บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 150 อำนาจและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่
บทที่ 150 อำนาจและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่
บทที่ 150 อำนาจและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่
“บรรพบุรุษตระกูลซู…ซูอิ้งคง!”
“ที่แท้ก็เฒ่าเจ้าเล่ห์คนนี้เอง! มิน่าล่ะ เขาจึงได้สำแดงพลังอำมหิตเช่นนี้ ที่แท้ก็แอบซุ่มเพื่อพยายามก้าวเข้าสู่ขอบเขตสถิตกายาอย่างลับ ๆ มานับพันปี ตอนนี้ที่ปรากฏตัวออกมาคงเป็นไปได้ว่าเขาบรรลุขอบเขตสถิตกายาแล้ว!”
“อย่างนี้ก็เยี่ยมเลย แม้แต่บรรพบุรุษตระกูลซูยังเปิดเผยตัว เห็นทีเฉินซีจะถึงคราวเคราะห์เป็นแน่”
“คงเป็นแบบนั้น คนผู้นี้ไม่ได้มาเพื่อเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ แต่ต้องการมาล้างแค้นให้คนในตระกูล ดังนั้นการที่เฉินซีเป็นคนนอก คนอื่น ๆ คงไม่กล้าสอดมือเข้ามายุ่งขวางทางบรรพบุรุษตระกูลซูเป็นแน่”
เมื่อทุกคนมองเห็นคนที่ปรากฏตัวคือชายชราสวมชุดคลุมแดงร่างผอมแกร็น เสียงพึมพำของผู้คนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบก็ดังเอ็ดอึงขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากอาการตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว หลายคนจึงอดไม่ได้ที่จะคาดการณ์ชะตากรรมของเฉินซีเป็นการใหญ่
“คารวะบรรพบุรุษ ขอแสดงความยินดีกับท่านที่สำเร็จขอบเขตสถิตกายาบรรลุการหยั่งรู้พลังแห่งฟ้าดิน!” ซูเจิ่นเทียนเอ่ยพร้อมกับแสดงการคารวะ ขณะเดียวกัน สายตาของผู้พูดพลันเหลือบไปยังนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามอย่างเย้ยหยัน
หากจะพูดแล้ว ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติถือว่าอยู่ในจุดที่สูงที่สุดแล้วในเมืองทะเลสาบมังกร การมีคนในขอบเขตสถิตกายาอยู่ด้วยจึงจัดว่าเหนือผู้คนทั้งหลาย มีกองกำลังเพียงไม่กี่แห่งในบรรดากองกำลังใหญ่ทั้งแปดนิกาย สามสำนักและหกตระกูลเท่านั้นที่มีผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา
ในขณะที่ซูเจิ่นเทียนกำลังวิตกกังวลอยู่ การที่บรรพบุรุษปรากฏตัวขึ้นมาในวันนี้จึงนับว่าเหมาะเจาะอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงแต่สามารถเผยให้เห็นว่าพวกเขามีทรัพยากรซุ่มซ่อนอยู่ มีขุมพลังทรงพลังและเผยความแข็งแกร่งของตระกูลซูให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนเท่านั้น หากยังสามารถสยบคนอย่างนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าลงมืออย่างที่ใจปรารถนาได้อีกต่อไป อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการกระทำหนึ่งอย่างแต่ได้ประโยชน์สองต่อ
แต่ที่สำคัญที่สุด เวลานี้ตระกูลซูกำลังต้องการผู้ที่มีความแข็งแกร่งเพื่อมาช่วยยับยั้งพลังอำนาจรายล้อมพวกเขาอย่างเร่งด่วน ด้วยภายหลังจากที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคนและตัวตนขอบเขตแกนทองคำหยินหยางหนึ่งคนของตระกูลซูถูกเฉินซีสังหารหมดสิ้น มันได้ส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของตระกูลซูบ้างไม่มากก็น้อย นอกจากนี้ศิษย์รุ่นใหม่ผู้มีฝีมือระดับสูงเกือบทั้งหมดของตระกูลซูต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ จึงกล่าวได้ว่าสถานการณ์ของตระกูลซู ณ วันนี้หนักหนาสาหัสเอาการ จึงเป็นที่ดึงดูดความสนใจของกองกำลังมหาอำนาจอื่นที่มีความโลภอยากได้ใคร่ดีและอยู่ไม่สุข
ภายใต้สถานการณ์ที่มีปัญหาภายในและภายนอกเข้ามารุมเร้า การเผยถึงการมีอยู่ของตัวตนขอบเขตสถิตกายานั้นทำให้ตระกูลซูมีความสามารถในการยับยั้งกองกำลังต่าง ๆ ได้อย่างไม่ต้องสงสัย และคนที่ต้องการจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ของตระกูลซูเหล่านี้เองก็ต้องไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมา หากจะถูกจู่โจมโดยผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาของฝ่ายนั้น
บรรลุขอบเขตสถิตกายาอย่างนั้นหรือ?
