บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1469 ขัดเกลารากฐานแห่งเต๋า
บทที่ 1469 ขัดเกลารากฐานแห่งเต๋า
……………………………………………………………………..
บทที่ 1469 ขัดเกลารากฐานแห่งเต๋า
ขวับ!
เฉินซีลงมืออีกครั้ง ด้วยประสบการณ์ครั้งก่อนที่เขาได้รับ คราวนี้จึงสามารถบรรลุผลสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ที่กระจ่างราวแก้วอันประกายด้วยแสงดาราเยือกเย็นแผ่กระจายออกไปอย่างไม่มีสิ้นสุด มันดักจับเศษซากของโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า หลังจากนั้นเขาก็มอบมันให้แก่ผู้อาวุโสแห่งตระกูลจั่วชิวที่อยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นตามลำดับ
ผู้เฒ่าทั้งหลายต่างก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับโชคลาภยิ่งใหญ่ พวกเขาทรุดตัวลงขัดสมาธิและเริ่มดูดซับมันอย่างเต็มกำลังโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ด้วยเกรงว่าตนจะต้องสูญเสียโอกาสอันล้ำค่าเช่นนี้ไป
“ศิษย์น้องเล็ก เราจะรอเจ้าอยู่ที่แดนเทพโบราณ โปรดรักษาตัวด้วย!”
“ฮ่า ๆ ๆ! ศิษย์น้องเล็ก ข้าคงต้องไปแล้ว ขอตัวลา!”
“ศิษย์น้องเล็ก จำไว้ว่าจะอ่านคิดสิ่งใดเจ้าต้องคิดอ่านในความจริง หากถามว่าความจริงคือสิ่งใด? คำตอบหาได้อยู่ที่อื่นใดนอกจากในหัวใจของเจ้าเอง เจ้าต้องซื่อสัตย์ต่อหัวใจของตนเอง ฆ่าเมื่อควรฆ่า ถอยเมื่อควรถอย ด้วยวิธีนี้ แม้แต่เทวาแห่งฟ้าดินหรือมารอสูรอื่นใดในสากลโลกก็ไม่อาจย่ำกรายเจ้าได้!”
ตอนนั้นเอง สุ้มเสียงแห่งการอำลาดังก้องมาจากผืนฟ้า มันเป็นเสียงของศิษย์พี่หลียาง ศิษย์พี่สามเที่ยอวิ๋นไห่ ศิษย์พี่สี่ปราชญ์เฒ่า ที่กำลังกล่าวอำลาเฉินซี
ทันใดนั้น เฉินซีหยุดการเคลื่อนไหวลงและเงยหน้าขึ้นมองยังเบื้องบนด้วยความรวดเร็ว สายตาของเขาแปรบปราบราวสายฟ้าเยียบเย็น มองเที่ยอวิ๋นไห่และคนอื่น ๆ พุ่งตรงข้ามผ่านโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชานับอนันต์ ก่อนจะเข้าไปในประตูที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
เสียงของพวกเขายังคงสะท้อนก้องในโสตประสาท แม้ว่าร่างจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
เฉินซียืนเอามือไพล่หลัง เสื้อผ้าพัดกระพือไปตามสายลม แววตาที่ทอดมองออกไปไกลมีเพียงความว่างเปล่า ความรู้สึกซับซ้อนวุ่นวนอาละวาดอยู่ภายในจิตใจราวคลุ้มคลั่ง ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าจนสุดปอดและเลือกที่จะสลัดมันทิ้งไป
เขาหย่อนกายนั่งขัดสมาธิ และเริ่มเข้าสู่ภวังค์ฌานเพื่อดูดซับพลังจากโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาสู่ร่างกาย
…
เฉินซีตระหนักดีว่า ไม่ว่าจะเป็นการทวงแค้นให้แก่นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง หรือการต่อสู้กับภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่กวาดล้างทั้งสามภพ เขาก็ต้องเข้าไปยังแดนโลกาวินาศในสักวัน
นั่นเป็นเพราะนิกายอำนาจเทวะยังไม่ล่มสลาย!
