บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1448 มาถึงอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 1448 มาถึงอย่างต่อเนื่อง
เสียงนี้เป็นดั่งเสียงฟ้าร้อง มันกักขฬะและไม่ถูกจำกัด ทั้งยังดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
อย่างไรก็ตาม หมัดนั้นเร็วกว่าเสียง เสมือนข้ามกาลเวลาและมิติอันไร้ขอบเขตเพื่อมาถึงที่นี่ แม้จะดูเรียบง่ายมาก แต่พลังของมันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง!
อานุภาพของหมัดนั่นท่วมท้นไปทั้งฟ้าดิน คล้ายตั้งใจทำลายปฐพี สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
โครม!
คลื่นเสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวประหนึ่งคลื่นที่โหมกระหน่ำกวาดผ่านผืนฟ้า
ทันใดนั้น จิตใจของเฉินซีพลันพร่ามัว วิสัยทัศน์ตรงหน้ากลายเป็นสีขาว ไม่อาจมองเห็นถึงสิ่งใด และได้ยินเพียงเสียงตะโกนของความประหลาดใจที่ดังก้อง
“หมัดสัประยุทธ์ทลายเต๋า!”
“ผู้นำแห่งตระกูลเซวียนหยวน เซวียนหยวนเส้า!”
เมื่อวิสัยทัศน์ของเฉินซีกลับมาชัดเจน เขาก็มองเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีม่วงยืนอยู่ข้างเคียง ร่างนั้นมีคิ้วหนา ดวงตากลมโต เป็นชายวัยกลางคนที่แข็งแกร่งและสง่างาม
ทั้งที่ยืนอยู่อย่างสบาย ๆ แต่ร่างกายกลับเปล่งรัศมีที่ครอบงำสูงส่งราวกับท้องฟ้า ซึ่งดูเหมือนเทพอสูรโบราณที่มีกลิ่นอายน่าเกรงขามและสง่างาม
บุคคลนี้น่าจะเป็นบิดาของอาซิ่ว เซวียนหยวนเส้า!
การได้รับชีวิตใหม่ในขณะที่ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ทำให้ความโกรธ ความเกลียดชัง และความคับข้องในหัวใจสลายไปสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าจั่วชิวเฟยหมิงยังไม่ได้ระเบิดตัวเอง เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบา ๆ ด้วยความโล่งอก
ในทางกลับกัน หัวเจี้ยนคงยังคงต่อสู้อย่างห้าวหาญกับคู่ต่อสู้สามคนบนท้องฟ้า แต่แท้จริงแล้ว เขาไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแม้แต่น้อย ทั้งยังดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง!
นี่คือการต่อสู้ระหว่างราชันเซียน!
ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ราชันเซียนวิถีลึกล้ำที่มีชื่อเสียงระบือลั่นไปทั่วภพเซียนหรือผู้อาวุโสของตระกูลจงหลีที่บำเพ็ญเพียรอย่างสันโดษ ก็ยังเป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้ของเขา
แม้ว่าจะไม่ทราบตัวตนของราชันเซียนคนสุดท้าย แต่พลังฝีมือของคนผู้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าจงหลีเฟิงและราชันเซียนวิถีลึกล้ำเลยสักนิด ดังนั้น เนื่องจากหัวเจี้ยนคงสามารถต่อกรกับทั้งสามคนได้ในคราวเดียว มันจึงชี้ชัดว่าพลังฝีมือของหัวเจี้ยนคงนั้นน่าทึ่งเพียงใด
หลังจากนั้น เฉินซีก็สังเกตเห็นจั่วชิวเฟิง เว่ยซิง และคนอื่น ๆ จ้องมองเซวียนหยวนเส้าด้วยสีหน้าหมองคล้ำ แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชาและน่ากลัว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโกรธสุดขีด ที่จู่ ๆ เซวียนหยวนเส้าก็ปรากฏตัวขึ้น และทำให้แผนการทั้งหมดล้มเหลว
“เซวียนหยวนเส้า! ไอ้สารเลวนี้กลายเป็นลูกเขยของตระกูลเซวียนหยวนของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือเจ้าคิดว่าเพียงตัวคนเดียวก็สามารถพลิกสถานการณ์นี้ได้หรือ” จั่วชิวเฟิงกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าแนะนำให้เจ้าหลีกทางไปเสีย และอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ มิฉะนั้นเจ้าอาจไม่มีวันได้กลับไป!”
