บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1498 ประมือกับกลุ่มราชันเซียน
บทที่ 1498 ประมือกับกลุ่มราชันเซียน
……………………………………………………………………..
บทที่ 1498 ประมือกับกลุ่มราชันเซียน
ระหว่างที่พูด เจี้ยงไท่จงก็ประกบฝ่ามือเข้าหากันอีกครั้ง ปรากฏเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ขึ้นบนท้องฟ้า มันทิ้งตัวลงมาจนข้อจำกัดทั้งหลายที่ปกปักรักษาสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าสั่นสะเทือนและเลือนแสงลง คล้ายจะพังทลายอยู่รอมร่อ
“เพิ่มพลังให้ค่ายกล!” อาจารย์ภายในมหาค่ายกลตะโกนเสียงลั่นขึ้นอีกครั้ง
วิ้ง!
ทั่วทั้งมหาค่ายกลเต็มไปด้วยพลังผันผวนแห่งข้อจำกัดอีกครั้ง มันกะพริบริบหรี่ไปด้วยยันต์ ทั้งยังมีกลิ่นอายลึกล้ำอยู่จาง ๆ มันส่องแสงสว่างจ้า ส่งผลให้ทั่วทั้งสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าสว่างไสวเหมือนดวงตะวัน
“หือ? ยอมใช้วัตถุดิบเซียนทั้งหลายเพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้ค่ายกลสินะ น่าเสียดายที่ต้องเสียเปล่า” ราชันเซียนด้านหลังเหมือนสังเกตเห็นและหัวเราะขึ้นมา
มหาค่ายกลย่อมไม่ธรรมดา มันยิ่งใหญ่ดูโอ่อ่าไม่น้อย ปกปักรักษาได้ทั่วทั้งสำนัก ป้องกันอยู่ส่วนหน้าของสำนักเหมือนป้อมปราการแข็งกล้า
ครั้งนี้ เจี้ยงไท่จงหยุดการโจมตี และเอ่ยเสียงดัง “ทุกคนภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจงฟังข้า! เรามาในวันนี้เพื่อจับตัวและสังหารเฉินซี ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย รีบส่งไอ้บัดซบเฉินซีออกมาเสีย ไม่เช่นนั้นข้าจะทำลายที่นี่และพวกเจ้าทุกคนทิ้ง!”
ไม่ใช่ว่าพวกเขาทำลายค่ายกลเข้าไปไม่ได้ แต่เพราะไม่อยากสู้กับเฉินซีในสำนักต่างหาก เพราะอย่างไรเฉินซีก็เคยใช้พลังชะตากรรมภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋ากำจัดราชันเซียนทั้งกลุ่มด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว พวกเขาจึงต้องระวังไว้ก่อน
“เจ้าสำนักของพวกข้าเป็นคนที่เจ้าคิดอยากเจอหน้าก็ทำได้หรือ? น่าขันสิ้นดี!” เหล่าอาจารย์เปล่งเสียงออกจากมหาค่ายกล แม้ใบหน้าจะซีดขาวด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ยังกัดฟันเอ่ยคำเหมือนไม่คิดกลัวสิ่งใด
“หึ! ด้วยฐานะของพวกเรา ถึงจะเป็นเจ้าสำนักคนก่อนเหมิงซิงเหอ ก็ยังต้องออกมาต้อนรับ เฉินซีเป็นแค่เด็กไร้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง เขามีดีอะไรถึงมาทำวางท่าเช่นนี้ได้? รีบส่งตัวเขามาเสีย อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อนเลย!” เจี้ยงไท่จงเอ่ยสั่งเสียงเย็น เขาไม่คิดว่าอาจารย์และศิษย์ทั้งหลายในมหาค่ายกลเป็นภัยแต่อย่างใด ยังคงแสดงความจองหองดูถูกอีกฝ่ายออกมาไม่หยุด
ทั้งอาจารย์และศิษย์ได้ยินก็โกรธ มีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “พวกเจ้าคนชั่วมาด้วยจุดประสงค์ร้าย ยังอยากจะให้เจ้าสำนักออกมาต้อนรับขับสู้อีกหรือ? คิดว่าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไร้คนมีฝีมือหรือไร?” มันเป็นน้ำเสียงที่มุ่งมั่นไร้ความเกรงกลัว
“ไอ้พวกมดปลวก! กล้าเสียมารยาทเช่นนี้เลยหรือ!? รนหาที่ตายเสียแล้ว!” เจี้ยงไท่จงหน้าคว่ำ ด่ากราดขึ้นมาทันควัน
น้ำเสียงเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงส่งของราชันเซียน ทำเอาทั้งอาจารย์และศิษย์สะท้านแม้อยู่ในข้อจำกัด ร่างกายสั่นไหวสีหน้าซีดขาว แต่ก็ไม่มีใครถอยเลยสักคน
“ใครรนหาที่ตายกัน?!” ทันใดนั้น เสียงเฉินซีก็ดังขึ้นในพลัน น้ำเสียงเปล่งออกไปนอกสำนักดังลั่นเหมือนฟ้าคำราม
เจ้าสำนัก!
