บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1481 ย่ำย่างอย่างองอาจ
บทที่ 1481 ย่ำย่างอย่างองอาจ
……………………………………………………………………..
บทที่ 1481 ย่ำย่างอย่างองอาจ
ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าตั้งตระหง่านท่ามกลางฟ้าดิน ความเก่าแก่ของมันชวนให้รู้สึกขึงขังไม่น้อย
ณ ลานจัตุรัสหน้าตำหนัก เฉินซีเผชิญหน้ากับพลังมากมายด้วยตัวคนเดียว ดูเหมือนตัวเล็กจ้อยลงไปในทันที
หากคนอื่น ๆ มาอยู่ตรงนี้แทนเฉินซี ขาของคนคนนั้นคงจะสั่นระริกจนทรุดฮวบ ไม่แม้จะมีแรงหยัดยืนเพื่อต้านทานแรงกดดันประเภทนี้ได้เลย ใช่ คนที่จะสามารถยืนหยัดอยู่ตรงนี้ได้อย่างน้อยต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตราชันเซียงครึ่งขั้น
แม้แต่เซียนปราชญ์ยังต้องหวาดหวั่นสั่นเกรงด้วยไม่อาจสัมผัสถึงพลังที่เที่ยงแท้ของอีกฝ่ายได้
อย่างไรก็ตาม เฉินซีดูเหมือนจะมีความพิเศษอยู่ไม่ใช่น้อย แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ทว่ารัศมีอันผ่าเผยที่เร้นลอดออกมานั้นช่างรุนแรงยิ่งนัก มันโยงใยไปถึงฟ้าและหลอมรวมเข้ากับดิน แม้แต่กลิ่นอายของเต๋าที่พันรัดรอบกายก็ยังเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามซึ่งทำให้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าดูแคลน
จิตสังหารในใจล้นทะลักราวทะเลคลั่ง มันทำให้ลมและมวลเมฆที่อยู่รอบ ๆ กลายเป็นความโกลาหลในทันที เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำเอาสีหน้าของผู้คนจำนวนมากเปลี่ยนแปลงไป
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าภัยพิบัติจะไม่สามารถสร้างความหวั่นเกรงต่อใจของพวกเจ้าได้ แม้แต่การเกิดขึ้นใหม่ของนิกายอำนาจเทวะก็ไม่อาจทำให้พวกเจ้าระแวงระวังได้เช่นกัน กระนั้นพวกเจ้าทุกคนก็ยังต่อสู้กันเพื่อตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของข้า!” ทันใดนั้น เสียงที่ไร้ซึ่งอารมณ์ก็ดังก้องไปทั้งฟ้าดินกว้างใหญ่ เฉินซีก้าวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วพลางมองไปรอบ ๆ ทั้งสายตาคมกริบ เปี่ยมไปด้วยความเยือกเย็น ไม่แยแสซึ่งโอบล้อมด้วยจิตสังหารอาฆาต
แม้ว่าเขาจะยืนอยู่เพียงลำพัง ทว่ามันกลับดูทรงอำนาจและห้าวหาญยิ่งนัก
เมื่อพวกเขาทุกคนได้ยินสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่ดูแคลน โกรธเกรี้ยว อับอาย เศร้าหมอง ขบขัน ขมวดคิ้ว บ้างก็รู้สึกว่าเฉินซีนั้นคงจะเสียสติไปแล้วจึงได้พูดวาจาที่ไร้เดียงสาเช่นนี้
ชายหนุ่มยังคงมีสีหน้าเย็นชาและไม่แยแสต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
“พวกเจ้าทำลายมหาค่ายกลของสำนักของข้า สังหารอาจารย์และศิษย์ในสำนักของข้า ทำลายอาณาเขตป้องกันของสำนักของข้า ซ้ำร้ายยังนำพาความโกลาหลมาสู่สำนักของข้าอีก! ไอ้พวกสารเลวเอ๊ย พวกเจ้ามัน… สมควรตาย!”
