บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1477 เข่นฆ่าเข้าสู่สำนัก
บทที่ 1477 เข่นฆ่าเข้าสู่สำนัก
……………………………………………………………………..
บทที่ 1477 เข่นฆ่าเข้าสู่สำนัก
ท่ามกลางจิตสังหารอันเดือดพล่าน ร่างกายของว่านฉีชิงพลันเปล่งรัศมีสีทองเข้มของราชันเซียน ขณะเข้าควบคุมฟ้าดิน
โครม
ในเวลาเดียวกัน ร่างของเฉินซีก็ทะยานขึ้นสู่อากาศ เหยียดฝ่ามือออกแล้วกดลง ทำให้เกิดเมฆขนาดมหึมาที่ก่อตัวจากแผ่นยันต์อักขระ ซึ่งเอ่อล้นด้วยแสงอันเป็นมงคล ขณะที่พวกมันฟาดลงมาทางนาง
รอยยิ้มเยาะเย้ยผุดขึ้นที่ริมฝีปากของว่านฉีชิง ร่างกายพลุ่งพล่านไปด้วยแสงแพรวพราว นางฟาดฝ่ามือออกไปเบา ๆ ทำให้เมฆที่กว้างใหญ่แตกสลายกลายเป็นฝนแสงโปรยปรายลงมา
“ไม่มีใครในโลกนี้ที่รบกวนเราแล้ว เจ้าหนู ข้าจะส่งเจ้าไปบัดนี้!”
ท่ามกลางเสียงที่สง่างามและราบเรียบ ว่านฉีชิงพลันเหยียดมือออกและกางเป็นกรงเล็บ ทำให้ปิ่นปักผมสีทองแวววาวกลายเป็นแสงสีทองที่พุ่งผ่านห้วงมิติและกาลเวลา พุ่งเข้าใส่เฉินซีอย่างดุเดือด
“อย่างเจ้านะหรือ?” กลิ่นอายของเฉินซีเป็นเหมือนมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก้าวผ่านความว่างเปล่า พลันรวบนิ้วเข้าหากัน แล้วจึงฟันด้วยดรรชนีกระบี่
หวด!
ปราณกระบี่ถาโถมออกไป พร้อมแฝงด้วยพลังงานแห่งระเบียบอันน่าสะพรึงกลัว มันก่อตัวเป็นมวลแผ่นยันต์อักขระที่กว้างใหญ่และคลุมเครือ ซึ่งบดขยี้ปิ่นปักผมสีทองอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น
“หืม? เจ้าก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง ไม่แปลกใจที่กล้าจองหองได้ถึงเพียงนี้”
ว่านฉีชิงหรี่ตาลง ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์วูบวาบอยู่ภายในดวงตาคู่นั้น นางเป็นราชันเซียนที่เหนือกว่าราชันเซียนทั่วไป ดังนั้นนางจึงสังเกตเห็นความผิดปกติในการโจมตีครั้งนี้
หญิงสาวไม่ลังเลอีกต่อไป เหนือศีรษะของนาง ปิ่นปักผมสีทองเปล่งแสงเรืองรอง และจากนั้นก็กลายเป็นฝนสีทองที่ปกคลุมผืนฟ้า ซึ่งแท้จริงแล้ว มันก่อตัวเป็นมวลหนาแน่นของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ฟาดเข้าใส่เฉินซี
หากการโจมตีนี้เกิดขึ้นในโลกภายนอก มันก็เพียงพอที่จะทำลายล้างเมืองทั้งเมืองและบดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ในระยะหลายแสนลี้ อานุภาพของมันนั่นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอานุภาพที่ราชันเซียนสามารถทำได้
“จองหอง? เจ้าขวางเส้นทางข้าและตั้งใจจะฆ่าข้า แต่เจ้ากลับโทษข้าว่าจองหอง!? ฮ่า ๆ! ประเสริฐมาก! วันนี้ข้า เฉินซีจะจองหองเพื่อเจ้า!” ชายหนุ่มเริ่มหัวเราะด้วยความโกรธสุดขีด ร่างกายสั่นสะเทือน ในขณะที่ปราณกระบี่ที่ปกคลุมท้องฟ้าก็ม้วนอยู่รอบกาย ซึ่งเปี่ยมล้นด้วยพลังมหาศาลขณะที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และปะทะกับการโจมตีของว่านฉีชิง
โครม โครม โครม!
สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมายถูกฉีกกระชากโดยเฉินซี และพวกมันก็ระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่เฉินซีกลับไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ทั้งยังดูเหมือนยมทูตที่อาบด้วยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับมีสีหน้าที่ดูอำมหิตขณะที่พุ่งเข้าใส่ว่านฉีชิงอย่างโกรธจัด
“หืม?” ว่านฉีชิงขมวดคิ้วและรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ เพราะผู้บ่มเพาะที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นกลับต้านการโจมตีที่ร้ายแรงของนางได้ นี่เป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการนัก
ภายใต้การโจมตีด้วยปิ่นทองคำวิญญาณอัสนี แม้แต่ราชันเซียนก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันโดยตรง ทว่าตอนนี้มันถูกบดขยี้ด้วยการปะทะของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น และนี่เป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ
“เจ้าหนู หยุดซะ! การดิ้นรนขัดขืนรังแต่จะทำให้เจ้าตายเร็วขึ้นเท่านั้น!” ว่านฉีชิงหายใจเข้าลึก ๆ และในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะใช้กำลังทั้งหมดของนาง ทำให้ดวงตาที่สุกใสพลันกลายเป็นเยือกเย็น
ปิ่นทองคำวิญญาณอัสนีที่ลอยอยู่เหนือศีรษะก็สั่นไหวอยู่กลางอากาศ มันเปล่งแสงสีทองระยิบระยับเพื่อขัดขวางการโจมตีของเฉินซี
“หลีกไป!” ด้วยคำพูดไม่กี่คำ แต่กลับเผยให้เห็นถึงเจตนาฆ่าอันไร้ที่สิ้นสุด ท่าทางของเฉินซีก็ยิ่งเย็นชาและไม่แยแส เพราะ ณ ปัจจุบันต้องมีเหตุบางอย่างเกิดขึ้นในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างแน่นอน แต่คนผู้นี้กลับมาขวางทาง เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ตนเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในช่วงเวลาวิกฤตนี้ และเจตนาดังกล่าวสมควรตาย!
“ดูเหมือนเจ้ากำลังรนหาที่ตาย?” ใบหน้าของว่านฉีชิงมืดหมอง และหยุดลังเล ปิ่นปักผมที่ลอยอยู่เหนือศีรษะพลันระเบิดเสียงดังกึกก้อง ขณะที่สายฟ้าพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และแท้จริงแล้ว มันสร้างค่ายกลขนาดใหญ่ที่พลุ่งพล่านด้วยสายฟ้า ยิ่งกว่านั้น กลิ่นอายมหาเต๋าแห่งราชันเซียนก็พุ่งสูงขึ้น และดังก้องกังวานเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวกราก!
เคร้ง!
ในขณะนี้ เฉินซีก็หยุดเก็บงำพลังเช่นกัน เขาชักกระบี่เต๋าวิบัติออกมา พร้อมกับฟันปราณกระบี่ที่หนาและใหญ่ออกไป มันแวววาว คมกริบ และคุกคาม พลังของมันเอ่อล้นจนทำให้จักรวาลสั่นสะเทือน!
นี่เป็นหนึ่งในความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขามีในตอนนี้ และมันมีร่องรอยของพลังงานแห่งระเบียบที่เขายึดมาจากเต๋าสวรรค์ การโจมตีด้วยกระบี่เพียงครั้งเดียวนี้ สามารถฟันดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวให้เป็นจุณ!
โครม!
ค่ายกลใหญ่สายฟ้าปะทะกับปราณกระบี่ และมันสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ทั้งเก้า ทั้งยังก้องกังวานไปทั่วบริเวณโดยรอบ คลื่นพลังปั่นป่วนได้กวาดไปทุกทิศทุกทาง ซึ่งพลิกฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้ให้กลายเป็นซากปรักหักพัง
พรวด!
ร่างของว่านฉีชิงสั่นสะท้านในขณะที่นางกระอักเลือดออกมา และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ในขณะที่ความหวาดกลัวแวบขึ้นมาภายในใจ ช่างเป็นพลังฝีมือที่ท้าทายสวรรค์เสียจริง!