ทั้งอาจารย์และศิษย์รอบข้างมีกำลังใจขึ้นมาทันที แรงกดดันที่เคยมีในใจสลายหายไปเกือบหมด
“เด็กเวร! รีบไสหัวออกมารับโทษตายของเจ้าเดี๋ยวนี้!” ที่ด้านนอกสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เจี้ยงไท่จงส่งสายตาดั่งสายฟ้าฟาดมองเข้ามา พร้อมกับน้ำเสียงตะโกนลั่น
คำก็เวรสองคำก็บัดซบทำให้ทั้งอาจารย์และศิษย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ารู้สึกไม่พอใจ ผู้นำตระกูลเจี้ยงจะมากเกินไปแล้ว!
ทุกคนล้วนรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีทีท่าจองหองพองขน เพราะกล้ามาเรียกเจ้าสำนักด้วยท่าทีเช่นนั้นได้
“พวกสุนัขนิกายอำนาจเทวะกล้ามาเห่าถึงหน้าสำนักข้าเลยหรือ? คิดหรือว่าใต้หล้าขาดคนฆ่าสุนัข?” เฉินซีเอ่ยเสียงก้องดังมาจากภายใน มันแผ่กลิ่นอายสูงส่ง น้ำเสียงเย็นชาเต็มไปด้วยกระแสจิตสังหารกดดัน
แค่ประโยคเดียว ทั้งเจี้ยงไท่จงและราชันเซียนคนอื่น ๆ ก็กลายเป็นสุนัขไปเสียแล้ว ทำเอาพวกเขาหน้าแดงก่ำกันเลยทีเดียว
“อวดดี!” เจี้ยงไท่จงโกรธเกรี้ยวนัก พลังราชันเซียนสีทองเข้มลุกโชนขึ้นทั่วร่าง ก่อนจะกลายเป็นเส้นแสงซัดหวีดหวิวผ่านอากาศ หมายทำลายมหาค่ายกล
ครืน!