ทันทีที่ซูเจิ่นเทียนกล่าวจบ บรรดาผู้นำของกองกำลังทั้งหลายต่างหรี่ตาลง ขณะที่สีหน้าของแต่ละคนแปรเปลี่ยนไปมีทั้งประหลาดใจและข้องใจ
“เหวินเสวี่ยนส่งตัวเจ้าเด็กนั่นมา เจ้ากับมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน อย่าให้เรื่องนี้มากระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองกำลังของพวกเราทั้งสองฝ่ายดีกว่า!” บรรพบุรุษของตระกูลซูที่มาปรากฏตัว เขม้นมองนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน ขณะเอ่ยวาจาและสีหน้าของเขาก็เฉยชาอย่างยิ่ง
“หึ! เพิ่งจะบรรลุขอบเขตสถิตกายายังกล้าวางก้ามต่อหน้าข้าถึงเพียงนี้อย่างนั้นหรือ” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนคำรามเสียงกร้าว “ถ้าไม่ใช่เพราะมีผู้คนอยู่มากมาย กลัวว่าคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย ข้าจะฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้!”
สีหน้าของซูอิ้งคงเคร่งเครียดลงขณะที่เอ่ยด้วยเสียงช้าชัด “ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงหวาดกลัวเจ้าเป็นแน่ แต่ตอนนี้ข้าบรรลุขอบเขตสถิตกายาแล้วและเมื่อผสานกับสมบัติล้ำค่าที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งได้สำเร็จแล้วด้วย เหวินเสวี่ยน…ถ้าเจ้าไม่กลัวตาย อยากลองก็เข้ามา!”
สมบัติล้ำค่าที่น่าสะพรึงกลัวอย่างนั้นหรือ?
ทันใดนั้นเหวินเสวี่ยนเหมือนจะรำลึกถึงบางสิ่งขึ้นได้ จึงได้ถามออกไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าหมายถึงหมุดครามอัสนีกัมปนาททั้งสามสิบหกเล่มนั่น”
ซูอิ้งคงพลันเปล่งเสียงหัวเราะดังอย่างสะใจ จากนั้นจึงค่อยกล่าวว่า “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนอย่างเจ้า…เหวินเสวี่ยนจะรู้เรื่องของล้ำค่าชิ้นนี้ของตระกูลซูกับเขาด้วย ถูกต้อง ข้าหลอมรวมหมุดครามอัสนีกัมปนาท ทั้งสามสิบหกเล่มเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้พวกมันได้รวมตัวกันเป็นกระบี่ครามอัสนีกัมปนาท เป็นเสมือนสมบัติกึ่งอมตะ เหวินเสวี่ยน…ยังมั่นใจอยู่หรือไม่ว่าจะเอาชนะข้าได้”
ทุกคนพลันประหลาดใจทันทีที่ได้ยินดังนั้น ทำให้พวกเขาต่างตกอกตกใจจนใบหน้าเผือดสีซีดไปตาม ๆ กัน
“หลิงไป๋ สมบัติกึ่งอมตะคืออะไร” เฉินซีนิ่วหน้าพลางถามออกไป
“ศัสตราวิเศษที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด น่ากลัวเสียยิ่งกว่าศัสตราวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสูง มันมีศักยภาพสูงพอที่จะกลายไปเป็นสมบัติอมตะในอนาคตจึงได้ชื่อว่าสมบัติกึ่งอมตะอย่างไรล่ะ อันที่จริงตามปกติแล้วอย่าว่าแต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาเลย ต่อให้เป็นเซียนสวรรค์ก็ยังต้องขัดเกลาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองถึงสามพันปี จึงจะสามารถหลอมรวมสมบัติกึ่งอมตะให้สำเร็จ ก่อนที่จะพัฒนามันให้กลายไปเป็นสมบัติอมตะที่แท้จริง” หลิงไป๋อธิบายยืดยาว