สมควรตาย!
เพียงคำสั้น ๆ หากเปี่ยมซึ่งแรงอาฆาตแสนเสียดแทง ส่งผลให้สีหน้าของหลาย ๆ คนเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
“เป็นไอ้สารเลวตัวจ้อยที่ไร้สัมมาคารวะ ในฐานะศิษย์ของสำนัก เจ้าไม่เพียงไม่เรียนรู้วิธีเคารพต่อผู้อาวุโส หากยังเอาแต่พล่ามเรื่องไร้สาระแทน เจ้าคงคิดว่าหลังจากที่เจ้าได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋าแล้ว เจ้าจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นสินะ?” ชายชราผู้หนึ่งตำหนิเฉินซีด้วยไม่อาจควบคุมโทสะของตนได้อีกต่อไป เขาเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาฝ่ายใน แน่นอนว่านี่เป็นการตักเตือนเฉินซีในนามของผู้อาวุโส
ทันใดนั้น เฉินซีหันขวับมามองทั้งแววตาเย็นชาและลึกล้ำประหนึ่งสายฟ้ากัมปนาท ความเยือกเย็นเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นบนมุมปาก
“ข้าสิต้องถามท่าน ว่าการช่วยเหลือคนชั่วด้วยหมายใจถึงอำนาจภายในสำนัก ทั้งยังให้คนภายนอกเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่เล่าท่านอาจารย์? ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หากพวกเจ้าตระหนักถึงข้อผิดพลาดของตนและพยายามแก้ไขในสิ่งผิด ข้าก็จะยอมละเว้นชีวิตให้ แต่ถ้าไม่ ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคนอย่างไม่ปรานีใด ๆ!” เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการเตือนชายชราผู้นั้นเท่านั้น หากยังเป็นการประกาศถึงเจตจำนงของตนต่ออาจารย์ทุกคนที่เข้าข้างผู้มีอำนาจจากภายนอก!
เสียงทุ้มกังวานประหนึ่งเสียงกระทบกันของกระบี่ มันแผดดังไปทั่วทั้งฟ้าดิน ทำให้ผู้ฟังตกภายใต้ความตะลึงลาน
ท่าทีเด็ดเดี่ยว เย็นชา และไร้ความปรานีของเฉินซียามเมื่อมาถึงด้านนอกโลกบรรพกาลนั้นช่างเกินความคาดหมายของพวกเขายิ่งนัก
หลังจากนั้น ความโกรธก็บังเกิดขึ้นในใจอย่างอดไม่ได้!
ใช่แล้ว พวกเขาโกรธเฉินซีแทบกระอัก ชายหนุ่มผู้นี้ชักจะโอหังเกินไปแล้ว เห็นทีที่กล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามคนอื่นทั้ง ๆ ที่อยู่แค่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นเช่นนี้ คงจะเป็นการรนหาที่ตายกระมัง!
