บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1480 บดขยี้ราชันเซียน
……………………………………………………………………..
บทที่ 1480 บดขยี้ราชันเซียน
ฆ่า!
ฆ่า!
ฆ่า!
ภายในห้วงมิติด้านหน้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า เฉินซีค่อย ๆ เดินเข้ามาทีละก้าว ไม่ว่าผ่านไปทางใด ปราณกระบี่ก็ซัดตัดกัน โลหิตกระเซ็นไปทั่วบริเวณ กำจัดทุกอุปสรรคที่ขวางหน้า
ตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปจากความเยือกเย็นเจือแววสังหารเลย สีหน้าไร้ความผันเปลี่ยน ไม่มีความลังเล
มันอาจเป็นเพียงความวิบัติ แต่ก็ทำให้สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเกิดการขัดแย้งภายใน เป็นเรื่องน่าหัวเราะยิ่งนัก!
ก็แค่ตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่กลับทำให้กองกำลังใหญ่ทั้งหลายภายในสำนักพร้อมก่อเรื่องทะเลาะกันได้ อีกทั้งเพราะเรื่องนี้ พวกเขายังกล้าทำร้ายอาจารย์และศิษย์ร่วมสำนัก นับว่าเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้!
ในความคิดเห็นเฉินซีแล้ว นี่คือสิ่งที่อาจารย์ลุงจี้อวี๋ของเขาทิ้งไว้ เป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวงที่ศิษย์พี่เหมิงซิงเหอส่งต่อมาให้ ตอนนี้คนอื่นกลับทำมันย่อยยับ มีแต่เรื่องเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน เขาจึงไม่อาจระงับความโกรธในใจไว้ได้!
เคร้ง!
ระฆังทองลูกหนึ่งลอยขึ้นฟ้า ปล่อยคลื่นเสียงพุ่งเข้าหาเฉินซี ทำเอาห้วงอากาศตกอยู่ในความปั่นป่วน
ชายหนุ่มหันไปพร้อมกับประกายศักดิ์สิทธิ์ในดวงตา กระแสปราณกระบี่พุ่งขึ้นตัดกับคลื่นเสียงนั้น ได้ยินเสียงระเบิดดังก้องออกมาแสบแก้วหู
อั่ก!
คนผู้หนึ่งเดินซวนเซทรุดลงกับพื้นแล้วร้องเสียงดังด้วยความหวาดกลัว “เฉินซี! อย่าฆ่าข้าเลย! หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งข้าเคยชี้แนะเจ้าในฝ่ายบำเพ็ญเต๋าเมื่อหลายปีก่อน?”
เฉินซียังคงสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงแววความปรานีออกมา เขากดนิ้วเข้าหากันแล้วฟันศีรษะคนตรงหน้าทิ้ง ทำเอาเลือดสีแดงฉานกระฉูดขึ้นฟ้า
เฉินซีย่อมจำอีกฝ่ายได้ เมื่อหลายปีก่อนเขาและศิษย์สายนอกต่อสู้กันเรื่องถกวิถีเต๋าในฝ่ายบำเพ็ญเต๋าคนผู้นี้เป็นผู้ดูแลอยู่ด้านข้าง น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไปเข้ากับตระกูลจงหลี เฉินซีจึงไม่อาจปล่อยให้คนผู้นี้รอดชีวิตไปได้
หลังจากสังหารแล้ว ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าต่อ ในที่สุดก็มาถึงพื้นที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง ใกล้จะถึงหน้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าแล้ว
ตอนนี้เขาเห็นศัตรูเพียงแค่คนเดียว
อีกฝ่ายคือชายหนุ่มชุดเข้ม เจ้าของดวงตาเรียวยาวงดงาม ปลายยกขึ้นเล็กน้อย มีท่วงท่าสง่างาม เขายืนอยู่เช่นนั้นดูไม่เคร่งเครียด กระแสพลังราชันเซียนลอยอยู่รอบกาย มันเปลี่ยนเป็นเส้นแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องเขาจากทุกทิศ เป็นกลิ่นอายดุดันที่โอบล้อมร่างไว้
เป็นราชันเซียน!
เฉินซียังไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่หรี่ตาลงเล็กน้อย เพราะกลิ่นอายของคนผู้นี้ไม่ธรรมดายิ่ง แม้ท่าทีจะดูสงบ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่ไม่อาจเข้าถึง เหมือนท้องทะเลเงียบสงบที่พอคลั่งขึ้นมาก็จะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
เขาประเมินไว้ว่า คนผู้นี้อาจแกร่งกว่าอูถิงและว่านฉีชิงเสียอีก แต่ก็ไม่ได้แกร่งเกินจะรับมือ
“เจ้าคือเฉินซีหรือ? ข้าประหลาดใจนักที่เจ้ามาถึงที่นี่ได้ด้วยตัวคนเดียว ไม่แปลกเลยที่หลิงหลงประเมินเจ้าไว้สูง” พออีกฝ่ายเห็นผู้มาใหม่ ชายในชุดดำก็เผยรอยยิ้มออกมา
หลิงหลง?
