บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1483 มิอาจหยุดยั้ง
บทที่ 1483 มิอาจหยุดยั้ง
……………………………………………………………………..
บทที่ 1483 มิอาจหยุดยั้ง
เพียงกระบวนท่าเดียว ราชันเซียนเจี้ยงฉางอวินก็เผยวี่แววพ่ายแพ้!
เหตุการณ์นี้น่าตกใจเกินไป และทำให้คนอื่น ๆ ไม่กล้าเชื่อ
ย้อนไปก่อนหน้านี้ เฉินซีได้ฆ่าราชันเซียนครึ่งขั้นอย่างง่ายดายราวกับเชือดเป็ดเชือดไก่ ทำให้คนอื่น ๆ ตระหนักได้ว่า คนผู้นี้มีพลังฝีมือไม่ธรรมดา รวมถึงรู้สึกว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่สามารถต่อกรได้
แต่ไม่มีใครคิดว่าพลังฝีมือของเฉินซีจะน่าสะพรึงถึงขั้นที่ราชันเซียนไม่สามารถต่อกร และยังมีวี่แววว่าจะบดขยี้ราชันเซียนได้ราง ๆ!
ตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน จะมีราชันเซียนครึ่งขั้นสักกี่คนในโลกนี้ที่มีความสามารถท้าทายสวรรค์ได้เท่ากับเฉินซี?
มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ถือได้ว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่!
ท่าทางของเจี้ยงฉางอวินไม่น่าดูอย่างยิ่ง นอกจากรู้สึกตกใจและโมโหแล้ว ยังรู้สึกหนักใจอย่างอดไม่ได้ เจ้าเด็กนี่น่าสะพรึงกลัวจนไม่สามารถเทียบกับราชันเซียนครึ่งขั้นทั่วไปได้เลย และไม่อาจตัดสินด้วยสามัญสำนึกทั่วไปได้
ฟิ่ว!
เจี้ยงฉางอวินมีสีหน้าเคร่งขรึม และสร้างผนึกลับด้วยฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
โอม!
แสงสีทองของมหาเต๋าปรากฏขึ้น และมันปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา
“พลังพิทักษ์ประทีปเต๋าที่ไม่สามารถผ่านไปได้!” มีคนอุทานด้วยความตกใจ และจำได้ว่ามันคือเคล็ดวิชาลับที่สำแดงพลังผ่านผนึกโบราณ มันหลอมรวมเข้ากับเต๋าแก่นแท้แห่งฟ้าดิน ทำให้ใคร ๆ ก็สามารถแปลงร่างเป็นมหาเต๋าได้
นี่เป็นเคล็ดวิชาลับจากยุคบรรพกาลที่สืบทอดกันภายในตระกูลเจี้ยง ตามคำร่ำลือ มันถูกอนุมานจากเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่มีอานุภาพวิเศษ เคล็ดวิชาประทีปเต๋าไร้ขอบเขต และมันลึกซึ้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เห็นได้ชัดว่าเจี้ยงฉางอวินนั้นก็ฝีมือไม่ธรรมดา และยังทัดเทียมกับมู่หรงเทียนอีกด้วย มิฉะนั้นเขาจะมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร?
โครม!