ยิ่งไปกว่านั้น วิถีแห่งโอกาสที่จะนำทางไปสู่แดนเทพโบราณนั้นอยู่ภายในแดนโลกาวินาศ เส้นทางสู่มหาเต๋าไม่มีวันสิ้นสุดลงตลอดชีวิตของคนผู้หนึ่งฉันใด หนทางของเขาก็ไม่มีทางจะหยุดลงเพียงเท่านี้เช่นกัน!
…
ภายในแดนซ่อนเร้นซึ่งเต็มไปด้วยความลึกลับในภพทั้งสาม ที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยภูเขาที่ทอดตัวสลับซับซ้อน รูปลักษณ์ที่แตกต่างกันของพวกมันเรียงตัวกันอย่างกระจัดกระจายราวดวงดาวบนท้องฟ้าซึ่งปลดปล่อยปราณเทวะทั้งห้าสีออกมา ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันยังอาบไล้ไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์หลากสีสันที่ส่องสว่างไปทั้งฟ้าดินไม่ต่างภาพฝันลวงตา
นี่คือที่ตั้งของหนึ่งในสามสุดยอดมหานิกายแห่งสามภพ ตำหนักเต๋าหนี่หวา พิภพเบญจขันธ์!
ณ ตำหนักเยียวยาสวรรค์
ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่หนี่หวา บรรพชนผู้ก่อตั้งตำหนักเต๋าหนี่หวาใช้สำหรับบ่มเพาะ ตามตำนานเล่าขาน มันถูกสร้างขึ้นจากศิลาเบญจรงค์โกลาหล และถูกปกคลุมอย่างแน่นหนาไปด้วยข้อจำกัดเทวะ ซึ่งมีความลึกล้ำอย่างเหลือล้น หากจะกล่าวว่าที่นี่เป็นแดนสวรรค์บนดินแห่งสามภพก็คงไม่ผิดนัก
ตอนนี้เอง กลุ่มชายหญิงผู้มีรูปลักษณ์อย่างนักปราชญ์ได้รวมตัวกันที่ชานด้านนอกของตำหนักเยียวยาสวรรค์ ท่าทางของพวกเขาล้วนแต่เคร่งขรึมไปด้วยความเคารพนบนอบ คล้ายกำลังรอคอยซึ่งบางสิ่ง
หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นว่ากลิ่นอายที่โอบล้อมพวกเขาคลับคล้ายกับเหวลึกซึ่งมีเพียงความว่างเปล่า ร่างกายเต็มไปด้วยรัศมีอันศักดิ์สิทธิ์ ประหนึ่งเทพเซียนผู้สง่างามได้มารวมตัวกันและสร้างปรากฏการณ์ที่ทำให้ใจของผู้พบเห็นต้องสั่นไหว
ใช่แล้ว นี่คือกลุ่มของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวา!