“ฮ่า ๆ! จั่วชิวเฟิง เจ้ายังคงไร้ยางอายไม่เคยเปลี่ยน มีใครในภพเซียนที่ไม่รู้ถึงคำสัญญาของอาซิ่วที่มีต่อข้าบ้าง? แต่บังเอิญว่าไอ้แก่อย่างเจ้ากลับแสร้งเป็นไม่รู้ ตอนนี้เจ้ายังร่วมมือกับไอ้พวกสารเลวที่มาจากนิกายอำนาจเทวะ เจ้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”
เซวียนหยวนเส้าคำรามกลั้วหัวเราะ เขามีรูปลักษณ์ที่องอาจและสง่างาม สายตาประหนึ่งสายฟ้าสองสาย และทุกถ้อยคำที่กล่าวก็เปี่ยมด้วยกลิ่นอายอหังการสูงสุด แม้จะอยู่เพียงลำพัง ทว่ายังมีกลิ่นทรงอำนาจและไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาก่นด่าจั่วชิวเฟิงอย่างตรงไปตรงมา และเรียกจั่วชิวเฟิงว่าไร้ยางอาย ก่อนที่จะเรียกเว่ยซิงและคนอื่น ๆ ว่าไอ้สารเลว เขาช่างกล้าจนน่าประหลาดใจ
ทันที่สิ้นคำเหล่านี้ มันทำให้สีหน้าของจั่วชิวเฟิง เว่ยซิง และคนอื่น ๆ มืดมนทันที
เฉินซีหัวเราะอย่างขมขื่นในใจ โดยปกติแล้ว เขาทราบดีว่าเซวียนหยวนเส้ากำลังพูดถึงอะไร แต่ก็รู้สึกกระดากไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายเรียกตนว่าลูกเขย
“เซวียนหยวนเส้า! อย่าได้อวดดีนัก! เจ้าคิดว่าตระกูลจั่วชิวของข้าไม่อาจทำอะไรกับเจ้าได้จริง ๆ หรือ?” จั่วชิวเฟิงตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำและน่ากลัว
“ท่านประมุขจั่วชิวอย่าได้เสียเวลากับเขา ในเมื่อประมุขเซวียนหยวนต้องการสอดมือ ดังนั้นเราจะทำให้เขาทิ้งชีวิตไว้เบื้องหลัง!” เว่ยซิงเผยรอยยิ้มอันน่าสยดสยองขณะโบกมือ
ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!
ร่างชุดคลุมทั้งสามก็กระโจนออกไปทันที แต่สิ่งที่ควรกล่าวถึง คือราชันเซียนทั้งสองที่โจมตีเฉินซีก่อนหน้านี้ ก็อยู่ในหมู่พวกมันด้วย
เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะอีกแค่นิดเดียว พวกเขาก็จะสามารถสังหารเฉินซีได้แล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ถูกหยุดด้วยพลังหมัดจากเซวียนหยวนเส้าที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน
“โอ้! ช่างฟังดูสูงส่งเสียจริง! ไอ้พวกสวะที่ปิดบังตัวตนของเจ้า ตั้งใจจะฆ่าข้าหรือ? อยากตายก็เข้ามา ข้าอดกลั้นมานานหลายปีแล้ว ระบายด้วยการฆ่าไอ้สารเลวจากนิกายอำนาจเทวะก็ไม่เลว!”
เซวียนหยวนเส้าคำรามอย่างเย็นชาด้วยท่าทีรังเกียจ ก่อนที่ร่างของเขาจะเปล่งประกาย ร่างกายแผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามและอหังการยิ่งขึ้น มันสั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้สรรพสิ่งคร่ำครวญและตัวสั่น ราวกับยอมจำนนต่อราชัน
“ฆ่า! ฆ่าไอ้สารเลวปากดีนี่ซะ!” เว่ยซิงตะโกนด้วยความโกรธ
“ฮึ่ม! เจ้าคิดจะรังแกกันหรืออย่างไร? เจ้าคิดว่าตระกูลเซวียนหยวนของข้าไร้ผู้มีฝีมือจริง ๆ หรือ?” ก่อนที่ร่างชุดคลุมทั้งสามจะเคลื่อนไหว เสียงแหบแห้งและดุร้ายก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับเสียงนี้ ร่างทั้งสองก็แยกห้วงมิติ และมาถึงที่นี่ทันที
หนึ่งในนั้นคือชายชราผมหงอก อีกคนเป็นชายวัยกลางคนที่มีเคราที่ดูเหมือนนกนางแอ่น ทั้งสองมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน แต่กลิ่นอายกลับน่าเกรงขามเสียเหลือเกิน และทั้งสองต่างเป็นราชันเซียน!
“เซวียนหยวนเฟิงเฉิน! เซวียนหยวนท่าเป่ย!” ม่านตาของจั่วชิวเฟิงหดตัว ในขณะที่ตระหนักด้วยความตกใจว่าพวกเขาเป็นผู้อาวุโสของตระกูลเซวียนหยวน ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นตัวตนรุ่นเดียวกับจั่วชิวหวงหลิน จั่วชิวเฟยหมิง และจงหลีเฟิง!