เสียงปะทะกันอย่างรุนแรงดังก้องกังวาน เมื่อปราณกระบี่ฟันไปที่แสงสีทองของมหาเต๋า ซึ่งอันที่จริง มันก็ไม่สามารถผ่าแยกออกจากกันได้
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง คนผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดาจริง ๆ
ในปัจจุบัน หากไม่ใช่เพื่อสร้างแก่นเต๋าบรรพกาล และแสวงหามหาเต๋าแห่งราชันเซียนที่ไร้ที่ติ เฉินซีก็สามารถบรรลุสู่ขอบเขตราชันเซียนได้ทุกเมื่อ
ถึงกระนั้น ความแข็งแกร่งเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำการต่อสู้ข้ามขอบเขต หรือแม้กระทั่งสยบเหล่าราชันเซียน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะรากฐานอันล้ำลึกในเต๋าเซียน และกระแสพลังที่เขาดูดซับมาจากโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชา
ขณะที่คิดเรื่องเหล่านี้ในใจ การกระทำของเฉินซีไม่ได้ช้าลงเลย ร่างสูงใหญ่พุ่งเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
ปราณกระบี่และแสงสีทองของมหาเต๋าปะทะกัน และมันก็ดังก้องกังวานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เจี้ยงฉางอวินก็ไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไป สีหน้าของเขาซีดลง แสงสีทองปกคลุมร่างกายก็แตกกระจายเป็นชิ้น ๆ และกระอักเลือดซ้ำ ๆ
เขากำลังจะถูกสังหาร…
แผนผังไท่จี๋ที่ก่อตัวขึ้นจากปราณสีดำและสีขาวพลันโผล่ขึ้นมา มันหมุนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สร้างความปั่นป่วนให้กับห้วงมิติและเวลา แปรเปลี่ยนเป็นหลุมดำที่ไร้ก้นบึ้งซึ่งปรารถนาที่จะดึงดูดทุกสิ่งในโลกให้เข้าไปในนั้น
นี่เป็นการโจมตีจากจงหลีกุย ทันทีที่ลงมือก็ใช้กระบวนท่าที่รุนแรงที่สุด นั่นคือพลังหลุมดำหยินหยาง เมื่อการโจมตีนี้เกิดขึ้น มันสามารถกลืนกินดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวได้ ยิ่งไปกว่านั้น มันสามารถตัดการเชื่อมต่อระหว่างโลกกับจักรวาล ส่งผลให้มันน่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะนี้ ไม่ใช่แค่เฉินซีเท่านั้นที่หวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด คนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน เคล็ดวิชาลับดังกล่าวนั่นวิเศษอย่างแท้จริง และถือว่าหาได้ยากแม้แต่ในหมู่ราชันเซียนก็ตาม
“ฮึ่ม!” เฉินซีไม่ได้หลบเลี่ยงและปะทะกับมันซึ่งหน้า เสียงระเบิดดังกึกก้องกังวาน ทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนที่จะสลายไปสู่กระแสพลังงานที่ยุ่งเหยิง
หากบริเวณโดยรอบของตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าไม่ได้รับการปกป้องโดยข้อจำกัดสูงสุด มันจะถูกทำลายจากการปะทะกันครั้งนี้อย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน ผู้ยิ่งใหญ่ของกองกำลังอื่น ๆ ได้ล่าถอยไปไกลแล้ว และล้วนแต่เผยสีหน้าตกตะลึง เพราะเมื่อความผันผวนของการปะทะดังกล่าวแผ่ขยายออกไป ผลที่ตามมาก็ไม่อาจจินตนาการได้
ในขณะนี้ เฉินซีต่อสู้ติดพันกับจงหลีกุย และปะทะกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสองต่อสู้จนถึงสวรรค์ชั้นฟ้า การต่อสู้นั้นดำเนินไปอย่างดุเดือดเมื่อทั้งสองใช้กระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดเท่าที่พวกเขามี
ในไม่ช้า จงหลีกุยกระอักเลือดเต็มปาก และกระเด็นกลับไป หลังจากการปะทะกันกว่าพันครั้ง ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับเฉินซีได้ อีกทั้งแก่นแท้ยังได้รับความเสียหายจากปราณกระบี่ของเฉินซี ทำให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ทุกคนต่างตื่นตกใจจนหนังศีรษะตื้อชาและแทบหยุดหายใจ คนผู้นี้ไม่แข็งแกร่งเกินไปหน่อยหรือ?
หากพวกเขาไม่ได้ยืนยันว่าเฉินซีอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้น ก็คงไม่เชื่อในสายตาตนเอง แม้ว่าจะถูกทุบตีจนตายก็ตาม
เพราะนั่นคือราชันเซียน!
ตัวตนที่มีชะตากรรมอันยิ่งใหญ่และมีพลังอำนาจสูงสุดในสามภพ หลังจากการมาถึงของภัยพิบัติ เหล่าเทพก็หายไป เหลือเพียงราชันเซียนที่ได้รับการยกย่อง ทว่าบัดนี้ ราชันเซียนทั้งสองก็พ่ายแพ้ติดต่อกันด้วยน้ำมือของราชันเซียนครึ่งขั้น!
หากข่าวนี้แพร่ออกไปจะมีใครกล้าเชื่อหรือไม่?
มีเพียงมู่หรงเทียนเท่านั้นที่เคยเห็นพลังฝีมือของเฉินซีมาก่อน ดังนั้นเขาจึงสงบสติอารมณ์ได้ แต่ก็ยังรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะพลาดโอกาสสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับเฉินซีไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
โครม!