“พวกเจ้าทั้งหลาย บัดนี้ท่านประมุขมีคำสั่ง พวกเจ้าจงลงมือโดยทันที ไม่จำต้องรออีกต่อไป” ทันใดนั้น กวางสีขาวตัวหนึ่งซึ่งทั่วทั้งเรือนกายของมันเปล่งประกายด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าสีปรากฏตัวขึ้นจากอากาศเบาบาง มันยืนตระหง่านกลางผืนฟ้าพร้อมกับส่งเสียงที่กังวานดังระฆังในยามเช้า
“ลู่เอ๋อร์ แต่บรรดาท่านประมุขแห่งตำหนักจตุรวิญญาณกับศิษย์สืออวี๋และเซียงหลิวหลียังไม่กลับมาเลย เหตุใดพวกเราไม่รอพวกเขาอีกสักหน่อยเล่า?” สตรีผมสีม่วงผู้เป็นผู้นำกลุ่มซึ่งสวมอาภรณ์ผ้าแพรโปร่งบางราวเซียนสาวและกวานสีแดงเพลิงถามขึ้นทั้งใบหน้าสงบ
คนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าเห็นด้วยตามลำดับ
“พวกเจ้าทั้งหลาย มีบางอย่างที่พวกเจ้ายังไม่ทราบ ประมุขตำหนักจตุรวิญญาณ รวมทั้งศิษย์สืออวี๋และเซียงหลิวหลีได้มุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศพร้อมกับนายท่านสามแห่งเขาเทพพยากรณ์และคนอื่นๆ แล้ว” กวางขาวตอบ
“เช่นนั้น… เมื่อพวกเราจากไปแล้ว แล้วบรรดาศิษย์ทั้งหลายในนิกายเล่า?” สตรีผมม่วงขมวดคิ้วด้วยความเป็นกังวล
“ท่านประมุขได้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้เคล็ดวิชาเทวะขั้นสูงเพื่อปิดผนึกพิภพเบญจขันธ์ไว้ภายในเมล็ดผักกาดขาว*[1] ด้วยวิธีนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภัยพิบัติ” กวางขาวตอบด้วยเสียงเรียบเฉย คล้ายว่าแผนนี้ได้ถูกเตรียมการมาอย่างยาวนานแล้ว
เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น ทุกคนรวมถึงหญิงสาวผมม่วงก็คลายใจลง พวกเขาไม่ลังเลที่จะกล่าวคำอำลาและจากไป
“ลู่เอ๋อร์ เจ้ายังจำเส้นทางที่นำไปสู่แดนเทพโบราณได้หรือไม่?” หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว เสียงแว่วหนึ่งก็ดังออกมาจากส่วนลึกของตำหนักเยียวยาสวรรค์
“เรียนท่านประมุข ศิษย์ไม่กล้าลืมมันแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยความรู้ที่ศิษย์มี เส้นทางนี้ปัจจุบันอยู่ภายใต้การครอบครองของประมุขนิกายอำนาจเทวะ และดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพียงเส้นทางเดียวในแดนโลกาวินาศที่ยังหลงเหลืออยู่เจ้าค่ะ”
“ประมุขนิกายอำนาจเทวะ… ช่างเถิด มากับข้า เนื่องจากเมื่อหลายปีก่อนฝูซีและคนอื่น ๆ ใช้มันเป็นเส้นทางของตน แน่นอนว่าจะต้องมีความลับที่ไม่ธรรมดาซุกซ่อนอยู่ภายในนั้น”
“ท่านประมุขเจ้าคะ ท่านตั้งใจที่จะต่อสู้กับประมุขนิกายอำนาจเทวะอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ล่ะ เขาควบคุมเส้นทางได้ แต่ไม่มีทางขัดขวางฝีเท้าของข้าได้ ลู่เอ๋อร์ เจ้าจงไปผนึกพิภพเบญจขันธ์เสีย แล้วมากับข้า บ่วงกรรมใดที่เกิดขึ้นในภพทั้งสามถึงคราวต้องสิ้นลงในแดนเทพโบราณเสียที…”
“รับทราบเจ้าค่ะ!”
