บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1494 คลื่นใต้น้ำ
บทที่ 1494 คลื่นใต้น้ำ
……………………………………………………………………..
บทที่ 1494 คลื่นใต้น้ำ
เฉินซีก็แตกตื่นทันทีก่อนจะยื่นมือออกไปคว้านางมาอยู่ในอ้อมแขน ก่อนจะตบหลังเพื่อปลอบประโลม “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ อย่าเพิ่งร้อง บอกข้ามา”
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีเป็นฝ่ายกอดอาซิ่วก่อน แม้จะรับรู้ถึงสัดส่วนที่อ่อนนุ่มกับกลิ่นหอมเจือจางก็ไม่มีความรู้สึกถวิลหาแต่อย่างใด มันมีเพียงความรู้สึกขอโทษและปวดใจเท่านั้น
อาซิ่วชอบยิ้ม ในความทรงจำของเขา นางมักเผยรอยยิ้มสดใสทุกครั้งที่ปรากฏตัวราวกับไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้เสียใจได้ แต่ตอนนี้ อาซิ่วกลับหลั่งน้ำตา เฉินซีจึงเข้าใจในทันทีว่าทุกวันนี้อาซิ่วก็แบกรับแรงกดดันมาตลอด
พอมองย้อนกลับไป นับตั้งแต่กลับสำนักก็ไม่เคยให้การดูแลอาซิ่วเป็นอย่างดีเลย เขามัวแต่วิ่งวุ่นการบ่มเพาะจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอโทษอยู่ภายใน ตนสัมผัสได้ว่าตัวเองปล่อยปละละเลยอาซิ่วไปมากแค่ไหน
ร่างของอาซิ่วพลันแข็งทื่อเมื่อถูกเฉินซีสวมกอด ก่อนในหัวจะเต็มไปด้วยความสับสน ถึงกระนั้นก็รู้สึกสบายใจอย่างน่าประหลาด
ไหล่กว้าง เสียงหัวใจเต้นแรงและกลิ่นอันคุ้นเคยทำให้รู้สึกมีความสุข นางอดไม่ได้ที่จะเอนศีรษะไปซบไหล่ของเฉินซีพลางหรี่ตาซึ่งโค้งประหนึ่งดวงจันทร์บนท้องนภา
ผ่านไปสักพัก นางจึงพึมพำ “ข้าคิดว่านิสัยของเจ้าจะเปลี่ยนไปหลังจากกลายเป็นเจ้าสำนักเสียอีก กลายเป็นว่าเจ้ายังคงเป็นเฉินซีที่ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี”
ชายหนุ่มตกตะลึงขณะมีความรู้สึกที่ยากจะอธิบายอยู่ภายใน ซึ่งคล้ายกับความสงสารและความทุกข์ใจ เขาลูบศีรษะเล็กของอาซิ่วก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยคำ “ไม่ว่าข้าจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็จะไม่มีวันลืมเจ้าเด็ดขาด”
มุมปากของอาซิ่วยกยิ้มประหนึ่งลูกสัตว์เลี้ยงแสนเชื่อง นางหัวเราะแผ่วเบาอยู่พักใหญ่ก่อนจะผลักอีกฝ่ายออก แล้วสูดหายใจเข้า จากนั้นจึงมองตาของเฉินซีพร้อมเอ่ยคำ “ขอบคุณ”
สองคำนี้นับว่าประหลาด
เฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย เขาพลันชำเลืองมองอาซิ่วอย่างเกรี้ยวกราดระคนข่มขู่ “ถ้าภายภาคหน้าเจ้าพูดสองคำนี้อีก ข้าจะไปหาเรื่องตระกูลเซวียนหยวนแน่!”