การต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด แม้จงหลีกุยจะพ่ายแพ้ แต่เขาก็ไม่ตาย ดังนั้นเป็นเรื่องปกติที่เฉินซีจะไม่แสดงความเมตตาใด ๆ ชายหนุ่มพุ่งตัวเข้าใส่ด้วยความตั้งใจที่จะสังหารจงหลีกุย
ในขณะนี้ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากเฉินซี ดูเหมือนกับหินหลอมเหลวที่ร้อนระอุ และจักรวาลภายในร่างกายก็ดังก้องกังวาน ร่างสูงใหญ่สอดประสานกับฟ้าดิน รัศมีของเต๋าพันอยู่รอบกาย กลิ่นอายที่น่าประทับใจก็ดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
“หยุดมือ!” มีคนตั้งใจจะหยุดเฉินซี แต่ก็ถูกกำจัดด้วยการสะบัดแขนเสื้อเบา ๆ จนกลายเป็นเถ้าถ่าน คนคนนั้นถูกปลิดชีพในทันที
พรวด!
จงหลีกุยไม่อาจหนีความตายได้ในที่สุด และศีรษะก็ถูกเฉินซีฟันจนขาดในกระบวนท่าเดียว ทำให้เลือดย้อมท้องฟ้าจนแดงฉาน
จวบจนวาระสุดท้าย จงหลีกุยยังจ้องเขม็งอย่างอาฆาตด้วยดวงตาที่เบิกโพลง ทั้งมีสีหน้าที่โกรธแค้นและไม่เต็มใจ เขาไม่สามารถจินตนการว่าผู้บ่มเพาะตัวจ้อยที่ขอบเขตราชันครึ่งขั้นจะสามารถบรรลุสิ่งนี้ได้อย่างไร
ฉากนี้ได้สยบทุกคนที่อยู่รอบข้างโดยสิ้นเชิง มันทำให้การแสดงออกของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่จากตระกูลจงหลี ตระกูลเจี้ยง และตระกูลว่านฉีหน้าซีดอย่างน่าสยดสยอง และความหวาดกลัวก็แพร่กระจายไปทั่วหัวใจอย่างห้ามไม่ได้
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา ได้ทำการต่อสู้เพื่อครอบครองหม้อมรดกเต๋าโบราณภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า ในขณะที่เจี้ยงฉางอวินพ่ายแพ้ จงหลีกุยก็ถูกสังหาร ตอนนี้ไม่เหลือราชันเซียนคนอื่นอีก แล้วพวกเขาจะต่อกรเฉินซีได้อย่างไร?
ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น หัวใจของผู้ยิ่งใหญ่จากกองกำลังอื่น ๆ เช่นตระกูลจี้และภพมังกรก็รู้สึกหนาวเย็น ราวกับตกลงในบ่อน้ำแข็ง
ท่าทางดูหมิ่น เยาะเย้ยและเหยียดหยามก่อนหน้านี้ ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวและความไม่เชื่ออย่างสมบูรณ์
มีเพียงมู่หรงเทียนและคนอื่น ๆ จากเผ่าวิหคอมตะและภพพุทธองค์ที่เหงื่อโชก ซึ่งต่างก็รู้สึกโชคดีอย่างยิ่งที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ เพราะเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง
“รีบถอยเร็วเข้า!” เจี้ยงฉางอวินคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เขาตระหนักชัดเจนว่าเฉินซีนั้นน่ากลัวเพียงใด และรู้ดีว่าไม่มีใครสามาารถเทียบเคียงคนผู้นี้ได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จึงทำได้แต่หลีกเลี่ยงเฉินซีเท่านั้น
ขณะที่กล่าว เขาฉีกห้วงมิติออกจากกันและเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติออกไป หนีโดยไม่คิดเหลียวหลังแม้แต่น้อย
เฉินซีได้เฝ้าระวังมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นจึงฟันปราณกระบี่ออกไป ห้วงมิติก็พังทลายลงเมื่อปราณกระบี่พุ่งไปที่ส่วนลึกของรอยแยกมิติในระยะไกล
ห้วงมิติที่ทับซ้อนกันหลายชั้น จู่ ๆ ก็ระเบิดออกจากกัน ฝนเลือดโปรยปรายลงมา แล้วศพที่แหลกเหลวก็ร่วงหล่น น่าตกใจที่ร่างนั้นคือเจี้ยงฉางอวิน!