…
ณ แดนอำนาจเทวะ
เหนือชั้นที่สามสิบสามแห่งแดนอำนาจเทวะ
“ภัยพิบัติได้มาถึงแล้ว ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายทั้งสาม ไม่ทราบว่าการเตรียมการเป็นเช่นไรบ้าง?” เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหยิ่งทระนงดังก้องไปทั่วนิกายอำนาจเทวะ
ทันใดนั้น หัวใจของผู้อาวุโส ศิษย์ รวมไปถึงบรรดาผู้ติดตามทั้งหลายพลันสะท้านหวั่น พวกเขาทรุดลงคุกเข่ากับพื้นด้วยความรวดเร็ว
“เรียนท่านประมุข ผู้อาวุโสทุกคนในขอบเขตเทวาได้ไปถึงแดนโลกาวินาศแล้วขอรับ”
“เรียนท่านประมุข ศิษย์ทุกคนที่อยู่ในขอบเขตราชันเซียนได้เคลื่อนไหวและมุ่งหน้าไปยังภพเซียนแล้วเจ้าค่ะ”
“เรียนท่านประมุข ผู้ติดตามทั้งหลายของนิกายได้มุ่งหน้าไปยังยมโลกและภพมนุษย์แล้วขอรับ”
ในตอนนั้นเอง เสียงที่หนักแน่น อ่อนหวาน และมืดมนก็ดังขึ้นด้วยความรวดเร็วทั่วทั้งนิกายอำนาจเทวะ พวกเขาเป็นตัวแทนของผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายทั้งสามของนิกายอำนาจเทวะ
ทั้งสามไม่เพียงแต่มีความแข็งแกร่งที่ไม่อาจหยั่งถึง หากสถานะและอิทธิพลของพวกเขาในนิกายอำนาจเทวะนั้นยิ่งใหญ่มาก จะต่ำต้อยกว่าก็แต่เพียงประมุขนิกายเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นใหญ่ในใต้หล้าแต่อยู่แทบเท้าของคนเพียงผู้เดียว
“เขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวาเล่า เป็นอย่างไรบ้าง?” สุรเสียงอันทรงอำนาจของประมุขนิกายอำนาจเทวะดังขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเหมือนท่วงทำนองของเต๋าแห่งสวรรค์ที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก ทว่าเปี่ยมไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ที่ฝั่งเมล็ดพันธุ์แห่งความหวาดกลัวไว้ในใจของผู้คน
“เรียนท่านประมุข นอกจากจากศิษย์รองแห่งเขาเทพพยากรณ์ เซิ่งจีที่ยังคงหายตัวไปอย่างลึกลับและศิษย์คนที่สิบสี่ เฉินซีแล้ว ศิษย์คนอื่น ๆ ทั้งหมดของเขาเทพพยากรณ์ล้วนมุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศแล้วขอรับ”
“ส่วนตำหนักเต๋าหนี่หวานั้น พวกเขาได้ปิดผนึกพิภพเบญจขันธ์แล้วในวันนี้ จากการคาดเดาของข้า ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาทั้งหลายรวมไปถึงประมุขนิกายของตำหนักเต๋าหนี่หวาคงเริ่มลงมือแล้วขอรับ”
หลังจากสิ้นคำตอบ ทั่วทั้งนิกายอำนาจเทวะก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบงัน
“นางถึงกับผนึกพิภพเบญจขันธ์เอาไว้… ช่างเด็ดเดี่ยวอะไรเช่นนี้ เพื่อที่จะให้ศิษย์ของตนรอดพ้นจากภัยพิบัติ หนี่หวาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะสละแก่นแท้สสารเทวะของตนเพื่อใช้วิชาลับต้องห้าม น่าเสียดาย สุดท้ายความทุ่มเทของนางก็เปล่าประโยชน์” ประมุขนิกายอำนาจเทวะคล้ายตกสู่ภวังค์เงียบงันเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเรียบเฉยหากทำให้หัวใจผู้ฟังเต้นระรัว
“ภัยพิบัติได้มาถึงแล้ว นับตั้งแต่วันนี้ จะไม่มีการดำรงอยู่ของขอบเขตเทวาอีกต่อไป! นี่เป็นโอกาสอันดีสำหรับนิกายอำนาจเทวะของข้าในการเข้าควบคุมทั้งสามภพ! ข้าหวังว่าเมื่อข้ากลับมาจากแดนเทพโบราณแล้ว เรื่องราวทั้งหมดจะต้องจบลงด้วยชัยชนะของนิกายอำนาจเทวะ!”
“ท่านประมุขช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก!” ทันทีที่พูดจบ เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญที่เปี่ยมได้ด้วยความนบนอบก็ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งนิกายอำนาจเทวะ
“ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกาย มากับข้า!” เมื่อมาถึงจุดนี้ ประมุขนิกายอำนาจเทวะหาได้สั่งสิ่งใดอีก
ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ในนิกายอำนาจเทวะต่างก็ตระหนักดีว่าท่านประมุขนั้นมุ่งหน้าไปยังแดนเทพโบราณ ก็เพื่อที่จะยุติความวุ่นวายซึ่งกินเวลามาอย่างยาวนานระหว่างสุดยอดมหานิกายแห่งทั้งสามภพ!
