บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 146 จิตใจของผู้คน
บทที่ 146 จิตใจของผู้คน
บทที่ 146 จิตใจของผู้คน
ตำนานได้กล่าวไว้ว่า สมบัติอมตะต่างก็มีโลกเป็นของตัวเอง และภายในนั้น มีดวงจิตของสมบัติที่มีพลังไร้ขอบเขตอาศัยอยู่ มันมีสติปัญญาเฉกเช่นมนุษย์และสามารถต่อสู้ได้ด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีความเฉลียวฉลาดอย่างสุดขั้ว
พลังของสมบัติอมตะนั้นทรงอานุภาพ จนสามารถฉีกมิติออกจากกันหรือบดขยี้โลกใบเล็ก ๆ ให้แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัวของมัน จึงมีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถใช้พลังของมันได้อย่างสมบูรณ์ และเจดีย์บำเพ็ญทุกข์เองก็เป็นสมบัติอมตะ!
แม้ว่าเจดีย์นี้จะได้รับความเสียหายมาเนิ่นนาน อีกทั้งดวงจิตของมันได้ถูกทำลายไปแล้ว แต่หลังจากผ่านกาลเวลาไปหลายปี ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถสยบและซ่อมแซมมันได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมกองกำลังต่าง ๆ ของเมืองทะเลสาบมังกรจึงใช้เจดีย์บำเพ็ญทุกข์เป็นสถานที่ฝึกฝนสำหรับงานเทียบอันดับมังกรซ่อน
ในตอนนี้ กลุ่มผู้บ่มเพาะที่ลึกลับไม่ทราบที่มา ต่างก็มุ่งความสนใจไปที่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์โดยไม่คำนึงถึงชีวิตของพวกมัน ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นข้อบ่งชี้ว่าพวกมันต้องมีวิธีจัดการและวิธีซ่อมแซมอยู่ในมือมิใช่หรือ?
หากพวกสัตว์ประหลาดเฒ่าจากกองกำลังต่าง ๆ รู้ถึงเรื่องนี้ พวกมันจะต้องต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้เจดีย์มาครอบครองเป็นอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกัน ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเฉินซีเองก็ไม่สามารถต้านทานการล่อลวงของสมบัติอมตะได้เช่นกัน
“ลู่ผิง เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว!” ในขณะนั้นเอง มีชายหนุ่มในชุดดำคนหนึ่งซึ่งมีรูปร่างหน้าตาธรรมดา ก้าวเดินออกมาจากกลุ่มผู้พิทักษ์จิตอสูรทั้งสามสิบสองคน คนผู้นี้ถูกเรียกว่า ‘จ้านคง’ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้พิทักษ์จิตอสูร และทันทีที่เขาก้าวออกมา คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังเขาต่างก็แสดงความเคารพ
“เมื่อเจ้ากลับไปคราวนี้ จงไปที่โถงพิพากษาเพื่อรับการลงโทษด้วยตัวเองซะ!” จ้านคงกล่าวอย่างเฉยเมย
“ท่านหัวหน้าจ้าน ข้า…” ใบหน้าของลู่ผิงซีดลง และกำลังจะอธิบาย แต่เมื่อเขาสบกับสายตาเย็นชาและไร้อารมณ์ของจ้านคง เขาก็ไม่อาจกล่าวอะไรได้อีกต่อไป
‘โถงพิพากษาหรือ…? ดูเหมือนว่าคนพวกนี้ล้วนมาจากกลุ่มเดียวกัน’ เฉินซีกำลังครุ่นคิด แต่สายตาของเขาจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่ชื่อจ้านคง เขาสัมผัสถึงกลิ่นอายที่แปลกประหลาดและทรงพลังที่ซ่อนอยู่ภายในนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของจ้านคงก็น่าเกรงขามอย่างยิ่ง
“เฉินซี ครั้งนี้เจ้าคงไม่อาจหนีไปได้อีกแล้ว มีเพียงต้องฆ่าเจ้าเท่านั้น ถึงจะทำให้ข้าแน่ใจว่าความลับจะไม่รั่วไหลออกไป” จ้านคงเอามือไพล่หลังในขณะที่เขากล่าวอย่างเฉยเมย ด้วยกลิ่นอายที่เหนือกว่าและมีอำนาจเหนือโลกก็ทะลักออกมาจากร่างกายของเขา
“เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าได้ทำลายล้างผู้บ่มเพาะของตระกูลซูทั้ง 96 คนซึ่งเป็นการช่วยข้าทางอ้อม ดังนั้นข้าจะไม่รู้จักเจ้าได้อย่างไร” จ้านคงกล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก “ปฏิเสธไม่ได้ว่าความแข็งแกร่งของเจ้าเกินความคาดหมายของข้า และถึงขนาดที่ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจว่าจะสามารถโค่นล้มเจ้าได้ด้วยตัวคนเดียว แต่น่าเสียดาย ข้าจะไม่สู้กับเจ้าเพียงลำพัง เจ้าจะต้องตายภายใต้การโจมตีร่วมกันของพวกเราทั้งสามสิบสองคน”
“เจ้าไม่กังวลว่าข้าจะทำลายยันต์เคลื่อนย้ายและหนีไปตอนนี้หรือ?” เฉินซีถามหยั่งเชิง
“ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่คิดยอมแพ้จนถึงตอนนี้ และอยากพัวพันกับสิ่งที่ไม่ควรพึงกระทำ หากเจ้าไม่ได้ลองดูสักตั้งมันคงไม่ใช่คนอย่างเจ้า” เขาตอบอย่างเฉยเมย
“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง ข้าจะไม่ออกไปจนกว่าจะเข่นฆ่าพวกเจ้าให้ตายทั้งหมด” เฉินซีพยักหน้า จากนั้นเขาก็กล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “เพราะพวกเจ้ามีบางอย่างซึ่งข้าสนใจอยู่ในการครอบครองอย่างไรเล่า”
“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!”
“ฮึ่ม! สามหาว!”
“ท่านหัวหน้าจ้าน เราควรฆ่าเจ้าเด็กที่ไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมตอนนี้ดีหรือไม่?
จ้านคงโบกมือเชิงห้ามปรามเพื่อไม่ให้คนของเขาพูดต่ออีก จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เฉินซี เจ้ากล้าที่จะต่อสู้ตัดสินหลังจากที่เข้าสู่ชั้นหยินหยางหรือไม่? หากเจ้าชนะ ข้าจะมอบสิ่งที่เจ้าต้องการ เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”
“หากเป็นเช่นนั้น คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว” เฉินซีตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ท่านหัวหน้าจ้าน เหตุใดเราถึงไม่ลงมือตอนนี้ แต่ต้องรอจนกว่าจะเข้าสู่ชั้นหยินหยางด้วยเล่าขอรับ?” ลู่ผิงที่อยู่ใกล้เคียงเอ่ยถาม
“เป็นเพราะพวกเจ้าได้ผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก่อนหน้านี้ หัวหน้าของพวกเจ้าจึงจำเป็นต้องใช้ช่วงเวลานี้ เพื่อให้พวกเจ้าได้ฟื้นฟูความแข็งแกร่ง” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในขณะที่ข้าก็ต้องการช่วงเวลานี้ เพื่อค้นหาบางสิ่งจากพวกเจ้า มันก็เป็นเช่นนั้นเอง”
“ปัญญาของเจ้าเฉียบแหลมยิ่งนัก ทว่าคนฉลาดมักจะตายเร็ว” จ้านคงมองไปยังเฉินซี ขณะที่เขากล่าวอย่างเย็นชา
เฉินซียิ้มและไม่กล่าวอะไรอีก กระแสวังวนของหลุมดำจำนวนมากปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าโดยรอบอย่างกะทันหัน ก่อนที่จะพวยพุ่งออกมาด้วยแรงดูดอันมหาศาลที่ดึงทุกคนเข้าไปและหายไปในทันที
ชั้นที่สามของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์คือ ‘ชั้นหยินหยาง’ ผู้ที่สามารถเข้าไปในนั้น จะได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกของงานเทียบอันดับมังกรซ่อน ซึ่งจะทำให้พวกเขาได้รับรางวัลเป็นสมบัติวิเศษ เม็ดยา และเคล็ดวิชาการบ่มเพาะจำนวนมาก
แต่น่าเสียดาย เนื่องจากการปรากฏตัวของกลุ่มของจ้านคง ทำให้มีผู้บ่มเพาะเพียงสามสิบสามคน รวมถึงเฉินซีเท่านั้นที่ได้เข้าสู่ชั้นหยินหยางในครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองฝ่ายกำลังจะเผชิญหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนงานเทียบอันดับมังกรซ่อนอีกต่อไป
…
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเฉินซีและพวกคนร้ายถึงไม่ได้ต่อสู้กัน และพวกเขาก็เข้าสู่ชั้นหยินหยางของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์พร้อมกันอย่างนั้นหรือ?”