เขากลับประสบเคราะห์ร้าย เพราะบริเวณโดยรอบของตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าถูกปกคลุมอย่างหนาแน่นด้วยชั้นของข้อจำกัดและมิติที่ทับซ้อนกันหลายชั้น ทำให้ถูกขัดขวางขณะที่เคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในท้ายที่สุด เขาก็ล้มเหลวและเสียชีวิตภายใต้ปราณกระบี่ของเฉินซี
ในขณะนี้ คนอื่น ๆ ฟื้นตัวจากอาการตกใจแล้ว และพวกเขาก็ถอยกลับอย่างรวดเร็ว
“คิดหนีหรือ? ในเมื่อเจ้ากล้าที่จะก่อปัญหาในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของข้า แล้วเจ้าจะมาและไปตามต้องการได้อย่างไร!?” เฉินซีเย็นชาและไม่แยแส ปราณกระบี่ถูกซัดออกจากฝ่ามือและมันพุ่งออกไปทุกทิศทุกทาง ในช่วงเวลาสั้น ๆ มันก็กวาดล้างศัตรูทั้งหมด และไม่เหลือผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
บริเวณโดยรอบนั่นเงียบสงัดราวกับจักจั่นในฤดูหนาว!
การกวาดล้างอุปสรรคทั้งหมดนั่นเป็นอย่างไร? เฉินซีได้ให้คำอธิบายที่ดีที่สุดแล้ว เขามีฝีมือไร้เทียมทานและสามารถต่อสู้ข้ามขอบเขตได้ แล้วจะมีใครที่สามารถต้านทานคนผู้นี้ได้อีก?
พื้นหินปูนอันเก่าแก่ที่มีรอยกระดำกระด่างบนจัตุรัสถูกย้อมด้วยโลหิตและคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด ควบคู่ไปกับกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าที่อบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ ทำให้กลายเป็นเหตุการณ์ที่น่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง
กองกำลังร่วมของตระกูลจงหลี ตระกูลว่านฉี และตระกูลเจี้ยง แท้จริงแล้วกลับไม่สามารถต่อกรเฉินซี และถูกทำลายล้างอย่างสมบูรณ์ ทำให้กองกำลังที่เหลืออยู่ล้วนตกตะลึง ตอนนี้เราจะจัดการกับมันอย่างไรดี?
โดยเฉพาะเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ของภพมังกรและตระกูลจี้ สีหน้าของพวกเขาซีดเซียว ในขณะที่หัวใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้
ราชันเซียนครึ่งขั้นเพียงคนเดียวกลับต่อสู้กับกองกำลังทั้งหมด ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่มีใครสามารถต่อกรได้เลยสักคนเดียว จะมีบุคคลเช่นนี้สักกี่คนในโลก?
ฟิ่ว!
ในขณะนี้ สายตาของเฉินซีกวาดไปราวกับสายฟ้าอันเย็นยะเยือก ทำให้ผู้บ่มเพาะของตระกูลจี้และภพมังกรรู้สึกว่าหนังศีรษะตื้อชา ทั้งเผยสีหน้าที่ดูผิดธรรมชาติและไม่น่าดูอย่างยิ่ง
“เฉินซี ข้าเต็มใจสนับสนุนท่านเข้ารับตำแหน่งเจ้าสำนัก!” อาจารย์ที่เข้าร่วมกับตระกูลจี้กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา และตั้งใจที่จะแปรพักตร์ไปอยู่ข้างเฉินซีเพื่อแลกกับชีวิตของตน
“ก่อนหน้านี้เจ้าได้ช่วยเหลือคนชั่วในการกระทำผิด และปฏิเสธที่จะตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเอง ตอนนี้เจ้ากลับเต็มที่จะแปรพักตร์ เจ้าไม่มีความซื่อสัตย์เลยสักนิด การเก็บคนสองหน้าอย่างเจ้าไว้จะมีประโยชน์อะไร?”
ท่ามกลางเสียงที่เยือกเย็นและเฉยเมย เฉินซีเพียงสะบัดนิ้วเบา ๆ ปราณกระบี่ก็พุ่งทะยานออกไปและฟันศีรษะของอาจารย์คนนั้นจนขาดสะบั้น!