…
ประตูซึ่งลอยอยู่บนฟ้าตั้งตระหง่านเหนือแดนดิน โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชายังคงทะลักออกมาจากภายในกระแสน้ำเชี่ยวกรากหนาแน่น ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเพิกเฉย ไม่สะทกสะท้านต่อแนวป้องกันของห้วงมิติและเวลาขณะที่มันโจมตียังทั้งสามภพไปทั่วทุกย่อมหญ้า
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ภัยพิบัตินี้ยังคงสามารถกวาดล้างทั้งสามภพได้โดยไม่มีวี่แววว่าจะจบสิ้นลง
ในวันนี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายภายในจักรวาลต่างตกอยู่ใต้ความประหวั่นหวาด แม้แต่ทวยเทพยังกลายเป็นเพียงเศษหญ้าแห้งตายภายใต้เภทภัย ไม่หลงเหลือความเป็นเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ หัวใจของพวกเขาจึงจมลึกสู่ความหวาดผวาเกินกว่าจะจินตนาการถึง
มีเพียงคนธรรมดาเท่านั้นที่ไม่ได้ร่วมชะตากรรมในภัยพิบัติครั้งนี้ พวกเขายังคงใช้ชีวิตไปตามปกติ ไม่แม้จะตระหนักถึงหรือสัมผัสถึงที่มาแห่งภัยพิบัติอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งปะทุขึ้นภายในทั้งสามภพ
พลังนี้นับว่าน่าเกรงขามอย่างยิ่ง มันสามารถกำหนดเป้าหมายไว้ที่ผู้เยี่ยมยุทธ์และละเว้นคนธรรมดาได้ หากกล่าวให้ชัดยิ่งกว่านั้น ก็คือภัยพิบัตินี้มีเป้าประสงค์ไปที่ผู้เยี่ยมยุทธ์เท่านั้น
ตามที่ปราชญ์เฒ่า นายท่านสี่แห่งเขาเทพพยากรณ์ได้กล่าวไว้ มหาเต๋ามักจะทิ้งร่องรอยแห่งโอกาสสำหรับการเอาชีวิตรอดในฟ้าดินไว้เสมอ และมันก็เป็นร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังสำหรับสิ่งมีชีวิตในโลกที่ไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์
ดังนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าระดับการบ่มเพาะของผู้เยี่ยมยุทธ์จะเป็นอย่างไร ขอเพียงเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ก็ไม่อาจหลีกหนีจากภัยพิบัติในครั้งนี้ได้!