แสงศักดิ์สิทธิ์โปรยลงมาดั่งหยาดฝน หากแต่เจือด้วยพลังสูงส่ง เผยอำนาจอันน่าเกรงขามของราชันเซียนออกมา พริบตานั้นฟ้าดินพลันหม่นแสง ห้วงอากาศบิดเบี้ยว ก่อนจะปรากฏเป็นหลุมดำและคลื่นพลังผันผวน
ทุกคนภายในมหาค่ายกลตกใจ รู้สึกหวาดกลัวยิ่ง เพราะนี่คืออำนาจของราชันเซียนที่กำลังโกรธเกรี้ยว ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกว่าตนไร้พลังต่อกร
“สุนัขแก่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง! สมควรตายแล้ว!” ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนลั่นดังขึ้น กระแสปราณกระบี่รวดเร็วกว่าเสียง มันเป็นเพียงกระแสปราณกระบี่ธรรมดา แต่กลับบดบังผืนฟ้าได้ แค่ซัดออกมาคราวเดียวก็ทำลายแสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจนแตกสลายอย่างง่ายดาย
จากนั้น แสงจากดอกบัวทองก็ส่องขึ้นฟ้า เฉินซีในชุดสีเขียวก็เหินร่างขึ้นมาปรากฏบนเส้นแสง ถือยันต์ศัสตราสีดำสนิทไว้ในมือ สายตาคมปราดดั่งสายฟ้าฟาด คล้ายว่าสองตานี้สามารถล่วงรู้ทุกความลับในใต้หล้า
โจวจื่อหลี เสิ่นฮ่าวเทียน มู่หรงเทียน เซวียนหยวนพัวจวิน จ้าวหลิงซี และราชันเซียนคนอื่นยืนอยู่เคียงข้าง ปรากฏเป็นค่ายกลที่ทำให้พลังของเฉินซียิ่งทรงพลังมากยิ่งขึ้น
เห็นดังนี้ ทั้งอาจารย์และศิษย์ภายในมหาค่ายกลก็เปล่งเสียงร้องยินดี
ทว่าสายตาของเจี้ยงไท่จงและราชันเซียนคนอื่นเบื้องหลังกลับหรี่ลง จากนั้นก็คลี่ยิ้มเย็นออกมา เฉินซีถูกบีบให้ออกจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋าแล้ว ย่อมไม่สามารถใช้พลังชะตากรรมภายในนั้นได้อีก เช่นนั้นพลังก็จะลดลงมาก
“เจ้าบัดซบเอ๋ย! ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าหาญเช่นนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าก็แล้วกัน หากเจ้ายังอยากให้สำนักนี้ยังคงอยู่ต่อไปได้ เช่นนั้นก็ทิ้งตำแหน่งเจ้าสำนักเสีย ยอมให้พวกข้าจับตัวเจ้าไว้ ให้พวกข้าคุมชะตาชีวิตเจ้า!” เจี้ยงไท่จงเอ่ยเสียงเย็นออกไปตามตรง
“เจี้ยงไท่จง เจ้าเป็นถึงผู้นำตระกูลเจี้ยงโบราณ แต่คำที่เอ่ยออกมามีแต่สิ่งน่าละอาย ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกอับอายกับการไปร่วมมือกับนิกายอำนาจเทวะ ถึงกับภูมิใจเสียอีก เจ้านี่ทำให้บรรพบุรุษต้องอับอายขายขี้หน้าเสียจริง!” มู่หรงเทียนเอ่ยขึ้นอยู่ข้างกายเฉินซี ไม่ปิดบังความเกลียดชังแม้แต่น้อย “เจ้าสำนัก ให้ข้าเป็นคนสังหารสุนัขตัวนี้เถอะ!”
พูดจบเขาก็กำลังจะลงมือ
แต่เฉินซีก็หยุดไว้ “ก็แค่สุนัขบ้าฝูงหนึ่ง ให้ข้าจัดการเอง!”
เฉินซีย่อมมีแต่ความเกลียดชังอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าคนที่มาหาเรื่องจะไม่ใช่นิกายอำนาจเทวะ แต่เป็นกองกำลังใหญ่ในภพเซียน ยิ่งทำให้เขาทั้งรู้สึกผิดหวังและโกรธไม่น้อย
สิ้นคำ ไม่ใช่เพียงมู่หรงเทียนที่อึ้งไป กระทั่งสีหน้าเจี้ยงไท่จงและเหล่าราชันเซียนยังโกรธจนหน้าไร้สี เด็กนี่มันชักจะโอหังไปหน่อยแล้ว! ไม่เห็นเราเป็นตัวอะไรเลย!
เฉินซีที่มีท่าทีหยิ่งผยองดูถูกพวกเขาเช่นนี้ยิ่งกระตุ้นความโกรธได้ดีนักเชียว
ฟ่าว!
สิ้นคำ เงาร่างเฉินซีก็แวบหาย เป็นฝ่ายออกจากมหาค่ายกลมานอกสำนักก่อน
ภายใต้ดวงตะวันใกล้ตกยามเย็นสีเลือด เฉินซียืนเผชิญหน้ากับเจี้ยงไท่จงและเหล่าราชันเซียนอยู่เพียงลำพัง ผมสีดำสนิทพลิ้วไสว กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างลึกล้ำดั่งหุบเหว คล้ายกับจะสามารถรับมือกับศัตรูทั้งหมดด้วยตนเองได้
ชิ้ง!
