บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1497 ดั่งเมฆดำที่ถาโถม
บทที่ 1497 ดั่งเมฆดำที่ถาโถม
……………………………………………………………………..
บทที่ 1497 ดั่งเมฆดำที่ถาโถม
ราชทูตของนิกายอำนาจเทวะ ผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่ในอาณาเขตของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า การที่จะยื่นคำขาดให้เฉินซีร่วมมือกับนิกายอำนาจเทวะนั้น ย่อมต้องใช้ความกล้ามหาศาล
แต่นี่ไม่ถือว่าเป็นความเย่อหยิ่งเช่นกันหรือ?
เห็นได้ชัดว่าซุ่ยเหวินจิงมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าด้วยตัวตนของเขาและกองกำลังทั้งหมดที่ตั้งค่ายอยู่ภายในเมืองเซียนสัประยุทธ์ ก็เพียงพอที่จะทำให้เฉินซีรู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
น่าเสียดายที่เขาต้องพบกับความผิดหวัง เพราะเฉินซีไม่ได้กล่าววาจาใด ๆ แม้แต่คำเดียว ทั้งยังมีท่าทางเย็นชาและไม่แยแส ในขณะที่นั่งตัวตรงบนอาสนะก็มีสีหน้าไร้อารมณ์ แม้ว่าจะไม่ขยับเขยื้อน แต่พลังของชะตากรรมที่อยู่ภายในตำหนักก็ขดอยู่รอบกาย ซึ่งขับเน้นให้มีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามเป็นพิเศษ ทำให้หัวใจของทุกคนหวาดกลัว
โดยไม่มีเหตุผลใด ๆ อันที่จริง ซุ่ยเหวินจิงรู้สึกหวาดกลัวเมื่อถูกเฉินซีจ้องมอง และนี่ทำให้สีหน้าเคร่งขรึมโดยไม่รู้ตัว
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านควรทราบว่า เหล่าเทพของสามภพได้ถูกคุมตัวอยู่ในแดนโลกาวินาศแล้ว ในขณะที่นิกายอำนาจเทวะได้ควบคุมเต๋าสวรรค์ และผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์ พลังของมันได้พัดผ่านทั้งสามภพไปแล้ว ทั้งยังเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดมัน การดิ้นรนขัดขืนนั้นไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งนิกายของข้าก็ไม่ปรารถนาให้โลหิตไหลรินเป็นสายน้ำ ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจะไตร่ตรองอย่างรอบคอบ”
ซุ่ยเหวินจิงกล่าวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ข้าคิดว่าท่านจะไม่ดูดายและปล่อยให้สำนักอันดับหนึ่งในภพเซียนนี้ถูกลบล้างไปในบันทึกของประวัติศาสตร์เช่นนั้น ใช่หรือไม่?”
เฉินซียังคงเงียบและเพียงจ้องมองไปที่ซุ่ยเหวินจิง กลิ่นอายน่าเกรงขามอันไร้รูปร่างที่เฉินได้แผ่ซ่านออกมานั่นทำให้ซุ่ยเหวินจิงรู้สึกหวาดกลัวในใจ และเขารู้สึกกังวลเล็กน้อย
ซุ่ยเหวินจิงรู้สึกเหลือเชื่ออย่างห้ามไม่ได้ เฉินซีเพิ่งบรรลุขอบเขตราชันเซียน แต่กลิ่นอายที่เขาเผยออกมานั่นไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ?