อาซิ่วระเบิดเสียงหัวเราะออกมาราวกับดอกไม้แรกแย้มหลังฝน มันทั้งสดใสและละเอียดอ่อน
จากนั้น เฉินซีก็หัวเราะเช่นกัน
…
อาซิ่วมาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพราะตระกูลเซวียนหยวน บัดนี้นิกายอำนาจเทวะได้พุ่งเป้าไปที่เจ็ดตระกูลโบราณกับเจ็ดสำนักศึกษาแห่งภพเซียน ซึ่งตระกูลเซวียนหยวนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
โดยเฉพาะเมื่อไม่นานมานี้ ตระกูลเซวียนหยวนทนทุกข์ทรมานจากเหตุการณ์นองเลือดทั้งหลาย ผู้อาวุโสและศิษย์ทั้งหลายบาดเจ็บล้มตายด้วยวิธีการแปลกประหลาดเป็นจำนวนมาก เรื่องนี้ทำให้ตระกูลเซวียนหยวนสัมผัสได้ถึงอันตรายก่อนจะทราบว่านิกายอำนาจเทวะได้ยื่นกรงเล็บชั่วร้ายเข้ามาแล้ว
แต่น่าเสียดายที่ประมุขตระกูลอย่างเซวียนหยวนเส้า เซวียนหยวนเฟิงเฉิน และเซวียนหยวนท่าเป่ยล้วนไม่อยู่ เหลือเพียงเซวียนหยวนพั่วเซียวที่รับหน้าที่ดูแล ทันทีที่ความขัดแย้งกับนิกายอำนาจเทวะอุบัติ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็สุดที่จะคาดเดา
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น อาซิ่วทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากเฉินซี
หลังจากทราบเรื่องทั้งหมดนี้ สีหน้าของเฉินซีก็เย็นชา แต่น่าเสียดายที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในตอนนี้ต้องการให้เขาดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้นิกายอำนาจเทวะสบโอกาส
ท้ายที่สุด เฉินซีจึงตัดสินใจให้อาซิ่วกลับตระกูลเซวียนหยวน เพื่อบอกสมาชิกในตระกูลว่าหากเป็นไปได้ก็ย้ายเข้ามาอยู่กับสำนัก หากทำเช่นนี้ ทุกปัญหาก็จะได้รับการคลี่คลาย
ในขณะเดียวกันตระกูลเซวียนหยวนจะช่วยส่งเสริมสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เรียกได้ว่าฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว
อาซิ่วรับคำก่อนจะจากไปอย่างเร่งรีบเพราะห่วงความปลอดภัยของสมาชิกตระกูล
“นิกายอำนาจเทวะ… รอก่อนเถอะ สักวันข้าจะไปถึงระดับขีดสุดเพื่อไล่จัดการพวกเจ้าให้สิ้นซากในคราวเดียว!” เฉินซีมองอาซิ่วจากไปขณะดวงตาพลันฉายแววเย็นยะเยือก
การมาเยือนของอาซิ่วทำให้เขาพลันเข้าใจถึงปัญหาบางอย่าง ตอนนี้ภพเซียนกำลังเผชิญกับการรุกรานอันบ้าคลั่งของนิกายอำนาจเทวะ ตอนนี้แม้กระทั่งตระกูลเซวียนหยวนก็ยังไม่เว้น แล้วตระกูลจั่วชิว ตระกูลมู่ เผ่าวิหคอมตะ ภพพุทธองค์เล่า?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินซีก็ไม่มีความคิดที่จะปิดด่านบ่มเพาะอีกต่อไปก่อนจะรีบออกมา เขาอยากหาอาจารย์สักคนที่ข้องเกี่ยวกับกองกำลังขนาดใหญ่เหล่านี้เพื่อขอคำชี้แนะ
…
ในวันนี้ เฉินซีได้ประกาศในนามของเจ้าสำนักว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะร่วมมือกับกองกำลังอื่น เพื่อขัดขืนการรุกรานของกองกำลังนิกายอำนาจเทวะ
ส่วนรายชื่อกองกำลังที่ร่วมมือกัน ยามนี้มีเพียงตัวตนสูงสุดจากตระกูลเซวียนหยวน ตระกูลมู่ ตระกูลจั่วชิว ภพพุทธองค์ และเผ่าวิหคอมตะ