แต่นับว่าโชคดี ที่นางไม่ลังเลที่จะใช้เคล็ดวิชาต้องห้าม และทำให้พลังแก่นแท้ของราชันเซียนหมดไป นางจึงสามารถกักขังเฉินซีให้อยู่ในค่ายกลสายฟ้าได้ในที่สุด
“เจ้าหนู ข้าไม่อยากที่จะฆ่าคนมีฝืมือเช่นเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่เข้าร่วมตระกูลว่านฉีของข้าเล่า? ในอนาคตข้างหน้า บางทีเราอาจจะสนับสนุนเจ้าให้ครองตำแหน่งเจ้าสำนักก็เป็นได้” ว่านฉีชิงกล่าวขณะที่มองออกไปไกล
“ฮึ่ม! อย่าได้หลอกตัวเอง!” ในค่ายกล ชายหนุ่มก็รู้สึกกดดันเช่นกัน และต้นเหตุก็มาจากปิ่นทองคำวิญญาณอัสนี เนื่องจากสมบัติชิ้นนี้มีพลังเหนือธรรมดา ทั้งยังลึกล้ำยิ่งกว่าหอกทลายวิญญาณเขียวของอูถิงเล็กน้อย
หากแค่ว่านฉีชิงเพียงคนเดียว นางคงไม่สามารถหยุดเขาได้อย่างเต็มที่
แน่นอนว่านางโป้ปดจริง ๆ เพราะนางตั้งใจจะกักขังและฆ่าเฉินซีด้วยค่ายกล…
“จงเปิด!” เฉินซีตวาดอย่างเย็นชาขณะที่ร่างสูงใหญ่เปล่งประกาย ผิวหนังทุกซอกทุกมุมนั่นเต็มไปด้วยอักขระที่ก่อตัวเป็นชั้นเงาที่ล้ำลึกอยู่หลายชั้น และพลังที่เผยออกมาก็ไร้ขอบเขต
ทันใดนั้น อักขระนับไม่ถ้วนเหล่านี้ก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับดวงอาทิตย์ที่แผดเผา และพวกมันกลายร่างเป็นปราณกระบี่อันแวววาวที่ปะทะกับปิ่นทองคำวิญญาณอัสนีโดยตรง
ตู้ม!
ท่ามกลางคลื่นอากาศที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ปราณกระบี่ของเฉินซีที่เหมือนกับลำแสงก็ระเบิดปิ่นปักผมอย่างแรง
สีหน้าของว่านฉีชิงซีดลงจากความหวาดกลัว เพราะเมื่อปิ่นปักผมถูกโจมตีด้วยพลังเช่นนี้ นางก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน และสิ่งนี้เกินความคาดหมายของนาง! เพราะใครจะคิดว่าราชันเซียนครึ่งขั้นจะสามารถระเบิดพลังที่ท้าทายสวรรค์ได้ทั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น
“จงหยุด!” นางกัดปลายลิ้นและพ่นแก่นโลหิตลงบนปิ่นปักผม เพื่อกระตุ้นพลังของมันและใช้ค่ายกลสายฟ้าเพื่อบดขยี้เฉินซีอีกครั้ง
แสงสีทองส่องประกายเจิดจ้าและดูเหมือนกำลังลุกไหม้ พลังของปิ่นปักผมเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้เกิดแรงกดดันต่อเฉินซีมากกว่าเดิมถึงสิบเท่า แม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างเฉินซีก็ยังถูกโจมตีจนร่างกายสั่นสะท้าน
แต่ท้ายที่สุด ชายหนุ่มก็ยังคงต้านทานมันตรง ๆ และยังคงยืนหยัดได้!
“จะ… เจ้าต้านมันได้อย่างไรกัน!?”