หัวใจของซุ่ยเหวินจิงใจสั่นไหว ทั้งสัมผัสได้แผ่วเบาว่าสถานการณ์ดูเหมือนไม่สู้ดี จึงรีบชิงกล่าวเพื่อที่จะบรรเทาความกดดันที่เผชิญอยู่ “ขอเรียนตามตรง เพื่อแสดงความจริงใจของเรา นิกายอำนาจเทวะของข้าได้ส่งศิษย์ชั้นสูงสิบสองคนออกไป และศิษย์พี่ใหญ่อินไฮว่คงเป็นผู้นำ”
ในที่สุด เฉินซีก็ยกมุมปากโค้งเป็นรอยยิ้ม ซึ่งดูเหมือนการเยาะเย้ย จากนั้นจึงกล่าวว่า “ในที่สุด ข้าก็ได้ยินสิ่งที่มีประโยชน์จากเรื่องไร้สาระของเจ้าแล้ว”
“ฮ่า ๆ ๆ! ท่านเจ้าสำนัก ท่านก็ยกยอเกินไป” ซุ่ยเหวินจิงไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย ทั้งแผดเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานใจและดูเหมือนจะสงบมาก จากนั้นจึงลดเสียงลง “อันที่จริง ถ้าลงลึกเรื่องนี้ ท่านก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนิกายอำนาจเทวะของข้า”
ทันทีที่กล่าวจบ ซุ่ยเหวินจิงก็เผยรอยยิ้มที่มีเลศนัย
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง และรูม่านตาคมกริบราวกับดาบ พลางกล่าวเสียงเย็น “ข้าไม่มีอารมณ์จะมาอ้อมค้อมกับเจ้า หากเจ้ามีอะไรจะกล่าวก็จงกล่าวตรงไปตรงมา มิฉะนั้น ข้าไม่รังเกียจส่งหัวของเจ้าออกจากสำนัก”
คำพูดของชายหนุ่มไม่ได้ปกปิดจิตสังหารแม้แต่น้อย
ซุ่ยเหวินจิงมีอาการหนาวสั่นไปตามกระดูกสันหลัง และรู้สึกราวกับว่าตกลงไปในบ่อน้ำแข็ง เขาทราบดีว่าเฉินซีไม่ได้กล่าววาจาไร้สาระ
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านคงทราบดีว่าในยุคบรรพกาล ท่านประมุขของข้าได้มีศิษย์น้องที่มีนามว่าไท่หลิง และเขาเกี่ยวกับข้องกับท่านทางสายเลือด” ซุ่ยเหวินจิงจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
ศิษย์น้องของประมุขนิกายอำนาจเทวะ!
ไท่หลิง?
หัวใจของทุกคนที่อยู่ในตำหนักล้วนสั่นไหว และไม่กล้าเชื่อหูของตนเอง เพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมาก่อน ทั้งยังไม่อยากเชื่อว่าไท่หลิงคนนี้จะเกี่ยวข้องกับเฉินซี
“สามหาว! เจ้ากล่าวผายลมอันใด!” เสิ่นฮ่าวเทียนตะวาดเสียงดัง เพราะซุ่ยเหวินจิงบอกว่า อันที่จริงนั้น เจ้าสำนักของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามีความเกี่ยวข้องกับนิกายอำนาจเทวะ และเขารู้สึกว่านี่เป็นการดูหมิ่น!
ซุ่ยเหวินจิงรู้สึกโศกเศร้าลึก ๆ เขาเป็นหนึ่งในเจ็ดยอดศิษย์ชั้นสูงของนิกายอำนาจเทวะ ตัวตนที่บรรลุขอบเขตราชันเซียนมานานนับไม่ถ้วน และมีสถานะที่ได้รับการเคารพอย่างมาก แต่เมื่ออยู่ที่นี่ ไม่เพียงแต่ต้องทนต่อแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวของเฉินซีเท่านั้น ทั้งยังถูกตวาด และมันทำให้รู้สึกคับแค้นในใจ
เฉินซีโบกมือเป็นเชิงว่าเสิ่นฮ่าวเทียนควรสงบสติอารมณ์ แล้วกล่าวอย่างสงบ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว บิดาของข้าคือเฉินหลิงจวิน และไม่ใช่ศิษย์น้องไท่หลิงของประมุขนิกายอำนาจเทวะของเจ้า ถึงแม้ทั้งสองจะเกี่ยวข้องกัน แต่เขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า”
แม้ว่าภายนอกเฉินซีจะดูสงบเมื่อเอ่ยถึงเฉินหลิงจวิน แต่ก็เกิดคลื่นปั่นป่วนในหัวใจ เพราะนี่เป็นปมที่อยู่ในใจมาตลอด และแม้ว่าเขาจะปล่อยมันไปตอนนี้ ก็ไม่สามารถขจัดมันได้อย่างสิ้นเชิง
ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้ บัดนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าบิดาของเฉินซีนั่นมีตัวตนที่ซับซ้อน และเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงอย่างแท้จริง
“แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ท่านยังคงเกี่ยวข้องกับนิกายอำนาจเทวะของข้า ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนั้น ศิษย์พี่ใหญ่อินไฮว่คงคงไม่ส่งข้ามาที่นี่” ซุ่ยเหวินจิงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้น้ำเสียงอ่อนโยนซึ่งแสดงถึงความใกล้ชิด
สีหน้าของทุกคนเริ่มไม่สบายใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“หากเดาไม่ผิด นิกายอำนาจเทวะของเจ้าคงประกาศต่อทุกคนในโลกแล้ว ว่าข้าเฉินซีเป็นตัวหมากที่ถูกวางไว้ในภพเซียนโดยนิกายของเจ้า และตัวตนของข้าคือศิษย์หลานชายของประมุขนิกายอำนาจเทวะใช่หรือไม่?”