เมื่อได้ฟังแล้ว ชายหนุ่มจึงเข้าใจในทันที ไม่แปลกเลยที่บรรพบุรุษของตระกูลซูจะมั่นใจนักหนา เป็นเพราะเขาครอบครองสมบัติกึ่งอมตะชิ้นนั้น แม้จะเพิ่งบรรลุความสำเร็จขอบเขตสถิตกายา แต่กลับมั่นใจนักว่าจะรับมือนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนได้
ศัสตราวิเศษในโลกของการฝึกบ่มเพาะพลังแบ่งระดับเป็นมนุษย์ ล้ำลึก ปฐพีและสวรรค์ แต่ละระดับยังแบ่งออกเป็นขั้นต่ำ กลาง สูงและสุดยอด ทว่าแม้แต่ศัสตราวิเศษระดับสวรรค์ที่มีอำนาจกล้าแกร่งที่สุดก็ยังด้อยกว่าสมบัติกึ่งอมตะ ซึ่งกระบี่ครามอัสนีกัมปนาทที่ซูเจิ่นเทียนมีในครอบครองนั้นมีอำนาจล้นเหลือจนสามารถปิดช่องว่างระดับการบ่มเพาะของพวกเขาได้อย่างแน่นอน
“เหวินเสวี่ยน คิดผิดคิดใหม่ได้นะ” ซูอิ้งคงยกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าคนถูกถามถึงกับเงียบงัน จากนั้นเขาจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยต่อไป “คุ้มกันหรือที่เจ้าจะแลกกับคนนอกเพียงคนเดียว”
“คิดว่าข้ากลัวหรือไร?” เหวินเสวี่ยนย้อนถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เจ้ามันช่างน่าหัวร่อสิ้นดี เพียงแค่ได้ครอบครองสมบัติกึ่งอมตะก็ทึกทักไปว่าตัวเองช่างไร้เทียมทานเหนือกว่าคนทั้งโลกเสียแล้ว”
ฉับพลันใบหน้าของซูอิ้งคงกลายเป็นบิดเบี้ยวน่าเกลียด “ข้าอยากรู้นักว่า เหตุใดเจ้าจึงพยายามปกป้องเจ้าเด็กนั่นอยู่ร่ำไป!”
“ก็เพราะ…” ทว่ายังไม่ทันที่เหวินเสวี่ยนจะเอ่ยตอบจนจบประโยค ทันใดนั้นเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเสียงของคนชราดังก้องไปทั้งฟ้าดิน จนไม่ว่าใครได้ยินต่างก็ต้องขนลุกชัน
“เพราะเขาเป็นน้องชายของข้า…เป่ยเหิงอย่างไรล่ะ…ทีนี้เข้าใจหรือยัง?”
เสียงพูดดังก้องมาพร้อมกับการปรากฏกายของชายชราผมสีเทา สวมเสื้อผ้าสีเทา เขาเคลื่อนกายไปปรากฏกายเบื้องหน้าของซูอิ้งคงอย่างรวดเร็ว จากนั้นฝ่ายหลังก็ถูกฝ่ามือฟาดเข้าที่ใบหน้าสิบกว่าทีจนเสียงสะท้อนก้องไปทั้งบริเวณ เป็นเหตุให้ใบหน้าของซูอิ้งคงบวมแดงขึ้นอย่างทันตาเห็น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทำให้ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงพรึงเพริดไปตาม ๆ กัน หลายคนตกใจจนถึงกับพูดไม่ออก ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายากลับถูกตบหน้าอย่างแรงไม่น้อยกว่าสิบครั้งติดกัน ซึ่งเจ้าตัวไม่อาจตอบโต้ได้เลย!