ย่อมเป็นมู่หลิงหลง!
ภาพหญิงสาวบริสุทธิ์พลันปรากฏขึ้นในใจ หญิงสาวคนนั้นไม่รู้วิธีต่อสู้ ติดใจบริสุทธิ์และสะอาดเอี่ยมอ่อง นางเป็นสหายที่เขาได้มาตอนเพิ่งมาถึงภพเซียน อีกทั้งยังเป็นน้องสาวของหนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้าแห่งภพเซียนในตอนนั้น มู่จวินหลิน
“เจ้าคือคนตระกูลมู่หรือ?” เฉินซีมุ่นคิ้ว แต่ก็ไม่ได้วางใจ เขามีความสัมพันธ์อันดีกับมู่หลิงหลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นมิตรกับตระกูลมู่ ในเมื่อตระกูลมู่กล้ายุ่งเรื่องตำแหน่งเจ้าสำนักเช่นนี้ เฉินซีย่อมไม่ไว้หน้า
“ถูกต้อง” ชายหนุ่มชุดเข้มตอบไปโดยไม่คิดอะไร “มู่หรงเทียน”
“ตระกูลมู่ของเจ้าก็กล้าขวางทางข้าหรือ?” เฉินซีเอ่ยเสียงเย็น กลิ่นอายที่ปล่อยออกมาดูน่าหวาดหวั่น เหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุ
“เจ้าจะเชื่อหรือไม่ข้าก็ไม่รู้นะ แต่ตระกูลมู่ของข้าไม่ได้อยากได้ตำแหน่งเจ้าสำนักเลย เพียงแต่ไม่อยากให้กลุ่มอำนาจอื่นได้ไปก็เท่านั้น” มู่หรงเทียนสัมผัสจิตสังหารของเฉินซีได้ แต่ก็ยังยิ้มไปพูดไป มีความมั่นใจสูงยิ่ง
“ตอนนี้ข้ามาแล้ว ตระกูลมู่ก็หลีกไปเสีย!” เฉินซีเอ่ยเสียงเย็น
มู่หรงเทียนยิ้มเอ่ยขัด “เฉินซี หากเจ้าเต็มใจ ตระกูลมู่จะช่วยสนับสนุนเจ้าขึ้นตำแหน่งเจ้าสำนักได้!”
“น่าขันนัก! ตำแหน่งเจ้าสำนักเป็นของข้ามาโดยตลอด เหตุใดจึงต้องให้คนอื่นสนับสนุนเพื่อขึ้นรับด้วย?” เฉินซียิ่งเผยสีหน้าเย็นยะเยือก ดูขู่ขวัญเป็นอย่างยิ่ง
“การได้มรดกจักรพรรดิเต๋าอาจไม่ได้ทำให้เจ้าได้ตำแหน่งเจ้าสำนักก็ได้ อีกทั้งตอนนี้เจ้าตัวคนเดียว หากไม่มีแรงสนับสนุนจากอำนาจใหญ่ ถึงขึ้นตำแหน่งเจ้าสำนักไป สุดท้ายก็ได้แต่เป็นหุ่นเชิดให้คนอื่น” มู่หรงเทียนยิ้มบางช ไม่สนใจท่าทางอีกฝ่ายสักนิด
“หุ่นเชิดหรือ?” เฉินซีเองก็คลี่ยิ้มออกมาเช่นกัน แต่มันกลับไร้อารมณ์ยินดี “เจ้าไม่ลองดูล่ะ?”
มู่หรงเทียนหุบยิ้มในพลันแล้วมุ่นคิ้ว “เฉินซี เจ้าคิดหรือว่าจะจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวเองได้?”
“ถอยไป!” เฉินซีไม่อยากเสียเวลาอีก เพราะเวลามีจำกัด อีกทั้งยังไม่อยากเถียงกับมู่หรงเทียนไปมากกว่านี้แล้ว
มู่หรงเทียนเผยประกายวาบในดวงตา พลางเอ่ยเสียงทุ้ม “เอาละ เช่นนั้นก็มาดูกันว่าเจ้ามีฝีมือแค่ไหน”
ตู้ม!