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเล็กน้อย ความเย็นยะเยือกพวยพุ่งอยู่ภายในตาคู่นั้น และเขาก็เผยให้เห็นจิตสังหารอันเสียดแทงอย่างไม่ปิดบัง “การหว่านความแตกแยกและพลิกขาวเป็นดำ คือสิ่งที่นิกายของเจ้าถนัดที่สุด บอกข้ามาว่ามันจริงหรือไม่!”
สามคำสุดท้ายที่ชายหนุ่มกล่าวเสมือนเสียงฟ้าร้อง และมันดังก้องไปทั่วทั้งตำหนัก ทันใดนั้น ซุ่ยเหวินจิงก็รู้สึกมึนงงและแทบจะล้มลงกับพื้น
เขาไม่เคยคิดเลยว่า เฉินซีจะมองแผนการของพวกตนได้ทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกเปลื้องผ้าเปลือยเปล่า และถูกมองเห็นความลับทุกซอกทุกมุม แม้เขาจะรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ซุ่ยเหวินจิงมีสีหน้างุนงงสับสน ในขณะที่ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น และรีบออกจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างเร่งรีบ โดยที่ยังหวาดกลัวอย่างมากในใจ
เขารู้สึกว่าเฉินซีน่ากลัวเกินไป และน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดด้วยซ้ำ มันทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวและทำอะไรไม่ถูก
“ดูเหมือนว่าแผนนี้จะไม่ได้ผล และเราทำได้แต่เปิดฉากสงครามเท่านั้น!”
ซุ่ยเหวินจิงกัดฟันและตัดสินใจรายงานเรื่องนี้กับอินไฮว่คง
…
“นิกายอำนาจเทวะมีเจตนาร้ายแน่นอน! อันที่จริง พวกมันตั้งใจปรักปรำเพื่อทำร้ายชื่อเสียงของท่านเจ้าสำนัก และทำให้ทั้งโลกสงสัยต่อตัวท่านเจ้าสำนัก!” ภายในตำหนัก เสิ่นฮ่าวเทียนโกรธสุดขีดและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่จำเป็นต้องโกรธเกรี้ยว ถ้าข้าเห็นด้วยกับคำขอของพวกมัน ข้าคงตกหลุมพรางของพวกมันแล้ว แต่น่าเสียดายที่ตลอดเส้นทางการบ่มเพาะของข้าเฉินซี ไม่เคยรู้จักคำว่าการประนีประนอม”
เฉินซีโบกมือพลางกล่าวอย่างสงบ “พวกมันปรารถนาที่จะหว่านความขัดแย้งมิใช่หรือ? เช่นนั้นพรุ่งนี้ ข้าจะฆ่าไอ้สารเลวเหล่านั้นที่เป็นสุนัขรับใช้ของนิกายอำนาจเทวะให้หมด! และคงไม่มีอะไรจะดีกว่าไปนี้ ถ้าข้าทำให้พวกมันหายไปจากโลกนี้ได้ตลอดกาล”
ทุกคนรู้สึกตกตะลึงในใจ และทราบดีว่าเฉินซีตั้งใจจะเปิดฉากทำสงคราม!