อีกด้านหนึ่ง เฉินซีเงียบไปครู่ใหญ่หลังจากที่พูดจบ สายตาที่ทอดมองออกไปนั้นแข็งกร้าวประหนึ่งกระบี่ซึ่งกวาดผู้คนโดยรอบ มันเต็มไปด้วยความเฉยเมยทว่าพิถีพิถัน ราวกับเทพเซียนผู้จ้องมองยังโลกมนุษย์
บรรยากาศโดยรอบตกสู่ความเงียบงัน ให้ความรู้สึกที่ประหลาดยิ่ง
“ฮ่า ๆ…” ทันใดนั้น เสียงหัวเราะไร้ที่มาพลันดังขึ้น แม้จะไม่มีคำพูดอื่นใดต่อจากนั้น แต่มันกลับเต็มไปด้วยรอยถากถางที่แทงทะลุโสตประสาท
“เจ้าหนู หากเจ้าทำเช่นนี้ก่อนที่ภัยพิบัติจะมาถึง ทุกคนก็คงจะนับถือในการกระทำของเจ้า ทว่าตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว หากไม่ได้รับการคุ้มครองจากผู้อาวุโสเหล่านั้น เจ้าก็เป็นเพียงตัวตนธรรมดาโดดเดี่ยว ข้าขอเตือนเจ้าสักอย่าง หากเจ้ายังไม่อยากให้ชีวิตจบสิ้นลง ก็อย่าได้คิดจะทำอะไรตามอำเภอใจไปมากกว่านี้เลย” ใครบางคนพูดด้วยน้ำเสียงทระนงซึ่งแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน
“ก็จริงอยู่ที่เจ้าได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋า และตามธรรมเนียมเจ้าคือผู้ที่มีคุณสมบัติในการสืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แต่ในเมื่อภัยพิบัติมาถึงแล้ว สำนักยามนี้ก็เหมือนกับมังกรไร้หัว ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว จำเป็นต้องมีบุคคลซึ่งมีศักดิ์สูงและได้รับความเคารพจากคนหมู่มากขึ้นมาปกครองดูแล แน่นอนว่าคนผู้นั้นจะต้องไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ขาดความอาวุโส ขาดรากฐานที่มั่นคง และขาดพลังอย่างเจ้า” คนผู้หนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสุขุมฟังดูชอบธรรม แม้วาจาของเขาจะฟังดูสมเหตุสมผล ทว่าแท้จริงแล้วมันถูกยกขึ้นมาเพื่อเย้ยหยันเฉินซีที่ไร้ประสบการณ์ราวเด็กอมมือ ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมใดๆ ที่จะขึ้นเป็นเจ้าสำนักเลยแม้แต่น้อย
ชั่วขณะหนึ่ง เฉินซีกลายเป็นเพียงอาชญากรที่กำลังถูกฝูงชนรุมประณาม!
ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็ยังคงไม่แยแสต่อเรื่องที่เกิดขึ้น สายตาของเขาที่จ้องมองออกไปยังตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าซึ่งอยู่แสนไกล เขายืนอยู่เช่นนั้นอย่างเงียบงัน มือที่ไพล่หลังบ่งบอกถึงการจมลงสู่ภวังค์คิดอันลึกซึ้ง
ตำหนักแห่งนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยหินปูนยุคบรรพกาล และเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเก่าแก่อันสง่างาม มันตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงมายาวนานแทบจะเป็นนิรันดร์ เป็นสถานที่ซึ่งดำรงอยู่เพื่อเฝ้ามองการเคลื่อนไหวแห่งสายธารกาลเวลาและหยุดยั้งชะตากรรมอันเป็นนิรันดร์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
มันยิ่งใหญ่ สูงส่ง เงียบสงัด และปกคลุมไปด้วยแสงที่เจิดจรัส รวมไปถึงรัศมีเทวะอันทรงพลัง ประหนึ่งตำหนักแห่งทวยเทพที่ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องยำเกรง
นับตั้งแต่ที่เฉินซีมาถึงที่นี่ ก็ปรากฏร่องรอยแห่งการเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นระหว่างตราประทับหยกนพกระแสและตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า มันทำให้รู้สึกราวกับได้กลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน และมีความผูกพันต่อมันอย่างไม่มีเหตุผล
ถึงขนาดที่ความรู้สึกแสนพิเศษนี้ทำให้จิตใจของเขารู้สึกราวกับได้รับการชำระล้าง กลายเป็นสิ่งโปร่งแสงใสกระจ่าง ชวนให้นึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาแห่งความโกลาหล การบรรลุเต๋า และการดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์
เฉินซีรู้ดีว่ามันเป็นพลังของตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าและพลังแห่งชะตากรรมที่ยึดโยงกับที่นี่นับตั้งแต่โบราณกาล มันเป็นพลังที่หนักแน่นและแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้!