“เหตุใดเขาถึงพูดคุยกับพวกคนร้ายอย่างเป็นกันเอง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเฉินซีก็เป็นหนึ่งในพวกมัน”
“เป็นไปได้อย่างมาก ไอ้บัดซบ! ข้าเคยคิดว่าเฉินซีจะเกลียดชังความชั่วร้ายเสมือนยาพิษ และตั้งใจจะช่วยพวกเราระบายความแค้นที่อยู่ในอก แต่ผู้ใดจะไปรู้ว่าเขากลับเป็นคนเยี่ยงนี้!”
“บางทีเขาอาจเป็นหนึ่งในพวกมันตั้งแต่แรกแล้ว!”
เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีและผู้พิทักษ์จิตอสูรทั้ง 32 คน ไม่ได้มีการต่อสู้ และยังเข้าสู่ชั้นหยินหยางไปพร้อมกัน ผู้คนทั้งหมดก็ตกอยู่ในความโกลาหล ซึ่งทุกคนแทบไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตัวเอง
“ฮึ่ม! ข้ารู้อยู่แล้วว่าไอ้สารเลวเฉินซีต้องมีเจตนาร้ายและกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ ทุกคนข้าขอแนะนำว่า ในทันทีที่มันออกมา พวกเราต้องร่วมมือกำจัดมัน จากนั้นทรมานด้วยการหักกระดูก สับเนื้อ ก่อนฉีกมันเป็นพัน ๆ ชิ้น แล้วโยนให้สุนัขกิน!” ที่บนแท่นหยก ซูเจิ่นเทียนรู้สึกยินดีในใจเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง และผู้คนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน
“ใช่แล้ว! ต้องฆ่ามัน! มันกล้าหลอกลวงพวกเรา! มันช่างชั่วช้าจริง ๆ!”
“คนสารเลวที่ช่วยเหลือคนชั่วพวกนั้น ต่อให้ตายโดยศพไม่สมบูรณ์ก็ไม่จำเป็นต้องสงสาร!”
“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”
ทันทีที่เสียงของซูเจิ่นเทียนเพิ่งเปล่งออกมา มันได้กระตุ้นความขุ่นเคืองในหัวใจของผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นในทันที และพวกเขาต่างก็ตะโกนออกมาเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งเดิมทีคนเหล่านี้ต่างก็ไม่แน่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อได้รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ๆ พวกเขาก็ยึดถือเฉินซีเป็นพวกเดียวกับคนร้ายเหล่านั้นทันที!
“พี่ซู ท่านไม่ด่วนสรุปไปหน่อยหรือ?” ที่บนแท่นหยก ประมุขแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร หลิงคงจื่ออดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา เมื่อเห็นผู้คนที่อยู่โดยรอบมีอาการโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
“สหายเต๋าหลิง ผู้คนในตอนนี้ต่างก็เห็นเฉินซีสมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายด้วยสองตาของพวกเขาเอง ซึ่งมันพิสูจน์ด้วยหลักฐานแล้ว แต่น่าเสียดาย ที่มันสายเกินไป หากข้าเปิดโปงเจตนาร้ายของไอ้เด็กคนนี้ได้เร็วกว่านี้ เหล่าศิษย์จากกองกำลังต่าง ๆ คงไม่ต้องสูญเสียเช่นนี้” ซูเจิ่นเทียนยิ้มอย่างเย็นชาและไม่แยแส
“ดูเหมือนพี่ซูจะมองเฉินซีในแง่ร้าย” หลิงคงจื่อกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มองในแง่ร้าย?” ซูเจิ่นเทียนกล่าวอย่างจริงจังว่า “ไม่เพียงแต่ข้าจะมองมันในแง่ร้ายเท่านั้น ในตอนนี้ข้าไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการฉีกไอ้เด็กนี้ให้เป็นชิ้น ๆ เพราะมันได้สังหารศิษย์จากตระกูลซูของข้า และยังสมรู้ร่วมคิดกับพวกคนร้ายเหล่านั้นนำหายนะมาสู่เหล่าศิษย์ของกองกำลังต่าง ๆ ของเมืองทะเลสาบมังกร ด้วยเหตุผลนี้จะมีผู้ใดไม่อยากกำจัดมันบ้าง”
“ถูกต้อง! พวกเราไม่ยอม!”