เสียงยังไม่ทันสิ้น ร่างก็พุ่งออกมาดั่งมังกร เขาซัดฝ่ามือออกมาเป็นภาพฝ่ามือดูดุดันขนาดใหญ่ กดทับทุกสิ่งอย่างรอบข้างไว้
การโจมตีนี้ทำให้ทุกอย่างแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เกิดเป็นภาพมหาเต๋าแตกสลาย ใต้หล้าแตกระแหง คล้ายกับจะดึงทั้งฟ้าและดินเข้าสู่ห้วงหุบเหวลึกไร้ก้น
เฉินซีตกใจอยู่บ้าง เพราะอำนาจของมู่หรงเทียนนั้นน่าเกรงขามอย่างแท้จริง ทันทีที่อีกฝ่ายโจมตีออกมา ก็เผยฝีมือขั้นสูงเหนือกว่าอูถิงและว่านฉีชิงเสียอีก
ครืน!
แทบพริบตานั้น เฉินซีก็ลงมือเช่นกัน เหมือนความวิบัติยามกำเนิดโลกกำลังถูกแยกออก เกิดเป็นหลุมดำปรากฏบดขยี้ มันคือค่ายกลกระบี่ภายในท่าฝ่ามือ มันบดบังฟ้า ค่ายกลกระบี่ภายในผสานไปด้วยความลึกล้ำเกินหยั่ง
ตอนนี้เขาเหมือนเจ้าเหนือหัวที่กำลังสร้างโลกกระบี่ขึ้นมา ที่ใจกลางฝ่ามือเต็มไปด้วยกระแสปราณกระบี่ตัดเข้าหากัน มันวิ่งพล่านหวีดหวิวไปในอากาศ
มู่หรงเทียนนัยน์ตาเป็นประกาย สีหน้าพลันผันเปลี่ยน เขาสัมผัสได้ว่าการโจมตีนี้รุนแรงแค่ไหน จึงไม่คิดเข้าประชันหน้า เพียงวาดแขนออก คล้ายมังกรสะบัดหาง ซัดพลังพุ่งออกมาแล้วโจมตีด้านข้าง
ตู้ม! ตู้ม!
เฉินซีไม่คิดหลบ ค่ายกลกระบี่ในฝ่ามือยังคงโคจรและส่งเสียงลั่น พลางปลดปล่อยกระแสปราณกระบี่ออกมา สะบั้นการโจมตีของมู่หรงเทียน จนเกิดเป็นเสียงระเบิดดังครืน
สุดท้าย เฉินซีก็ทำลายการโจมตีนี้ไปได้ แล้วซัดการโจมตีเข้าหามู่หรงเทียน!
ฟ้าว!
มู่หรงเทียนหน้าเปลี่ยนสี รีบแวบร่างหลบทันใด
เฉินซีชี้นิ้วออกไป
ชิ้ง!
ค่ายกลกระบี่รุดหน้าผงาด เกิดเป็นยันต์ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนเข้ารั้งร่างมู่หรงเทียนไว้
การโจมตีนี้รุนแรงยิ่ง โหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุด คล้ายจะสังหารทั้งโลก มู่หรงเทียนหน้าเสีย เขาจึงได้แต่หยุดหนีแล้วปะทะกับมันโดยตรง
ตู้ม!
แสงเรืองศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างออกรอบข้าง ร่างมู่หรงเทียนสะท้านสั่น ซวนเซถอยไปหลายก้าว เผยสีหน้าคลุมเครือออกมา
น่าตกใจเกินไปจริง ๆ!
ราชันเซียนครึ่งขั้นจะมีพลังต่อสู้ได้น่าเกรงขามขนาดนี้เลยหรือ?
มู่หรงเทียนไม่อาจทำความเข้าใจได้ แต่สุดท้ายก็รู้แล้วว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงกล้ามาคนเดียว เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไร้ความเกรงกลัว และไม่ได้ทำอะไรไปโดยไม่ยั้งคิด
ตู้ม!
เฉินซีพุ่งเข้าไปอีกครั้ง
“พอแล้ว! ข้ายอมแพ้!” มู่หรงเทียนรีบยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี เพราะยังไม่คิดจะสะบั้นความสัมพันธ์กับอีกฝ่าย
ฟึบ!