หากสามารถใช้มันได้ มีหรือที่เขาต้องหวั่นเกรงต่อเทพเซียน?
แน่นอนว่าเฉินซีไม่สามารถทำสิ่งนี้ให้สำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่เขาเชื่อมั่นว่าหากตนก้าวเข้าไปภายในตำหนัก เขาก็จะสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังแห่งชะตากรรมนั้นได้
เมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์จากกองกำลังทั้งหลายเห็นว่าเฉินซียังคงนิ่งเงียบ พวกเขาก็ยิ่งแสดงท่าทางไม่เกรงกริ่งมากยิ่งขึ้น เสียงหัวเราะค่อย ๆ ดังขึ้นมาช้า ๆ ในขณะที่บางคงก็ถึงกับผิดหวังไปตาม ๆ กัน พวกเขารู้สึกว่าเฉินซีอ่อนแอเกินกว่าที่ตนจะให้ค่าให้ความสนใจ
ฉับพลันนั้นเอง เฉินซีเงยหน้าขึ้น ท่าทางสงบนิ่งเผยให้เห็นถึงความเย็นชาและเฉยเมย “หากจะโทษใคร ก็จงโทษตัวเองที่ดื้อดึงและโง่เขลาจนความตายมาจ่อถึงหน้าเถอะ” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเนิบช้า
“ให้ข้าได้ชมเป็นขวัญตาทีเถอะว่าวันนี้ใครจะหยุดยั้งข้าได้!”
สิ้นวาจา แรงกดดันมหาศาลอันไร้รูปร่างก็แผ่กระจายออกไป มันล่องลอยไปทั่วทั้งฟ้าดินด้วยความรวดเร็ว ส่งผลให้ท่าทางของผู้คนที่อยู่โดยรอบที่กำลังส่งเสียงหัวเราะกลับมาจริงจังอีกครั้ง
ท่ามกลางความเงียบงันนี้ เฉินซีเริ่มสาวเท้าไปเบื้องหน้าตามเส้นทางที่นำไปสู่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า
สายตาไม่ได้ว่อกแว่กไปทางใด ท่วงท่าสง่างามยิ่ง ในทุก ๆ อิริยาบถนั้นเต็มไปด้วยรัศมีอันน่าเกรงขามที่ทอดลงยังแผ่นดิน แม้จะหยัดยืนเพียงลำพัง หากก็เปี่ยมซึ่งความเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าผู้ใด!
ประหนึ่งพยัคฆาที่หมายจะสยบโลกไว้ด้วยฝ่ามือ!
ตอนนี้เอง ไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกต่อเฉินซีแบบใด ก็อดตกตะลึงและหวนนึกถึงวีรกรรมของเฉินซีในอดีตไม่ได้
นับตั้งแต่ที่คนผู้นี้เข้ามาในสำนักศึกษา ไม่มีสักครั้งที่เขาจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ ทั้งยังได้สร้างปาฏิหาริย์อันน่าประทับใจขึ้นมามากมาย อย่างการกวาดล้างสหายเต๋าผู้ไร้เทียมทานซึ่งส่งผลให้ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปทั้งภพเซียน จนได้ชื่อว่าเป็นผู้นำรุ่นเยาว์แห่งภพเซียน!
ในปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะดำรงอยู่เพียงขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น แต่ด้วยความสำเร็จอันยอดเยี่ยมในการต่อสู้ ก็ทำให้ไม่มีใครกล้าจะต่อกรโดยตรง
เส้นทางซึ่งนำไปสู่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋านั้นยาวสิบแปดลี้ มันเต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่างและกลิ่นอายคร่ำคร่า มีเพียงร่างในอาภรณ์สีเขียวของเฉินซีที่ค่อย ๆ ย่างก้าวไปบนเส้นทางนั้น
ทุกย่างก้าว ดอกบัวสีทองพลันบานสะพรั่ง มันกวัดแกว่งโอนเอนและเปล่งแสงสีทองขึ้นรอบ ๆ กายของเฉินซี ส่งผลให้เขาถูกปกคลุมได้ด้วยแสงสีทองราวกับมีปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ติดตามไม่ห่างกาย!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขามีสีหน้าเคร่งขรึมลงถนัดตา หัวใจของพวกเขาพลันสั่นสะท้าน มันเป็นภาพแห่งการบรรลุขั้นสูงสุดของมหาเต๋าและหลอมรวมดวงจิตเข้ากับเต๋าแห่งสวรรค์ เฉินซีที่ดำรงอยู่ในขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นจะมีพลังที่พิเศษเช่นนี้ได้อย่างไร? แม้แต่ราชันเซียนก็ไม่แน่ว่าจะสร้างปาฏิหาริย์เช่นนี้ได้
“เฉินซี เจ้าชักจะเอาแต่ใจเกินไปแล้ว หากเจ้ายังเข้าใกล้ตำหนักต่อไป ก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลย!” เมื่อชายชราเห็นเฉินซีค่อย ๆ ก้าวไปยังตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าทีละก้าว เขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องขู่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หึ! ตอนนี้คนทั้งโลกต่างก็รู้ว่าเฉินซีได้รับมรดกของจักรพรรดิเต๋าแล้ว ในเมื่อตอนนี้เขาปรากฏตัว ตำแหน่งเจ้าสำนักก็ควรที่จะเป็นของเขา!” ทันใดนั้น เสียงฮึดฮัดเยือกเย็นดังขึ้น มันเป็นเสียงของมู่หรงเทียน
ฝูงชนทั้งหลายตกตะลึง พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าตระกูลมู่จะแสดงจุดยืนในการสนับสนุนให้เฉินซีขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าสำนักเช่นนี้
บัดนี้บริเวณด้านหน้าของตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าอยู่ในความวุ่นวายเนื่องจากกองกำลังต่าง ๆ ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มที่ใหญ่และซับซ้อน ด้วยเหตุที่ว่าบรรดาอาจารย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้ผนึกกำลังกับเจ็ดตระกูลเก่าแก่ ภพพุทธองค์ ภพมังกร เผ่าวิหคอมตะ และกองกำลังอื่น ๆ จากภายนอก โดยมีเจตนาที่จะแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
การที่จู่ ๆ ราชันเซียนอย่างมู่หรงเทียนแสดงจุดยืนของตนอย่างกะทันหันนี้ ทำให้บรรยากาศโดยรอบยิ่งตึงเครียดมากขึ้น
“ตระกูลมู่? ฮ่า ๆ! มีใครในที่นี้ไม่รู้ความคิดของตระกูลเจ้าบ้าง? พวกเจ้าคงจะวางแผนสนับสนุนสหายเต๋าน้อยผู้นี้เพื่อที่จะใช้เขาเป็นหุ่นเชิดของตระกูลตัวเองอย่างนั้นสินะ” เสียงที่แหลมคมและแหบห้าวดังก้องไปในอากาศกว้างไกล
สีหน้าของมู่หรงเทียนถมึงทึง ทว่ายังไปทันที่จะได้โต้ตอบ…
ตู้ม!
