไพล่หลังพลางถอนหายใจ
“เหอะ! พี่รอง ท่านลืมไปแล้วหรือว่าเหตุใดหลายปีก่อนพี่ใหญ่จึงตกตาย? ใช่แล้ว มันเป็นเพราะนิกายอำนาจเทวะ! จนถึงตอนนี้ พวกท่านก็ยังปฏิเสธที่จะเรียนรู้ความผิดพลาดของตัวเองและพึ่งพาพลังของนิกายอำนาจเทวะเพื่อสังหารคนในตระกูลตัวเอง! พวกท่านทุกคนสมควรตาย!” จั่วชิวเฟยหมิงตะโกนก้องอย่างเกรี้ยวกราด ร่างอาบชโลมไปด้วยเลือด มันเป็นสีแดงเช่นเดียวกับดวงตาที่คั่งแค้นไปด้วยความโกรธ เขาในตอนนี้เป็นเหมือนกับสัตว์ร้ายจนตรอกที่พร้อมจะสู้ยิบตา
ผู้อาวุโสระดับสูงของตระกูลจั่วชิวที่ยังเหลืออยู่อีกแปดคนสุดท้ายต่างก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวไม่ต่างกัน มันเต็มไปด้วยความชิงชังอันไร้ที่สิ้นสุด สหายส่วนใหญ่ถูกสังหารอย่างไร้ความปรานีในช่วงตลอดสองสามวันที่ผ่านมา มันทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความเกลียดชังอย่างรุนแรงขึ้นภายในจิตใจ
“เรื่องเมื่อหลายปีก่อนนั้นเป็นความผิดพลาดของพี่ใหญ่เอง ข้าไม่อยากมาเสียเวลาเถียงกับเจ้าว่าใครถูกใครผิดหรอกนะ อย่างไรพวกเราก็เป็นสายเลือดเดียวกัน ข้าย่อมต้องให้โอกาสเจ้าได้แก้ไขความผิดพลาดอย่างแน่นอน ตราบใดที่พวกเจ้าสำนึกต่อความผิดที่ได้ทำลงไป แน่นอนว่าข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า” จั่วชิวหวงหลินทอดมองผู้เป็นน้องชายและคนอื่น ๆ ด้วยความเวทนา หากแต่สุ้มเสียงกลับเจือไปด้วยความเหนือกว่าในชัยชนะ
“ท่านบรรพบุรุษหวงหลินพูดถูก ตราบใดที่พวกท่านยอมจำนน ข้าในฐานะประมุขแห่งตระกูลจั่วชิวก็ขอสาบานไว้ชีวิตพวกท่านอย่างแน่นอน ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะข้าทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นตระกูลจั่วชิวของเราต้องเผชิญกับความขัดแย้งอีกต่อไป และนี่เป็นวิธีเดียวที่จะให้ตระกูลจั่วชิวของเราไม่กลายเป็นตัวตลกในสายตาคนภายนอก” ตอนนั้นเอง จั่วชิวเฟยก็มาถึง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวด
ไม่ใช่แค่จั่วชิวเฟิงเท่านั้น เว่ยซิงก็ได้นำกองกำลังของตนมาที่นี่ด้วย เขายืนอยู่ด้านข้างขณะที่จ้องมองจั่วชิวเฟยหมิงและคนอื่น ๆ ด้วยสายตาเย้ยหยัน ราวกับเป็นนกแร้งหิวกระหายผู้ไร้ความปรานีที่ตามเกาะติดเหยื่อของมันอย่างไม่ลดละ
“ยอมจำนนอย่างนั้นหรือ? ฮ่า ๆ ๆ! พวกเจ้าคิดว่าข้าจะยอมเป็นสุนัขรับใช้ของพวกนิกายอำนาจเทวะเหมือนพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?” จั่วชิวเฟยหมิงกวาดตามองจั่วชิวหวงหลิน จั่วชิวเฟิง เว่ยซิง และคนอื่น ๆ ท่ามกลางสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ท่ามกลางกลิ่นเลือดและความตาย ชายชราแทบจะสิ้นสติด้วยความโศกศัลย์ และไม่อาจอดกลั้นตัวเองไม่ให้ระเบิดเสียงหัวเราะอันเปี่ยมไปด้วยแรงโทสะนี้ได้เลย