แต่ทว่าก่อนที่เฉินซีจะดำเนินการใด ๆ กองกำลังเหล่านั้นที่ตั้งค่ายอยู่ในเมืองเซียนสัประยุทธ์ก็ชิงลงมือก่อนเขาแล้ว
…
แสงสีแดงเลือดที่ลุกโชติช่วงจากอาทิตย์อัสดงยามพลบค่ำได้ปกคลุมสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า มันแผ่กลิ่นอายอันเขร่งครึมและศักดิ์สิทธิ์ออกมา
อาคารโบราณสูงตระหง่านที่ตั้งตระหง่านเหมือนต้นไม้ในป่า และภูมิทัศน์ที่สวยงามอย่างยิ่งของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเปล่งประกายแสงสีทองภายใต้อาทิตย์อัสดง มันเหมือนกับความฝันและยิ่งใหญ่ ทั้งยังเงียบสงบจนดูเหมือนเป็นที่ประทับของเหล่าทวยเทพ
โครม!
แต่ในไม่ช้า ความเงียบสงบนี้ก็ถูกทำลายลง แผ่นดินสั่นสะเทือน ในขณะที่บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟัน กลุ่มคนได้ทะยานมาจากระยะไกลราวกับเมฆดำที่ถาโถมใส่เมือง
ทุก ๆ คนในกลุ่มนั่นครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์อันสูงสุด ร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยพลังราชันเซียนสีทองเข้ม ซึ่งดูคล้ายกับว่ามีราชันเซียนหลายคนกำลังท่องอยู่ในโลก และบดขยี้สิ่งกีดขวางทั้งหมด มันเป็นภาพที่ดูกดดันอย่างยิ่ง
มีผู้บ่มเพาะมากมายติดตามอยู่ทางด้านหลังจนเกิดเป็นแนวทัพที่น่าเกรงขาม ซึ่งดูเหมือนฝูงมังกรออกจากรัง เพียงกลิ่นอายที่แผ่ออกมา ก็ทำให้เมฆลมที่อยู่รอบข้างปั่นป่วน ฟ้าดินมืดมัว
กองกำลังของตระกูลจงหลี ตระกูลว่านฉี ตระกูลเจี้ยง สำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย สำนักศึกษาเต๋าเร้นลับ และสำนักศึกษานภาไพศาลได้มาถึงกันแล้ว!
มีราชันเซียนมากกว่าสิบคนในหมู่พวกมัน แต่ละคนก็มีกลิ่นอายที่ทรงพลังและร่างกายสุกใส เมื่อพวกมันปรากฏตัวพร้อมกัน เพียงแค่กลิ่นอายก็ทำให้ฟ้าดินตกอยู่ในความเงียบงัน และมันก็น่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง
ภายในค่ายกลใหญ่คุ้มนิกายที่ปกคลุมสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเหล่าอาจารย์หรือบรรดาศิษย์ ทุกคนล้วนรู้สึกหวาดกลัว ทว่านี่ไม่ใช่สัญญาณของความขี้ขลาด แต่เป็นความรู้สึกสยบที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มันเหมือนกับมดตัวเล็กที่ไร้พลังเมื่อเผชิญหน้ากับนกอินทรี
ความแตกต่างในระดับการบ่มเพาะมากเกินไป ดังนั้นเมื่อราชันเซียนมาถึง พวกเขาจึงไม่สามารถทนต่อกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาได้ ไม่ต้องกล่าวถึงว่ามีราชันเซียนมากกว่าสิบคน และกลิ่นอายน่าเกรงขามแบบนั้นก็ทำให้ศิษย์หลาย ๆ คนแทนจะล้มกองกับพื้นอย่างอ่อนแรง
คนเหล่านี้คือราชันเซียน ตัวตนสูงสุดที่ยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจที่จุดสูงสุดของสามภพ พร้อมกับการจากไปของเหล่าทวยเทพ ดูเหมือนพวกมันจะกลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ดับแสง แผ่นดินถล่มทลาย และสิ่งมีชีวิตทั้งปวงตกอยู่ในความหวาดกลัว ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของราชันเซียนเหล่านี้ คือกลิ่นอายที่น่าเกรงขามของพวกมัน แม้ว่ามันจะไร้รูปร่าง แต่ก็เพียงพอที่จะตัดสินชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในโลก!