แน่นอนว่ากองกำลังอื่นไม่ได้ถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วม แต่ข้อกำหนดเบื้องต้นคือพวกเขาต้องได้รับการอนุมัติจากเจ้าสำนักเฉินซี รวมถึงต้องเชื่อฟังคำสั่งทั้งหมดของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่งพรายออกไปก็สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งภพเซียน ก่อเกิดเป็นความโกลาหล
นับตั้งแต่เกิดภัยพิบัติ กองกำลังทั้งหมดทั่วทั้งสี่พันเก้าร้อยทวีปบนภพเซียนได้รับความเดือดร้อนจากการรุกรานของนิกายอำนาจเทวะ จนถึงตอนนี้ กองกำลังส่วนใหญ่ในภพเซียนก็ล่วงลับและถูกควบคุมโดยนิกายอำนาจเทวะ
หมายความว่าในภพเซียนตอนนี้ นิกายอำนาจเทวะได้ทำการปกครองไปกว่าครึ่ง ส่วนพื้นที่ซึ่งยังไม่ถูกควบคุมโดยนิกายอำนาจเทวะก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนและการนองเลือด
กองกำลังเหล่านั้นที่ไม่เต็มใจยอมจำนนต่อนิกายอำนาจเทวะต่างก็ตั้งตารอที่จะรับการสนับสนุนและการช่วยเหลืออย่างแรงกล้า ข่าวที่เฉินซีปล่อยออกไปย่อมสร้างความหวังให้กับกองกำลังเหล่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ส่วนลึกในใจของกองกำลังบางส่วนยังคงลังเล เหตุผลนั้นง่ายมาก พวกเขากังวลว่าแม้แต่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ไม่สามารถขัดขืนการรุกรานของนิกายอำนาจเทวะได้ หากพวกเขาแปรพักตร์ขึ้นมาก็อาจจะกลายเป็นหอกข้างแคร่ของนิกายอำนาจเทวะจนถูกกวาดล้างในอึดใจเดียว
ในสถานการณ์เช่นนั้น มีเพียงกองกำลังระดับสูงอย่างตระกูลมู่ ตระกูลจั่วชิว เผ่าวิหคอมตะ ภพมังกรและภพพุทธองค์ต่างมีข้อตกลงร่วมกัน ก่อนจะถอยมาอยู่กับสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเพื่อก่อตั้งพันธมิตรขึ้นมา
ไม่ช้า ข้อมูลเหล่านี้ต่างถูกส่งกลับมาที่สำนักก่อนจะถึงหูของเฉินซี
“เหอะ สำนักของพวกเราจัดหาสถานที่หลบภัยเอาไว้ให้แล้ว แต่พวกเขาไม่มีความเด็ดขาดและระแวดระวังเกินไปด้วยเกรงว่าจะถูกนิกายอำนาจเทวะกวาดล้างในอึดใจเดียว ช่างเป็นมุมมองที่คับแคบและเหลวไหลสิ้นดี”
หวังต้าวหลูพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชาด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาเพิ่งขัดเกลาชิ้นส่วนของโซ่ศักดิ์สิทธิ์บัญชาไป ทำให้มีโอกาสเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตราชันเซียน เนื่องจากไม่มีอะไรทำ เขาจึงมาช่วยเฉินซีจัดการเรื่องพวกนี้
“ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา ถึงอย่างไรนิกายอำนาจเทวะก็มีอำนาจมหาศาล ถึงเวลาที่พวกมันจะทำตัวกดขี่ข่มเหงผู้อื่น จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับสำนักของพวกเรา”
เฉินซียิ้มพลางเอ่ยคำ โดยไม่สนใจแต่อย่างใด หลังจากนั้นเขาจึงถามเรื่องอื่น “จะว่าไป ตระกูลเซวียนหยวนและตระกูลมู่ได้ข้อสรุปหรือยัง?”