“เราตระหนักถึงความผิดของเรา!” อาจารย์บางคนที่เข้าร่วมกับกองกำลังอื่นต่างหวาดกลัวอย่างยิ่ง พวกเขาหวาดกลัวอย่างแท้จริง หัวใจเต็มไปด้วยเสียใจและความเกลียดชังที่ผสมปนเป
สำหรับคนนอกอย่างตระกูลจี้และภพมังกร พวกเขาเลือกที่จะนิ่งเงียบ พวกเขาเป็นตัวแทนของกองกำลังยิ่งใหญ่ ดังนั้นไม่มีทางยอมแพ้เช่นนั้น
“เฉินซี ภัยพิบัติได้มาถึงแล้ว และนิกายอำนาจเทวะกำลังหมายปองภพทั้งสามด้วยความละโมบ มันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ใจของพวกเขาจะไม่มั่นคง หากเจ้าตั้งใจที่จะเข้ารับตำแหน่งเจ้าสำนัก ก็อย่าได้เข่นฆ่าล้างบาง มิฉะนั้นท้ายที่สุดมันจะเป็นผลร้ายต่อสำนักเสียเอง” ทันใดนั้น มู่หรงเทียนกล่าวเตือนเฉินซีผ่านกระแสปราณ
“ภัยพิบัติ? นิกายอำนาจเทวะ? ในสายตาของพวกมันไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับผลประโยชน์ของตนเอง การปล่อยให้คนชั่วเหล่านี้มีชีวิตอยู่จะนำมาซึ่งหายนะในไม่ช้า!” เฉินซีกล่าวอย่างไม่พอใจและขมวดคิ้วพลางมองไปที่มู่หรงเทียนเขม็ง
ชายหนุ่มไม่คิดที่จะหยุดเพียงเท่านี้ นับตั้งแต่ที่แสดงพลังฝีมือ เขาต้องกำจัดทุกสิ่งที่มีเจตนาร้ายออกไป ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่สถานการณ์ภายในสำนักจึงจะสงบอย่างสมบูรณ์ และเมื่อนั้น พวกเขาจะสามารถร่วมกันต่อต้านการโจมตีของภัยพิบัติและนิกายอำนาจเทวะได้
ดั่งที่กล่าวไว้ ต้องขจัดภัยภายใน จึงจะต่อต้านภัยภายนอกได้
ติ้ง!
ในตอนนั้นเอง เสียงอันไพเราะดังก้องออกมาจากหม้อโบราณที่อยู่ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า และเผยให้เห็นพลังงานลึกลับที่ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน
ใบหน้าของเฉินซีหมองลงทันที และมองไปยังตำหนักอันห่างไกล
ชายหนุ่มเดาได้อย่างคลุมเครือว่า ม่านการต่อสู้เพื่อแย่งชิงหม้อมรดกเต๋าโบราณอาจจะกำลังถูกรูดปิดลง
โดยไม่ลังเล ร่างสูงใหญ่พุ่งไปที่ตำหนัก เพราะสัมผัสได้ว่าตราประทับหยกนพกระแสที่อยู่ในความครอบครองของตนนั้นมีทีท่าจะหลุดจากการควบคุมราง ๆ
นี่ย่อมเป็นข่าวร้ายอย่างแน่นอน
ทุกคนที่อยู่รอบข้างอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเฝ้าดูเฉินซีจากไปด้วยสีหน้าซับซ้อน ไม่มีใครกล้าหยุด และไม่มีใครกล้าต่อต้าน
ก่อนหน้านี้ เฉินซีได้สยบพวกเขาด้วยการกระทำที่เย็นชาและเด็ดเดี่ยว
ข้าสงสัยว่าคนผู้นี้จะสามารถรับมือได้หรือไม่…
มู่หรงเทียนพึมพำ เท่าที่เขาทราบ เพื่อที่จะควบคุมหม้อมรดกเต๋าโบราณ ราชันเซียนไม่น้อยกว่าสิบคนได้รวมตัวกันภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า
ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น ประกอบด้วยราชันเซียนสามคนจากตระกูลว่านฉี ตระกูลจงหลี และตระกูลเจี้ยงตามลำดับ ในขณะที่คนอื่น ๆ มาจากภพมังกร เผ่าวิหคอมตะ ภพพุทธองค์ ตระกูลจี้ และกองกำลังอื่น ๆ
นอกจากราชันเซียนเหล่านี้แล้ว ยังมีอีกตัวตนหนึ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ นั่นคือ ราชันเซียนดาราวีรบุรุษ!