ตอนนั้นเอง เฉินซีสะบัดชายแขนเสื้อ ไม่นานปราณกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ก็ทะลักออกมาจากในแขนเสื้อประหนึ่งกระแสน้ำจากมหาสมุทร ทันใดนั้น มันพุ่งตัวไปยังพื้นที่ที่อยู่ไกลออกไปและบีบให้ชายวัยกลางคนในชุดสีเทาผู้หนึ่งแสดงตัวออกมา
สีหน้าของชายผู้นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่นึกเลยว่าเฉินซีจะรู้ตำแหน่งของตนจริง ๆ
“ไม่นะ!” ยังไม่ทันที่ชายวัยกลางคนจะได้เตรียมตัวรับมือ พลังของปราณกระบี่ที่กว้างใหญ่ก็ได้ห่อหุ้มร่างกายของเขาไว้ ก่อนที่ร่างนั้นจะระเบิดเป็นชิ้น ๆ ถูกสับละเอียดโดยสายใยแห่งปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นละอองเลือดในที่สุด
ผู้เคราะห์ร้ายคือผู้เยี่ยมยุทธ์จากตระกูลจงหลี อีกทั้งระดับการบ่มเพาะก็ไม่ธรรมดา แต่ถึงอย่างนั้น เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ เขาก็ถูกเฉินซีโจมตีอย่างไม่ไว้หน้า
“ไม่มีผู้ใดจะเอาของที่เป็นของข้า เฉินซีไปได้ และข้าก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใคร!” เฉินซีตอบโต้ด้วยท่าทีเย็นชาไม่ยี่หระ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับบรรดายอดคนฝีมือฉกาจเพียงลำพัง ชายหนุ่มก็ยังดูเหี้ยมเกรียม หยิ่งยโส ดื้อดึง และทรงอำนาจ
หัวใจของคนทั้งหมดสั่นสะท้านทั้งสีหน้ามืดมน พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะกล้าเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านพวกตนจริง ๆ ช่างเป็นชายที่หยิ่งผยองและดื้อด้านยิ่งนัก!
ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เฉินซีไม่ได้พูดเล่น การที่คนผู้นี้บดขยี้ราชันเซียนครึ่งขั้นได้อย่างง่ายดายแสดงให้เห็นว่าเป็นมังกรหลับที่พร้อมจะสู้หากถึงคราวจำเป็น
เมื่อมู่หรงเทียนได้ยินเช่นนั้น เจ้าตัวก็ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดที่เอื้อนเอ่ยจากปากเขาอีก มันน่าเสียดายไม่น้อยที่เขาไม่สามารถสร้างไมตรีต่อเฉินซีในช่วงเวลาที่เหมาะสมเช่นนี้ได้
หลังจากจัดการกับผู้เยี่ยมยุทธ์คนหนึ่งไปแล้ว เฉินซีก็ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งในขณะที่เริ่มออกเดินอีกครั้ง ฝีเท้าย่ำย่างด้วยมุ่งหน้าไปสู่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า ในทุกย่างก้าวนั้น รัศมีอันสง่างามค่อย ๆ เปล่งประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ
นี่คือความตั้งใจของเขา ที่สั่งสมความแข็งแกร่งก็เป็นเพราะตนตระหนักดีว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เขาไม่มีทางหลีกเลี่ยงการนองเลือดได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็หาได้เกรงกริ่งไม่
จิตสังหารและแรงอาฆาตเดือดพล่านไม่ต่างภูเขาไฟปะทุ แทบจะทำให้เฉินซีสูญเสียการควบคุม
“บัดซบ! นี่เจ้ากล้าฆ่าคนตระกูลจงหลีของข้าจริง ๆ หรือ!” ตอนนั้นเอง ชายชราในชุดคลุมสีทองไม่อาจอดกลั้นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้อีกต่อไป ใบหน้าของเขาโกรธจัดและเต็มไปด้วยจิตสังหารที่ไร้สิ้นสุด
ตึง!
ขณะที่พูด เขาก็เหวี่ยงเจดีย์ลายมังกรซึ่งอาบไล้ไปด้วยแสงหลากสีออกมา มันระเบิดตัวเองก่อนจะพุ่งเข้าไปหาเฉินซี
การโจมตีนี้ไร้ความปรานียิ่ง มันปั่นป่วนห้วงมิติและกาลเวลาให้หมุนวนวุ่นวาย ทั้งยังยับยั้งและพันธนาการพื้นที่มิติรอบ ๆ เอาไว้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจที่จะบดขยี้เฉินซีอย่างเด็ดขาด ไม่ให้เหลืออะไรที่เป็นภัยต่อพวกตนอีกต่อไป