หวังต้าวหลูพยักหน้า “พวกเขาต่างอยู่ภายในเมืองเซียนสัประยุทธ์แล้ว”
หลังจากนั้น ก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยคำ “แต่ช่วงนี้ข้าได้ยินข่าวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ว่ากันว่าข่าวที่สำนักพวกเราปล่อยออกไปสร้างความโกรธแค้นให้กับนิกายอำนาจเทวะ อีกฝ่ายอาจจะรวบรวมกองกำลังทรงพลังที่สุดในอนาคตอันใกล้ เพื่อวางแผนจะกำจัดสำนักของพวกเราในอึดใจเดียว”
เฉินซีเลิกคิ้วแล้วเอ่ยเสียงเย็น “ดีมาก ข้าอยากให้พวกมันมาโดยไวเหลือเกิน!”
เขาหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะต้องคอยอยู่แต่ในสำนักเพื่อทำการปกป้องทั้งสำนัก ทำให้ไม่สามารถออกไปจัดการนิกายอำนาจเทวะได้
บัดนี้ นิกายอำนาจเทวะถึงกับกล้าพูดจาหน้าไม่อายอย่างการกำจัดสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในอึดใจเดียว สิ่งนี้กระทบจิตใจของเฉินซีเป็นอย่างยิ่งจนทำให้เกิดโทสะ
“พวกมันจะส่งกองกำลังมามากแค่ไหน?” หลังจากสูดหายใจเข้า เฉินซีเอ่ยถามเสียงเนิบช้า แม้ในใจจะรู้สึกรังเกียจนิกายอำนาจเทวะ แต่เขาจะไม่ดูหมิ่นอีกฝ่ายเป็นอันขาด
ถึงอย่างไร เพื่อกวาดล้างสามภพ อีกฝ่ายถึงขั้นเรียกภัยพิบัติออกมาล่วงหน้า แสดงว่าพลังที่สั่งสมเอาไว้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หวังต้าวหลูพึมพำ “เท่าที่ข้าทราบมา ผู้นำการโจมตีในครั้งนี้น่าจะเป็นตระกูลเจี้ยง ตระกูลจงหลี ตระกูลว่านฉี และตระกูลโบราณอื่น รวมถึงกองกำลังจากสามสำนักใหญ่อย่างสำนักศึกษามหาเดียวดาย สำนักศึกษาระทมสันต์และสำนักศึกษาเต๋าเร้นลับ จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าขอบเขตราชันเซียนแท้จริงของนิกายอำนาจเทวะมีจำนวนเท่าใด”
แสงสว่างเย็นเยือกทอประกายในดวงตาของเฉินซีขณะเอ่ยคำ “เจ้าพวกบัดซบนี่วางแผนจะทำหน้าที่เป็นลูกน้องของนิกายอำนาจเทวะไปตลอดชั่วชีวิตเลยหรือ หากพวกมันกล้าเข้ามา เช่นนั้นก็อย่าให้ได้กลับไปเป็นอันขาด!”
หวังต้าวหลูมีสีหน้ารังเกียจเช่นกัน ไม่นานมานี้ เฉินซีเด็ดศีรษะกลุ่มราชันอย่างเกรี้ยวกราด ซึ่งรวมถึงตัวตนขอบเขตราชันเซียนจากตระกูลเจี้ยง ตระกูลจงหลี ตระกูลว่านฉี และกองกำลังอื่น
บทเรียนอันแสนเจ็บปวดดังกล่าวไม่เพียงไม่ทำให้พวกเขาหลาบจำเท่านั้น แต่มันส่งผลตรงกันข้ามจนถึงขั้นให้การสนับสนุนนิกายอำนาจเทวะในการรุกรานสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ดวงตาของพวกเขามืดบอดจนไม่อาจแยกแยะผิดชอบชั่วดี!