โดยปกติแล้ว การจะได้เห็นราชันเซียนสักคนนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นตัวตนที่ลึกลับและสูงสุดซึ่งเก็บซ่อนตัวอยู่ในกองกำลัง แม้จะไม่ได้ปรากฏตัวในโลกนี้ แต่ก็สามารถยับยั้งการรุกรานจากปัจจัยแวดล้อมได้
ไม่นานมานี้ ราชันเซียนกว่าสิบคนได้ปรากฏตัวที่นี่ในช่วงเวลาสั้น ๆ และพวกมันมุ่งเป้าไปที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าโดยตรง เหตุการณ์นี้เหมือนกับท้องฟ้าถล่มลงมา และทำให้คนอื่น ๆ ไม่สามารถระงับความหวาดกลัวในใจได้
สงครามกำลังจะปะทุขึ้น!
ในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าหรือแม้แต่เมืองเซียนสัประยุทธ์ ทั้งหมดต้องหลั่งไหลไปด้วยแม่น้ำเลือด!
“จงสลายข้อจำกัดซะ อย่าได้ดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์” ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนดุร้ายจากตระกูลเจี้ยงที่เป็นผู้นำก็กล่าวขึ้น เขามีคิ้วหนา ผิวสีทองสัมฤทธิ์ และดวงตาที่เปล่งประกายด้วยสายฟ้าอันเย็นชา เขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม
เขาเป็นผู้นำแห่งตระกูลเจี้ยง เจี้ยงไท่จง และเป็นราชันเซียน! เจี้ยงทิงฟางที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของเฉินซีคือศิษย์น้องของเขา
มันเป็นเพียงถ้อยคำง่าย ๆ แต่กลับเปี่ยมด้วยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว มันสั่นคลอนศิษย์บางคนที่อยู่ในข้อจำกัดจนถึงร่างกายสั่นสะท้าน และแทบจะกระอักเลือดออกมา สีหน้าซีดลงทันที
“เปิดใช้งานค่ายกล!” อาจารย์คนหนึ่งตะโกนเสียงดัง
โอม!
ในทันใดนั้น ข้อจำกัดทั้งหมดที่ถูกวางไว้บนท้องฟ้าเหนือสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ก็ถูกเปิดใช้งานอยู่ในขณะนี้ พวกมันปล่อยคลื่นพลังผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวออกมา และปกป้องสำนักทั้งหมดที่อยู่ในนั้น
“ฮึ่ม! ช่างเป็นการดิ้นรนที่เปล่าประโยชน์!” เจี้ยงไท่จงคำรามอย่างเย็นชา พลางเหยียดมือออกไปคว้าโดยตรงกรงมือขนาดมหึมาได้ปัดท้องฟ้าออกไปและขดด้วยพลังราชันเซียนสีทองเข้มที่ทะยานผ่านนภา จากนั้นมันก็ตบลงอย่างดุเดือด
ครืน!
มันระงับข้อจำกัดในระยะไกลจนมันสั่นรุนแรงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเกือบจะแตกเป็นชิ้น ๆ
“เฉินซีผู้นี้อวดดียิ่งนัก มันกล้าขัดขวางเส้นทางของเราโดยตั้งข้อจำกัดเล็ก ๆ น้อยๆ นี้ขึ้นมา?” ราชันเซียนที่อยู่ด้านหลังทั้งหมดล้วนหัวเราะเยาะเย้ย
เมื่อราชันเซียนมาถึง การบ่มเพาะของบรรดาอาจารย์และศิษย์เหล่านี้ก็ย่อมไม่อาจต่อกรได้ ดังนั้นพวกเขาจะควบคุมค่ายกลใหญ่คุ้มนิกายได้อย่างไร? เท่าที่เจี้ยงไท่จงและคนอื่น ๆ กังวล การต่อต้านนี้เป็นเพียงการดิ้นรนอย่างสิ้นหวังก่อนตาย