“พวกเราต้องไม่ปล่อยมันไป!”
“กล่าวได้ดี สหายเต๋าซู!”
คำพูดของซูเจิ่นเทียนสามารถเอาชนะใจและได้รับการสนันสนุนจากผู้คนที่อยู่โดยรอบ
เนื่องจากการปรากฏตัวของผู้พิทักษ์จิตอสูร งานเทียบอันดับมังกรซ่อนที่ยิ่งใหญ่ได้กลายเป็นโศกนาฏกรรมเข่นฆ่านองเลือดแทน ยิ่งไปกว่านั้น ศิษย์จำนวนมากที่เสียชีวิตอย่างน่าอนาถก็เป็นทั้งสหายและครอบครัวของผู้คนมากมายที่อยู่ที่นั่น จึงถือได้ว่า ผู้พิทักษ์จิตอสูรเหล่านี้เป็นศัตรูร่วมของพวกเขา และเมื่อพวกเขาเห็นว่าเฉินซีได้สมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายเหล่านี้จริง ๆ แล้วจะไม่ให้พวกเขาจะรู้สึกเคียดแค้นในใจได้อย่างไร
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
“เฉินซีไม่ใช่คนเช่นนั้น!”
“พวกโง่เขลาเหล่านี้ถูกเจ้าเฒ่าซูเจิ่นเทียนหลอกลวง”
ท่ามกลางฝูงชน ตู้ชิงซี ต้วนมู่เจ๋อและซงหลินต่างก็แสดงออกถึงความโกรธ พวกเขาเข้าใจเฉินซีเป็นอย่างดีและพวกเขาก็รู้ว่าชายหนุ่มย่อมไม่รู้จักคนร้ายเหล่านั้น ดังนั้นเขาจะเป็นพวกเดียวกับคนร้ายเหล่านั้นได้อย่างไร?
นอกจากทั้งสามคนแล้ว เฉินฮ่าวเม้มริมฝีปากแน่นและไม่กล่าวอะไรสักคำ สายตาของเขามั่นคงยิ่งนัก เป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในตัวพี่ชายของตนโดยปราศจากข้อกังขา อันที่จริง ถึงแม้ว่าเฉินซีจะเป็นอาชญากรที่ชั่วร้ายและกลายเป็นศัตรูของคนทั้งโลก เขาก็จะยังยืนหยัดเคียงข้างเฉินซีโดยไม่มีการลังเล!
ในขณะนี้เองที่เสียงร้องอันแหลมคมพลันดังกึกก้อง “อา! ทุกคนดูนั่น! เฉินซีกำลังต่อสู้กับคนพวกนั้น!”
หา! พวกเขากำลังต่อสู้กัน?
ผู้คนที่กำลังคำรามด้วยความโกรธต่างก็ตกตะลึงอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังม่านภาพที่ฉายเหตุการณ์ในเจดีย์ ซึ่งพวกเขาได้เห็นว่าภายในชั้นหยินหยาง เฉินซีกำลังต่อสู้เพียงลำพังกับผู้พิทักษ์จิตอสูรทั้งสามสิบสองคน!
พวกเขาเห็นเฉินซีกำลังถูกปิดรอบโดยผู้พิทักษ์จิตอสูรทั้งสามสิบสองคน ขณะที่สมบัติวิเศษ เคล็ดวิชา และแผ่นยันต์อักขระต่าง ๆ พุ่งเข้าหาเฉินซีราวกับคลื่นสมุทรโถม สถานการณ์ของการต่อสู้นั้นรุนแรงเป็นอย่างมากและเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นการเสแสร้ง
นี่… นี่มันเรื่องจริงหรือ?