ทันใดนั้น ว่านฉีชิงก็กระอักเลือดออกมาเต็มคำ รูม่านตาก็ขยายออก และไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง ไม่ว่าจะเค้นสมองคิดเพียงใด ก็ไม่อาจเข้าใจว่าเฉินซีต้านทานมันได้อย่างไร
“ข้าลืมบอกเจ้า ไม่นานมานี้ข้าเพิ่งฆ่าไอ้สารเลวขอบเขตราชันเซียนจากนิกายอำนาจเทวะ หากเทียบกันแล้ว ความสามารถเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้านี้ด้อยกว่าไอ้สุนัขตัวนั้นจากนิกายอำนาจเทวะเสียอีก” เฉินซีกล่าวอย่างไม่แยแส ในขณะที่ร่างกายห่อหุ้มด้วยปราณกระบี่ และเขาก็ก้าวผ่านอากาศไปหานาง
“ไม่จริง! มันไม่จริง! เจ้าอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นเท่านั้น…” ในขณะนี้ ว่านฉีชิงรู้สึกหวาดกลัว ทั้งยังรู้สึกอับอายจากการถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรี ทำให้นางกู่ร้องความโกรธเกรี้ยว และพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย
ชิ้ง!
กระบี่สีแดงเลือดพุ่งผ่านท้องฟ้า ชายหนุ่มถือกระบี่เต๋าวิบัติไว้ในมือ แล้วฟันเข้าใส่ปิ่นทองคำวิญญาณอัสนีจนกระเด็น ทำให้ว่านฉีชิงดูเหมือนถูกฟ้าผ่า นางตกลงมาจากท้องฟ้าจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเผือด และลมปราณก็ใกล้จะแตกซ่าน
“เจ้า…” ว่านฉีชิงทั้งโกรธและหวาดกลัว ดวงตาก็แทบถลนออกจากเบ้า เนื่องจากนางไม่สามารถยอมรับความจริงนี้ได้
“ข้าจองหองมากหรือ?” ชายหนุ่มพ่นสองสามคำออกมาเบา ๆ อย่างไม่แยแส
ฉัวะ!
ในขณะเดียวกัน เขาตวัดกระบี่สีแดงเลือดในมือเบา ๆ พร้อมกับศีรษะของว่านฉีชิงกลิ้งลงมาจากคอของนาง เลือดสีทองกระเซ็นขึ้นไปบนท้องฟ้า ราชันเซียนผู้ยิ่งใหญ่ก็ถูกปลิดชีพลงเช่นนี้ กระทั่งตอนนี้ นางก็ไม่อาจเข้าใจว่าราชันเซียนครึ่งขั้นจะสามารถบรรลุทั้งหมดนี้ได้อย่างไร…
ครืน!
พร้อมกับการตายของว่านฉีชิง ฟ้าดินทั้งหมดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เฉินซีกลับไปยังถนนที่คุ้นเคยอีกครั้ง
อันที่จริง ผู้คนบนท้องถนนไม่ได้สังเกตเห็นการต่อสู้ครั้งนี้เลย มันทำให้เกิดเพียงเสียงอุทานด้วยความตกใจ พร้อมกับความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นบนท้องถนน เมื่อม่านการต่อสู้ได้ถูกรูดลง และฝนโลหิตสีทองก็โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
“เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น?” ฝูงชนสับสน หวาดกลัว และไม่สบายใจ
“นั่นเฉินซี! ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวแล้ว!” มีคนสังเกตเห็นร่างของเฉินซีปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอย่างชัดเจน และเขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความตกใจ
“อะไรนะ? เฉินซีหรือ!? หรือเขาจะกลับมาตอนนี้เพื่อรับตำแหน่งเจ้าสำนัก?”
เมื่อพวกเขาทราบว่าเฉินซีกลับมาแล้ว มันทำให้ผู้บ่มเพาะทุกคนตกตะลึง เพราะอันที่จริง หลังจากการต่อสู้ที่สะท้านโลกาสิ้นสุดลง ก็มีคนสังเกตเห็น และจากนั้นข่าวก็แพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว ซึ่งตราบใดที่ร่างอย่างเฉินซีปรากฏตัว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ดึงดูดความสนใจ
…
ฟิ่ว!
อากาศสั่นสะเทือน ทันใดนั้น เฉินซีก็มาถึงบริเวณด้านนอกของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เขาเงยหน้าขึ้นมอง และสังเกตเห็นว่าข้อจำกัดโบราณที่เคยล้อมรอบสำนักอยู่ได้ถูกทำลายไปแล้ว!
สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของเฉินซีมืดมน เพราะเท่าที่เขาทราบมา ข้อจำกัดนี้สืบทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล และไม่ว่าภัยพิบัติใดจะเกิดขึ้น มันก็ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน และไม่เคยถูกสั่นคลอน
แต่บัดนี้มันกลับถูกทำลายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่น่าตกใจเกิดขึ้นภายในสำนัก!