ยันต์ศัสตราเปล่งเสียงคำรามกรีดห้วงอากาศ ก่อนจะทำให้ท้องฟ้าตกอยู่ในความโกลาหล พริบตานั้น เฉินซีก็คล้ายกับกลายเป็นเทพกระบี่จุติ ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหารหนาแน่น
“ฮ่า ๆ! กล้าดีนัก! เจ้าเด็กโง่ คิดสละตัวเองแลกกับความอยู่รอดของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าหรือ?”
“ฮ่า! ยังเด็กนัก ทนรับการยุแหย่เช่นนี้ไม่ไหว ในเมื่อออกมาแล้วก็ไม่มีสิทธิ์หันหลังกลับไปอีก!”
“อวดดีจริงเชียว! หรือคิดจะสู้กับพวกเราด้วยตัวคนเดียว? ฮ่า ๆ! คงคิดว่าจะสามารถกำจัดพวกเราเหล่าราชันเซียนได้เหมือนวันนั้นกระมัง? น่าขันสิ้นดี!”
พอเห็นว่าเฉินซีออกมาจากสำนักเช่นนี้ เจี้ยงไท่จงกับพวกก็รู้สึกตกใจทว่ายินดี หรือเด็กนี่เบื่อชีวิตแล้ว?
ทั้งอาจารย์และศิษย์ภายในมหาค่ายกลเองก็เป็นกังวล ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าสำนักถึงคิดจะรับมือกับศัตรูตัวคนเดียวเช่นนี้
ใจของเสิ่นฮ่าวเทียน มู่หรงเทียน เซวียนหยวนพัวจวิน และราชันเซียนคนอื่น ๆ ยังถึงกับสะดุ้ง ตกตะลึงกับความกล้าหาญของเฉินซีและอดเป็นห่วงไม่ได้
อย่างไรศัตรูก็มากันมาก สถานการณ์เช่นนี้ขนาดเทพยังไม่กล้าสู้ตามลำพัง
“หนึ่ง สอง สาม… ขอบเขตราชันเซียนสิบสองคน ไม่เลวเลยนี่ พลังเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ยังไงก็ขอการแสดงที่สมฐานะหน่อยก็แล้วกัน” เฉินซีทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดก่อนหน้า ยังคงสีหน้าสงบนิ่งไร้อารมณ์ไว้ยามกวาดสายตามองเจี้ยงไท่จงและพวก
แบบไหนเรียกว่าอยู่เหนือใคร!?
ก็แบบนี้อย่างไรเล่า!
เขามาตัวคนเดียว แต่กลับไม่คิดใส่ใจราชันเซียนหน้าไหนทั้งนั้น!
“ไอ้บัดซบ! เพิ่งขึ้นขอบเขตราชันเซียนแต่ทำตัวอวดดีเช่นนี้ได้แล้วหรือ? ตายเสียเถอะ!” เจี้ยงไท่จงหน้าคว่ำพลันซัดการโจมตีออกมา ดาบเซียนที่เต็มไปด้วยสายฟ้าสีม่วงปรากฏขึ้นในฝ่ามือ จากนั้นเขาก็ซัดมันลงมา คล้ายกับธารสายฟ้ากระหน่ำลงมาใส่เฉินซีอย่างรุนแรง
แทบจะทันใดนั้น ราชันเซียนคนอื่น ๆ ก็แวบร่างหายไปประจำอยู่บริเวณโดยรอบ ก่อนจะหยิบสมบัติอมตะออกมาปิดทางหนีของเฉินซีไว้
ฟึบ!
ชายหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลงซัดยันต์ศัสตราลงมา ปราณกระบี่พุ่งปะทะเข้ากับแสงดาบของเจี้ยงไท่จง มันปะทะกันหนักหน่วงเหมือนดาวสองดวงชนกัน สะเทือนเลือนลั่นไปทั้งฟ้าดิน ห้วงอากาศแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เกิดคลื่นพลังคลั่งตีตัวออกรอบทิศ
เคราะห์ดีที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามีมหาค่ายกลคอยปกป้องอยู่ ไม่เช่นนั้นการโจมตีครั้งนี้คงได้ทำลายอาคารต่าง ๆ ไปกว่าครึ่ง เพราะแค่การโจมตีธรรมดาจากราชันเซียนก็ถล่มขุนเขา ทำเอาทะเลเดือด และเคลื่อนโลกาได้แล้ว
เจี้ยงไท่จงใบหน้าขรึมลง คิดในใจว่า ไอ้เวรนี่เพิ่งขึ้นขอบเขตราชันเซียน แต่กลับรับมือการโจมตีของข้าได้แล้ว ดูท่าจะมีฝีมืออยู่บ้าง ทำให้ตอนนี้เขาไม่กล้าประมาทอีกต่อไป
ครืน!
จังหวะนั้นเองที่เฉินซีข้ามห้วงอากาศรุดหน้ามาหาเจี้ยงไท่จง ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยปราณกระบี่ คล้ายกับกลายร่างเป็นมหาสมุทรกระบี่ไปแล้ว
“โจมตี!” เจี้ยงไท่จงโจมตีออกมาอีกครั้ง ดาบเซียนในมือเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสนั่น ฟาดเข้าใส่อีกฝ่าย คล้ายว่าสามารถกำราบได้ทั้งกองทัพ
ราชันเซียนคนอื่นโดยรอบก็ยืนเฝ้าอยู่ห่าง ๆ ปิดทางหนีเฉินซีไว้ พวกเขาไม่คิดรีบลงมือแต่อย่างใด แต่กำลังสังเกตจุดอ่อนของเฉินซีเพื่อหาจังหวะสังหารในคราวเดียว
เท่าที่พวกเขารู้มา เฉินซีเพิ่งขึ้นขอบเขตราชันเซียน ทั้งยังไม่มีพลังชะตากรรมในตำหนักคอยช่วย เจี้ยงไท่จงเพียงคนเดียวก็มากพอจะขยี้มดตัวนี้ได้แล้ว
ฟ่าว!
ทันใดนั้น ยันต์ศัสตราในมือเฉินซีก็พุ่งขึ้นฟ้า เผยยันต์เทวะออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน ก่อนมันจะแปรเปลี่ยนเป็นมหาค่ายกลกระบี่อันลึกลับซับซ้อน คล้ายกับบนฟากฟ้ามีตะวันหลายดวงกำลังส่องแสง ปลดปล่อยแสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนเข้าใส่เจี้ยงไท่จง
ครืน!
สายฟ้าคลั่งจากดาบเซียนของเจี้ยงไท่จงถูกทำลายจนแตกเป็นเสี่ยง ไม่อาจสกัดแสงกระบี่เหล่านั้นไว้ได้เลย อีกทั้งสายฟ้าคลั่งเองก็สลายหายไปอย่างรวดเร็วจนเจี้ยงไท่จงต้องหรี่ตาลงด้วยความตกตะลึง
ฟึบ!
ยังไม่หายตกใจดี กระแสปราณกระบี่ก็กรีดฟ้าซัดตรงมา เหมือนลมพายุที่ซัดกระหน่ำทั่วทิศ บดขยี้ทั้งฟ้าและดินจนแหลก ทำให้กลายเป็นคลื่นปราณกระบี่
และเจี้ยงไท่จงกลับถูกกักตัวอยู่ใจกลางปราณกระบี่นั้น!
เวรแล้ว! ราชันเซียนคนอื่น ๆ เปลี่ยนสีหน้าในพลัน ไม่คิดเลยว่าศึกเพิ่งจะเริ่ม แต่สถานการณ์กลับพลิกผันเสียแล้ว อีกทั้งพลังของเฉินซียังมากกว่าที่คาดคิดไว้จนพวกเขาตกใจอีกต่างหาก
พริบตานั้น เจี้ยงไท่จงก็หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ทั่วร่างสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่ถาโถมเข้ามา!