ทุกคนต่างก็สับสน ความโกรธแค้นและความเกลียดชังในใจของพวกเขาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะที่พวกเขายืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง
“ทุกคนอย่าได้หลงกลมัน มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปในชั้นเอกภาพ แต่ในตอนนี้ เมื่อรวมพวกคนร้ายและเฉินซีกลับมีถึง 33 คน ดังนั้นพวกมันจึงต้องเข่นฆ่ากันเอง เพื่อให้คนเหลือเพียงสิบคนเท่านั้น ฮึ่ม! เจ้าเฉินซีได้ช่วยพวกคนร้ายกระทำความชั่ว แต่กลับถูกทรยศเสียเอง สมน้ำหน้ามัน!!” ซูเจิ่นเทียนรู้สึกสงสัยและประหลาดใจเช่นกัน แต่เขาก็ไม่อาจทนต่อการที่เฉินซีกำลังล้างความอัปยศต่อหน้าเขา ดังนั้นจึงรีบตะโกนออกมาดัง ๆ ในทันที
“เจ้าลาแก่โง่ ข้าอยากถามเจ้า คนเหล่านั้นตระหนักดีว่าการออกจากเจดีย์ย่อมหมายถึงความตาย และพวกมันก็ไม่อาจรับรางวัลใด ๆ จากงานเทียบอันดับมังกรซ่อน เหตุใดพวกมันถึงต้องดิ้นรนที่จะเข้าไปสู่ชั้นสูงสุดของเจดีย์? หากพี่ชายของข้าอยู่ในกลุ่มของพวกมัน แล้วเหตุใดพวกมันต้องเข่นฆ่ากันเอง? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาไม่อาจถอนตัวออกจากเจดีย์ได้ในตอนนี้?”
เมื่อเฉินฮ่าวเห็นซูเจิ่นเทียนยังคงใส่ร้ายเฉินซีในเวลาเช่นนี้ เขาก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป และทะยานขึ้นไปกลางอากาศก่อนที่จะชี้นิ้วไปที่ซูเจิ่นเทียน และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดังกึกก้อง
“เจ้าเด็กบัดซบ! เจ้ากล้าดูถูกว่าข้าเป็นลาโง่หรือ? เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” ซูเจิ่นเทียนตวาดด้วยน้ำเสียงที่ดังราวกับระเบิด ก่อนจะยกมือขึ้นเพื่อคว้าตัวเฉินฮ่าว
“ทำไม? ศิษย์นิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้าคนนี้ได้กล่าวอะไรผิดหรือ?” หลิงคงจื่อก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวขณะที่เขาสะบัดแขนเสื้อของเขา จากนั้นปราณแท้อันยิ่งใหญ่ก็ฟาดออกไปอย่างแรงเพื่อโจมตีซูเจิ่นเทียนจนทำให้เขาถอยหลังไปสามก้าว
“แล้วกันไปก็ได้เพื่อเห็นแก่หน้าท่าน! ข้าจะไม่ถือสาเขา แต่ยามใดที่เจ้าเฉินซีไม่อาจต้านทานศัตรูและรีบหลบหนีออกมาจากเจดีย์ในสภาพที่หมดท่า เมื่อนั้นข้าจะฆ่ามันซะ! หากมีผู้ใดกล้าขัดขวางข้า คนผู้นั้นย่อมเป็นศัตรูกับตระกูลซูของข้าทั้งหมด และต่อให้…” สีหน้าของซูเจิ่นเทียนมืดมนมากในขณะที่เขากล่าว แต่เมื่อกล่าวได้เพียงครึ่งทางก็ต้องหยุดอย่างกะทันหัน ยามสายตาของเขาจ้องมองไปยังภาพที่ฉายเหตุการณ์ในเจดีย์ ใบหน้าของเขาพลันฉายแววไม่เชื่อออกมา
เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ ความสนใจของผู้คนที่อยู่ตรงนั้นก็พุ่งไปที่ภาพที่ปรากฏภายในเจดีย์อีกครั้ง จากนั้นทุกคนก็ต้องอ้าปากค้างด้วยสีหน้าที่ตกใจอย่างสุดขีด