เมื่อลองคิดดู แม้แต่ตระกูลจั่วชิวก็ยังมีราชันเซียนอยู่มากมาย แล้วในฐานะหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ ตระกูลเซวียนหยวนจะด้อยกว่าตระกูลจั่วชิวได้อย่างไร
นี่ไม่รวมถึงเซวียนหยวนพั่วเซียวที่บรรลุถึงขอบเขตราชันเซียนในตอนนี้ หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ทรัพยากรและกองกำลังของตระกูลเซวียนหยวนนั้นยิ่งใหญ่กว่าตระกูลจั่วชิวเสียด้วยซ้ำ
เฉินซีรู้สึกอุ่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลเซวียนหยวนปรากฏตัว และทราบดีว่าอาจเป็นเพราะอาซิ่วที่แจ้งแก่ตระกูลเซวียนหยวนเกี่ยวกับการกระทำของเขา
หากไม่มีเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ยิ่งพวกเขาถ่วงเวลาได้มากเท่าไร สถานการณ์ก็จะเป็นผลดีสำหรับเขามากขึ้นเท่านั้น!
ในทางกลับกัน ใบหน้าของเว่ยซิงทรุดดิ่งทันที การปรากฏตัวของราชันเซียนอีกสองคนจากตระกูลเซวียนหยวน หมายความว่าสถานการณ์ปัจจุบันเริ่มที่จะผลิกผันอย่างช้า ๆ
นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลยสักนิด!
นับว่าโชคดีที่เรายังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เว่ยซิงก็ตระหนักว่าไม่อาจชักช้าได้อีกต่อไป เขาจึงกล่าวกับร่างชุดคลุมทั้งสามที่อยู่ทางด้านหลังผ่านกระแสปราณทันที “สถานการณ์ไม่สู้แล้ว จงยุติการต่อสู้โดยเร็วที่สุด”
ร่างในชุดคลุมทั้งสามชำเลืองมองกัน แล้วจึงกระโจนออกไปทันที เพื่อเผชิญหน้ากับเซวียนหยวนเส้า เซวียนหยวนเฟิงเฉิน และเซวียนหยวนท่าเป่ย
หกต่อสาม อย่างไรก็ยังคงเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน!
สิ่งนี้ทำให้เว่ยซิงรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยความระมัดระวัง เขาจึงกล่าวกับจั่วชิวเฟิงผ่านกระแสปราณว่า “ท่านประมุขจั่วชิว สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก หากท่านยังคงนิ่งเฉย สถานการณ์อาจพลิกผันจนตระกูลจั่วชิวไม่อาจแบกรับได้”
สีหน้าของจั่วชิวเฟิงทรุดดิ่งลง “อย่าได้กังวลใต้เท้าเว่ย เราจะไม่นิ่งดูดายอย่างแน่นอน!”
สิ้นเสียงพูด เขาก็แจ้งจั่วชิวหวงหลินและคนอื่น ๆ ผ่านกระแสปราณ และขอให้คนทั้งหมดเตรียมตัวลงมือ
ขณะที่จ้องมองร่างชุดคลุมทั้งหกในระยะไกล เซวียนหยวนเส้าคลี่ยิ้ม และหันไปถามเซวียนหยวนเฟิงเฉินกับเซวียนหยวนท่าเป่ย “สามต่อหก พวกเจ้าคิดอย่างไร”
“ไม่เป็นไร”
“แค่ทุ่มออกไปให้หมดก็พอ”
เซวียนหยวนเฟิงเฉินและเซวียนหยวนท่าเป่ยตอบกลับด้วยท่าทีผ่อนคลายอย่างยิ่ง
“เยี่ยมมาก! ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มกันเลย! เพราะดูท่าหัวเจี้ยนคงคนนั้น คงตึงมือแล้ว…” ขณะที่กล่าว เซวียนหยวนเส้าเหลือบมองไปที่หัวเจี้ยนคงที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดบนท้องฟ้า จากนั้นก็เบือนสายตาออก แล้วพลันก้าวไปข้างหน้า กลิ่นอายของเขาปะทุอีกครั้ง ดุจมังกรยักษ์ได้ตื่นจากการจำศีล
“ผู้อาวุโส ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ยิ่งเราถ่วงเวลาได้นานเท่าไร สถานการณ์ก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น” เฉินซีรีบกล่าวทันที
“ฮึ่ม! ไอ้หนู ไปรอที่ด้านข้างซะ! หากเจ้าถูกฆ่าที่นี่ อาซิ่วคงจะฉีกข้าเป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอน!” เซวียนหยวนเส้าไล่ตะเพิดอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า จากนั้นจึงก้าวไปข้างหน้า
โครม!