หา!
ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม!?
ความรู้สึกตกตะลึงที่เห็นฉากนี้เหนือกว่าตอนที่นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนกำราบผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติสี่คนด้วยการสะบัดชายแขนเสื้อครั้งเดียว เสียอีก
แตกต่างจากบรรดาผู้ที่รับชมอยู่ เฉินซียังคงมีสีหน้าเฉยเมยตามปกติ เป็นเพราะเขารู้ระดับพลังความแกร่งกล้าของพี่ใหญ่เป่ยเหิงผู้นี้มาก่อนแล้ว
คนผู้นี้คือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอย่างแท้จริง อาจารย์ของเหวินเสวี่ยน…ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีนามว่าเป่ยเหิง!
“เดิมทีข้าตั้งใจจะมาฆ่าเจ้าที่นี่ แต่เห็นแก่หน้าพี่ของเจ้าที่ตายไปแล้ว วันนี้ข้าจึงจะปล่อยเจ้าไป” พูดจบ เป่ยเหิงก็เหวี่ยงซูอิ้งคงทิ้งราวกับเป็นแค่เศษขยะไร้ค่า จากนั้นร่างของเขาก็ไหววูบและไปปรากฏตัวด้านหน้าเฉินซีก่อนที่จะทักทายพลางยิ้ม “น้องเล็ก พี่ใหญ่มาช้าไปหน่อย ทำให้เจ้าต้องทนทุกข์กับไอ้พวกคนไร้ค่าเหล่านี้”
เฉินซีส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ถึงขั้นทนทุกข์หรอกพี่ใหญ่ เพียงแค่รู้สึกเสียใจที่ตัวเองอ่อนแอเกินไปจนทำให้พี่ใหญ่ต้องออกหน้ามาช่วยเหลือ”
คนฟังรีบโบกมือห้ามปราม “ไม่เป็นไร เฮ้ เจ้าอย่าได้สุภาพกับคนในครอบครัวเช่นนี้สิ”
“ศิษย์หลิงคงจื่อคารวะบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิง!”
“ศิษย์เหวินเสวี่ยนคารวะอาจารย์!”
ทันใดนั้นหลิงคงจื่อ ประมุขแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรและนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน รีบฉวยจังหวะก้าวออกมาแสดงความเคารพ
คนทุกคนในบริเวณโดยรอบสะดุ้งสุดตัวประหนึ่งถูกสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาทันทีที่เห็น ต่างคนต่างนิ่งขึงตะลึงงัน ที่จริงชายชราชุดสีเทามีผมสีดอกเลาคนนี้เป็นบรรพจารย์สูงสุดของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอย่างนั้นหรือ! เขาคือผู้ที่เป็นอาจารย์ของนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนด้วยสินะ!
ทว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่น่าตกตะลึงเท่ากับคนที่เป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงสุดกลับเป็นพี่ใหญ่ของเฉินซี! นั่นไม่ได้หมายความว่าแม้แต่ประมุขแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอย่างหลิงคงจื่อก็ต้องเอ่ยถึงเฉินซีในฐานะอาวุโสน้อยกว่าอย่างนั้นหรือ และนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนก็ต้องเอ่ยถึงเฉินซีด้วยความเคารพในฐานะอาจารย์อาของเขาอย่างนั้นหรือ?