“เจ้าเป็นใคร? รีบออกไปจากที่นี่ซะ!” ชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น และตะโกนใส่เฉินซีด้วยเสียงอันเคร่งขรึม
ฟิ่ว!
เฉินซีฟันปราณกระบี่ด้วยฝ่ามือออกไป พุ่งสังหารชายชราทันที ทำให้เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วท้องฟ้า ตั้งแต่ต้นจนจบ ชายหนุ่มไม่ได้กล่าววาจาแม้แต่คำเดียว เวลานี้ดูเหมือนเขาจะเย็นชาและเด็ดขาดถึงขีดสุด เพราะชายชราผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!
หลังจากที่ทำทั้งหมดนี้ เฉินซีก็หายใจเข้าลึก ๆ และเดินเข้าไปในตัวสำนัก
เหตุการณ์ที่ประสบสู่สายตา ทำให้ความโกรธแค้นในหัวใจพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะที่นี่ดูเหมือนจะเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงหลายครั้ง บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยซากปรักหักพังและอาคารที่พังทลาย ขณะที่คราบเลือดชโลมไปทั่วพื้น
ทุกที่ที่สายตาส่องถึง ล้วนเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง บรรยากาศในอดีตที่เป็นดั่งแดนสวรรค์อันเงียบสงบและงดงามมลายหายไปจนหมดสิ้น!
“บัดซบ!” เฉินซีสบถคำด้วยฟันที่ขบกันแน่น และสีหน้าก็เฉยเมยมากขึ้น ดวงตาที่เยือกเย็นก็ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะที่ไม่อาจควบคุมได้ ประหนึ่งหินหลอมเหลวที่ใกล้จะปะทุ
ครืน!
จู่ ๆ คลื่นเสียงกัมปนาทก็ดังก้องมาจากระยะไกล
เฉินซีหยุดลังเลและพุ่งทะยานความเร็วเต็มพิกัด ตลอดทาง เขาถูกขัดขวางอีกสองสามครั้ง และทั้งหมดนี้เป็นราชันเซียนครึ่งขั้นที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง ซึ่งมีสมบัติอมตะต่าง ๆ มากมาย
เขาไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นของกองกำลังใด แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน พวกมันทั้งหมดถูกสังหารอย่างไร้ปรานี
เขตฝ่ายนอกได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว ข้าสงสัยว่าพื้นที่อื่น ๆ จะเป็นอย่างไรบ้าง…
ร่างสูงใหญ่ทะยานออกไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด ในขณะที่สัมผัสได้ถึงเสียงการต่อสู้ที่ดังมาจากระยะไกล เขารีบลัดเลาะไปตามลานฝ่ายนอกและมาถึงเขตฝ่ายใน
“ใคร!?” ทันใดนั้น เฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหว ในขณะที่จ้องมองไกลออกไปราวกับสายฟ้า อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องตกตะลึงทันทีหลังจากนั้น
“เฉินซี รีบมานี่เร็วเข้า!” หญิงสาวในชุดสีเขียวปรากฏตัวขึ้นในระยะไกล น่าแปลกที่นางคืออาซิ่ว
ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่าย สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดไม่ใช่การที่สำนักถูกทำลาย แต่เป็นสหายและผู้อาวุโสของเขาจะได้รับอันตรายแทน
หากสำนักถูกทำลาย ก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ แต่หากพวกเขาล้มตาย ก็จะไม่สามารถฟื้นคืนได้
“อาซิ่ว เกิดอะไรขึ้น? คนอื่น ๆ อยู่ที่ไหน?” ร่างของเฉินซีแวบวับ และมาหยุดอยู่ข้างอาซิ่ว
“เราไม่ควรอยู่ที่นี่นาน ตามข้ามาก่อน” ขณะที่กล่าว อาซิ่วดึงผ้าไหมสีเขียวอ่อนออกมา จากนั้นมันก็กลายเป็นม่านแสงที่ปกคลุมทั้งสอง ทำให้พวกเขาหายไปในอากาศในทันที และไม่ทิ้งร่องรอยของกลิ่นอายไว้เลย