เรื่องทั้งหมดนี้ เฉินซีไม่เคยรู้มาก่อน
ชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิลงบนทะเลทรายเนตรสวรรค์ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นซากปรักหักพัง และบ่มเพาะด้วยฌานอันแน่วแน่ เขาขัดเกลาและซึมซับชิ้นส่วนแห่งโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาภายในร่างกายด้วยความมุ่งมั่น ก่อนจะพินิจโชคชะตาของตนขณะที่สอดส่องเข้าไปในความลึกล้ำของบัญชาเต๋าสวรรค์
หวือ~ หวือ~ หวือ~
สายลมพัดกระโชกแรง พื้นที่อันไพศาลของฟ้าดินถูกย้อมให้แดงฉานไปด้วยโลหิต มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ และเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย โซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาส่งเสียงคำรามคร้ามในขณะที่บรรดาทวยเทพต่างถูกกวาดล้างออกไป พวกเขากรีดร้องครวญครางด้วยความโศกเศร้าอันน่าสังเวช
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ได้สะทกสะท้านต่อภัยพิบัติดังกล่าว ร่างกายของเขาเปล่งประกายเจิดจ้ายามที่ฌานเข้าสู่ระดับลึก พยายามใช้หัวใจเพื่อทำความเข้าใจต่อความรู้สึกและควบคุมอารมณ์ พลังชีวิตภายในร่างกายทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น คล้ายกำลังจะกลายเป็นเตาสำหรับหลอมมหาเต๋า
นี่ไม่ใช่การขัดเกลาการบ่มเพาะ หากแต่เป็นการขยายตัวและเปลี่ยนแปลงของจักรวาลภายในร่างกาย
ปัจจุบันเฉินซีได้ดูดซับเศษซากของโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชามาหลายชิ้นแล้ว พวกมันอัดแน่นไปด้วยพลังเต๋าแห่งแก่นแท้สสาร ซึ่งคอยทำหน้าที่รักษาและคงสภาพของภพทั้งสามเอาไว้ ตอนนี้ พวกมันถูกขัดเกลาและซึมซับเข้ามาในร่างกาย ชายหนุ่มใช้มันไปกับการขัดเกลาจักรวาลภายในร่างกายและปรับฐานพลังให้รองรับการเข้าสู่ขอบเขตราชันเซียน นับเป็นโชคลาภวิเศษที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาล
ในตอนนี้จิตใจและวิญญาณกระจ่างซึ่งบัญชาเต๋าแห่งสวรรค์ ชายหนุ่มพินิจพลังเต๋าแห่งแก่นแท้สสารอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือนกับว่าทุกสรรพสิ่งในทั้งสามภพล่องลอยอยู่ภายในหัวใจ อย่างกับได้สัมผัสถึงความรู้สึกแห่งการรู้แจ้งที่ยากจะอธิบาย
ตึง!
ภายในร่างกายของเฉินซี สายใยแห่งพลังเต๋าพลันปะทุขึ้น ทั่วทั้งจักรวาลในร่างกายที่เพิ่งก่อตัวได้ไม่นานเริ่มขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง
ทั้งอวัยวะภายใน เส้นลมปราณ และจุดชีพจรค่อย ๆ กลายสภาพเป็นเหมือนดวงดาว หมู่ดาว และสายธารแห่งดวงดาวอันกว้างไกล…
เลือด แก่นแท้ วิญญาณ เต๋ารู้แจ้ง กฎ… พวกมันทั้งหมดกลายเป็นพลังงานแก่นแท้สสารซึ่งหล่อเลี้ยงจักรวาลภายในร่างกาย
การสร้างจักรวาลขึ้นภายในร่างกายเป็นคุณสมบัติเด่นที่สุดของขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น อย่างไรก็ตาม จักรวาลนี้เพิ่งจะก่อตัวเท่านั้น หากจักรวาลภายในร่างกายได้ขยายตัวเป็นรูปร่างซึ่งมีความเสถียรอย่างสมบูรณ์เมื่อใด มันจะกลายเป็นสัญญาณถึงการครอบครองรากฐานเต๋าสำหรับการก้าวสู่ขอบเขตราชันเซียน
ในตอนนี้ เฉินซีตัดสินใจพิจารณาชะตากรรมแห่งสวรรค์และใช้พลังแห่งบัญชาเต๋าสวรรค์ในการขัดเกลาความคิดและขยายจักรวาลภายในร่างกายอย่างต่อเนื่อง หากเปรียบกับการสร้างฐานพลังแล้ว มันก็คือการก่อรากฐานแห่งราชันเซียนด้วยศิลาเทวะที่แข็งแกร่งที่สุด!
ขณะเดียวกันนั้นเอง มันก็ถือเป็นการพัฒนาตนและมหาเต๋าไปในตัว อีกทั้ง มันยังเป็นประโยชน์ต่อการสร้างมหาเต๋าแห่งราชันเซียนในอนาคตอีกด้วย!
[1] เมล็ดผักกาดขาว มาจากตำนานที่กล่าวถึงการนำเขาพระสุเมรุใส่ลงไปในเมล็ดผักกาดขาว