มันเป็นเพียงก้าวเดียว แต่ดูเหมือนสายฟ้าฟาดลงมาจากสวรรค์ และทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน
การต่อสู้พร้อมที่จะปะทุได้ทุกเมื่อ!
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ แสงสีม่วงอ่อนอีกเส้นหนึ่งที่เปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ ก็ฉีกทะลุท้องฟ้าและมาถึงที่นี่ เมื่อแสงสีม่วงเปล่งประกาย มันก็ดึงเอารูปร่างที่สง่างาม เพรียวบาง และงดงามราวกับคนละโลก
เซวียนหยวนเส้าและคนอื่น ๆ ที่เดิมตั้งใจจะโจมตี พลันหยุดเคลื่อนไหวทันที และในขณะเดียวกันนั้นเอง ร่างชุดคลุมลึกลับทั้งหกก็หยุดชะงักเช่นกัน
ในขณะนี้ สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังร่างที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน
นางมีรูปร่างหน้าตาที่งดงาม หน้าผากกลมและไร้ที่ติซึ่งเปล่งประกายแห่งปัญญา คิ้วที่มีรูปร่างเหมือนใบหลิว ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่มีชีวิตชีวา ทั้งยังมีความงามที่ราวกับภาพมายา นางคือเตียนเตี้ยน ราชันเซียนรัตติกาล!
“ราชันเซียนรัตติกาล!” ทุกคนที่อยู่รอบข้างต่างจำตัวตนของนางได้ ดวงตาของพวกเขาก็เพ่งความสนใจไปที่นาง ไม่แน่ใจว่าราชันเซียนรัตติกาลอยู่ฝ่ายไหน
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เตียนเตี้ยน เหตุใด… เจ้าถึงมาที่นี่?”
“ทั้งที่เผชิญกับเรื่องสำคัญเช่นนี้ แต่เจ้ากลับไม่แจ้งให้ข้าทราบ ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่ด้วยตัวเอง” เตียนเตี้ยนจ้องไปที่เฉินซีราวกับกำลังตำหนิ จากนั้นจึงมาถึงข้างเฉินซีอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย “เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ข้าก็ไม่ทันได้เตรียมตัว จริงสิ เจ้าไม่ได้อยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะหรอกหรือ?”
“อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ข้าก็จะบรรลุขอบเขตเทวา แต่เจ้ามีเรื่องเร่งด่วน แล้วข้าจะนิ่งเฉยได้อย่างไร?” เตียนเตี้ยนยิ้มขณะที่กล่าวผ่านกระแสปราณ เพราะนางไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ เขาตระหนักดีว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด สำหรับราชันเซียนที่ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเทวา แต่ต้องหยุดกลางคัน อาจสูญเสียโอกาสที่จะกลายเป็นเทพโดยสิ้นเชิง
แต่เตียนเตี้ยนกลับทำเช่นนี้เพื่อช่วยเหลือตน แล้วเฉินซีจะไม่รู้สึกสั่นคลอนได้อย่างไร?
เมื่อเห็นเฉินซีพูดคุยกับราชันเซียนรัตติกาลอย่างสนิทสนม เซวียนหยวนเส้าและคนอื่น ๆ ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากความสามารถของราชันเซียนรัตติกาลนั้นไม่ธรรมดา และหากมีนางเข้าร่วมกับพวกเขา สถานการณ์จะยิ่งได้เปรียบมากขึ้นอย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน ใบหน้าของจั่วชิวเฟิง เว่ยซิง และคนอื่น ๆ หมองลงในที่สุด พวกเขาก็ยืนยันว่าราชันเซียนรัตติกาลอยู่ฝั่งเดียวกับเฉินซี!
พวกเขาจะไม่แปลกใจและโกรธเคืองเพราะเหตุนี้ได้อย่างไร? หากสถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป ความได้เปรียบที่พวกเขาครอบครองอยู่ก่อนหน้านี้ จะถูกทำลายลงอย่างแน่นอน!
“ข้ากับบรรพบุรุษหวงหลินจะจัดการราชันเซียนรัตติกาลเอง! ส่วนใต้เท้าเว่ยลงมือเลย เราไม่สามารถลังเลอีกต่อไป มิฉะนั้น ยิ่งเวลาผ่านไป ตัวแปรก็จะยิ่งปรากฏมากขึ้นแน่!” จั่วชิวเฟิงมีสีหน้าหมองคล้ำ ในขณะที่เขากัดฟันและตัดสินใจ