“ไม่ว่าอย่างไร ในอนาคตอันใกล้ก็ให้ทุกคนในสำนักและกองกำลังพันธมิตรเตรียมตัวให้พร้อม แล้วขอให้พวกเขารวมตัวกันภายในสำนักเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกนิกายอำนาจเทวะจัดการ”
เฉินซีครุ่นคิดพักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจได้ในที่สุด
หวังต้าวหลูทราบเช่นกันว่าเรื่องนี้ข้องเกี่ยวกับความเป็นความตายของสำนัก จึงไม่อาจเพิกเฉยได้ หลังจากรับคำสั่ง เขาก็รีบจากไปทันที
เฉินซีไม่ชักช้าเช่นกัน เขากลับตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าแล้วเริ่มทำการขัดเกลายันต์ศัสตรา
…
เมื่อไม่นานมานี้ บรรยากาศในเมืองเซียนสัประยุทธ์พลันแปลกประหลาด มันไม่เจริญรุ่งเรืองเหมือนวันวาน แม้กระทั่งคนเดินถนนก็มีจำนวนน้อยลงถนัดตา
ทั่วเมืองคล้ายกลายเป็น ‘เมืองว่าง’ ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศน่าหดหู่และตึงเครียด
ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากข่าวเดียว… อีกไม่ช้า นิกายอำนาจเทวะจะทุ่มสุดกำลังเพื่อกำจัดสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในอึดใจเดียว!
หินเพียงหนึ่งก้อนก่อให้เกิดคลื่นนับพัน ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ใครเล่าจะกล้าอยู่ในเมืองเซียนสัประยุทธ์?
ไม่เพียงแค่เมืองเซียนสัประยุทธ์เท่านั้น แต่ทั่วทั้งทวีปดาราวีรบุรุษก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ผู้บ่มเพาะทั้งหลายต่างแยกย้ายไปทวีปอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัตินี้
ในวันนี้ ท้องฟ้าแจ่มใส หมู่เมฆลอยล่อง
โอม!
ในเมืองเซียนสัประยุทธ์อันรกร้าง มีเสียงวิ้งดังขึ้นก่อนห้วงอากาศเกิดความผันผวน แล้วร่างมากกว่าสิบคนก็ปรากฏขึ้น มีทั้งชายหญิง มีทั้งแก่และเด็ก แต่ละคนมีกลิ่นอายสูงส่ง ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามยิ่ง
พวกเขาถึงกับเป็นกลุ่มตัวตนขอบเขตราชันเซียน!
โดยเฉพาะผู้นำที่สวมชุดสีดำ เขาเอามือไพล่หลัง สวมหมวกสานไม้ไผ่สีเข้มไว้บนศีรษะ ทำให้ยากที่จะมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน กลิ่นอายประหนึ่งหุบเหวมืดมิด ด้วยรูปลักษณ์ทั้งหมดนี้ ทำให้ท้องนภาที่เดิมแจ่มใสกลับกลายเป็นราตรีนิรันดร์ หมู่เมฆสีดำเคลื่อนตัวอย่างคลุ้มคลั่ง พวกมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งภัยพิบัติไร้ที่สิ้นสุด!
“ศิษย์น้องเจี้ยง แผนการนี้ไม่จำเป็นต้องรีบลงมือ ปล่อยให้ตัวหมากเข้าสู่การต่อสู้เสียก่อน หากเฉินซีทรงพลังดังคำกล่าวอ้างจริง มันก็ไม่สายเกินกว่าที่พวกเราสิบสองพี่น้องจะจัดการ”
ผู้ชายสวมหมวกไม้ไผ่จับจ้องสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าซึ่งอยู่ไกลออกไป ผ่านไปสักพัก เขาก็เอ่ยคำด้วยน้ำเสียงต่ำและอ่อนโยน มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาดและน่าสะพรึง
“ศิษย์พี่พูดถูกแล้ว”
หญิงสาวงดงามและอ่อนโยนเอ่ยคำอย่างแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่านางคือเจี้ยงหลิงเซียว หนึ่งในสุดยอดศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งนิกายอำนาจเทวะ