ทันใดนั้น เฉินซีก็รั้งการโจมตีกลับมา กลิ่นอายดุดันน่าเกรงขามดั่งคลื่นสมุทรถูกเก็บเข้าร่าง
“หากไม่ใช่เพราะมู่หลิงหลง วันนี้ข้าคงลงมือสังหารเจ้าไปแล้ว หวังว่าตระกูลมู่จะทำอย่างที่เจ้าบอก ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมือเปื้อนเลือด” เฉินซีเหลือบมองมู่หรงเทียน ก่อนหันหลังเดินจากไป
“เด็กนี่มันบัดซบจริง!” พอได้ยินคำพูดโผงผางนั่น มุมปากมู่หรงเทียนก็กระตุกยิก แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่หัวเราะเสียงขื่นแล้วส่ายหน้า
“แจ้งให้ทุกคนในตระกูลถอยออกจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า!” มู่หรงเทียนส่งกระแสปราณกระจายออกไป
“ทำไมเล่า?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
พริบตานั้น กระแสปราณจำนวนมากก็ส่งมาถึงเขา ถามถึงเหตุผล
“นี่คือคำสั่ง!” มู่หรงเทียนหน้าขรึม เผยแววห้ามขัดคำสั่ง
ไม่มีใครกล้าถามอะไรออกมาอีก
“ตระกูลมู่ของข้าจะสู้หรือไม่ก็ไม่เกี่ยว แต่เจ้าหนูเอ๋ย ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ ข้าขอดูสักหน่อยแล้วกันว่าเจ้าจะไปได้สักเท่าไหร่…” หลังจากคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง มู่หรงเทียนก็ตัดสินใจติดตามหนทางที่เฉินซีเลือกเดิน
…
ไม่นาน ร่างสูงใหญ่ก็มาถึงตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า
ที่นี่มีจัตุรัสอยู่ บนพื้นคือพื้นหินปูโบราณ ผิวหินไม่ค่อยเรียบ ทั้งยังมีรอยกระดำกระด่าง อีกทั้งยังดูเหมือนผ่านกาลเวลามายาวนาน
ตอนนี้มีกลุ่มคนสิบกว่ากลุ่มอยู่ที่นั่น วางกำลังกระจายตัวอยู่ทั่ว ปิดบังเส้นทางสู่ตำหนักโดยสิ้นเชิง
หรือก็คือหากเฉินซีอยากเข้าไป ก็จะต้องผ่านคนของกลุ่มที่ว่าเข้าไปเท่านั้น
รอบข้างเงียบสงัด ไม่มีเสียงพูดคุยกันแม้เพียงครึ่งคำ บรรยากาศนิ่งสนิทและเจือด้วยจิตสังหารอย่างแรงกล้า แม้พวกเขาจะคุมเส้นทางไว้แล้ว แต่ก็ไม่ยอมกันเองเช่นกัน
นั่นเป็นเพราะไม่มีใครอยากเป็นฝ่ายสูญเสียกำลัง ไม่อยากให้อีกฝ่ายเอาเปรียบตน
ที่สำคัญคือ ผู้นำของพวกเขาเข้าตำหนักไปแล้ว และกำลังต่อสู้แย่งชิงหม้อยามรดกเต๋าโบราณกันอยู่ ตรงนั้นต่างหากถึงจะเป็นศึกที่แท้จริง!
ฟ่าว!
เมื่อร่างเฉินซีปรากฏขึ้น สายตาของทุกคนก็เคลื่อนมาทางเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“เฉินซี?”
“ไม่คิดเลยว่าเขาจะมา…”
“บัดซบ! แล้วไอ้พวกเวรนั่นทำอะไรอยู่? กลับปล่อยให้เด็กนี่เข้ามาที่นี่ได้!”
พอจำตัวตนเฉินซีได้ คนจากหลายกลุ่มก็เกิดปฏิกิริยาหลากหลาย บ้างตกใจ บ้างดูถูก บ้างรังเกียจเดียดฉันท์ บ้างเกลียดชังสุดแสน บ้างไม่อยากเชื่อ และมีอีกหลากหลายอารมณ์ผสมปนเปกันไป
ในจังหวะนั้นเอง เฉินซีก็กวาดสายตามองคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่
ไม่ใช่เพียงการร่วมมือกันระหว่างตระกูลว่านฉี ตระกูลจงหลี และตระกูลเจี้ยงเท่านั้น ยังมีคนจากภพมังกร เผ่าวิหคอมตะ ภพพุทธองค์ ตระกูลจี้ และอีกหลายกองกำลังอยู่ด้วย
ถึงขั้นที่เห็นว่า หัวหน้าอาจารย์ฝ่ายสงวนโอสถ จั่วชิวเซิง ก็อยู่ในหมู่คนเช่นกัน!
คนผู้นี้ไม่ได้เข้าร่วมในการขัดแย้งภายในของตระกูลจั่วชิวจึงรอดชีวิตมาได้ แต่ตอนนี้กลับมาติดตามอยู่ข้างตระกูลจงหลี ตระกูลว่านฉี และตระกูลเจี้ยงเสียอย่างนั้น
ที่สำคัญคือ นอกจากอาจารย์ในสำนักศึกษาแล้ว ยังมียอดฝีมือจากตระกูลต่าง ๆ อีกด้วย!
พวกที่หน้าไม่คุ้นเหล่านี้คือกำลังสนับสนุนจากภายนอก
เห็นดังนั้น เฉินซีที่เดิมทีมีใบหน้าเรียบเฉยก็เปลี่ยนเป็นเจือแววสังหารเย็นชา ไฟโกรธในนัยน์ตาลุกโชน แทบจะแผดเผาท้องนภาได้อยู่แล้ว