ความคิดและจิตใจของทุกคนรู้สึกปั่นป่วนยุ่งเหยิง พวกเขาจึงได้แต่ยืนตะลึงด้วยนัยน์ตาเบิกกว้างอยู่ที่เดิม
“เจ้าหมอนี่…ปิดบังความจริงไว้ไม่ยอมปริปากเลย!” ต้วนมู่เจ๋อ ตู้ชิงซีและซ่งหลินต่างแปลกใจอย่างมาก พวกเขาจ้องมองเฉินซีราวกับเป็นคนแปลกหน้า
‘เป็นไปได้อย่างไรกัน! มันไปเป็นพี่น้องกับบรรพจารย์สูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรตอนไหน?’ ซูเจียวหน้าซีดเผือดวูบ ขณะที่หญิงสาวกำลังเฝ้ารอเวลาบรรพบุรุษซูอิ้งคงจับตัวเฉินซีได้สำเร็จ และเมื่อนั้นนางจะทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานและได้รับความอับอายในทุกวิถีทาง แต่ความจริงกลับเล่นตลกร้ายกาจนัก…
ขณะที่นางมองไปที่บรรพบุรุษของตระกูลซูผู้ที่ทั้งกลัวทั้งโกรธจนแทบสิ้นสติ คนที่เสมือนเป็นเสาหลักค้ำจุนจิตใจของซูเจียวตลอดมา บัดนี้มีสภาพราวกับใกล้จะพังทลายเต็มที นางไม่อยากเชื่อเลยว่ามดน้อยที่ครั้งหนึ่งนางจะบี้ก็ตายจะคลายก็รอดเมื่อสองปีก่อน จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้จริง ๆ ไม่เพียงระดับการบ่มเพาะของอีกฝ่ายจะพัฒนาอย่างรวดเร็วเท่านั้น แม้แต่สถานะอำนาจอิทธิพลในตอนนี้ก็เหนือกว่านางอย่างสิ้นเชิง การเป็นพี่เป็นน้องกับบรรพจารย์สูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรทำให้เฉินซีอยู่คนละระดับกับนางไปแล้ว…
แต่ไม่ว่าจะไม่ปรารถนาหรือไม่อยากจะเชื่อสักเพียงใดก็ตาม ความจริงก็คือความจริง และความจริงมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแม้ว่าบางคนจะไม่ปรารถนาที่จะเชื่อถือก็ตาม
ยามนี้ความรู้สึกของบิดา…ซูเจิ่นเทียนกับตัวนางเองก็ไม่ต่างกัน อีกทั้งอาจจะยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ ซูเจิ่นเทียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบรรพบุรุษของพวกเขาจะสามารถสกัดกั้นกองกำลังต่าง ๆ แห่งเมืองทะเลสาบมังกรและจับเฉินซีมาลงโทษเพื่อแก้แค้นให้กับคนของตระกูลที่ตายทั้งหมด ใครเลยจะนึกได้ว่าแม้กระทั่งบรรพบุรุษยังถูกคนอื่นตบจนเกือบสลบไม่ได้สติเช่นนี้เล่า ความหวังพังทลายลงฉับพลัน และสามารถเดาอนาคตล่วงหน้าได้เลยว่าหลังจากวันนี้ การที่ตระกูลซูที่จะเชิดหน้าชูตาอยู่ในเมืองทะเลสาบมังกรต่อไปคงเป็นเรื่องยากเสียแล้ว
“คารวะ บรรพจารย์สูงสุด!” ศิษย์รุ่นเยาว์แห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรเช่นเฟยเหลิ่งชุ่ย ชิงหลัว เฉินฮ่าว รวมทั้งคนอื่นอีกนับพันเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นจากภวังค์จึงรีบลนลานคุกเข่าลงพร้อมกันและกล่าวทักทาย
เป่ยเหิงพลันกวาดสายตามองไปรอบข้าง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบไม่แสดงอารมณ์ “เขาคนนี้เป็นพี่น้องร่วมสาบานของข้า…เฉินซี…ต่อไปนี้ใครก็ตามที่มาสร้างความขัดเคืองใจให้แก่เขา เท่ากับขัดเคืองกับข้าด้วย ฉะนั้นจะมาหาว่าข้า…เป่ยเหิงใจจืดใจดำไม่ได้!”
ขวับ!
สายตาทุกคู่จับจ้องไปมองยังเฉินซีเป็นตาเดียว สีหน้าแววตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ นิกายกระบี่เมฆาพเนจรถือว่าเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งแห่งเมืองทะเลสาบมังกรและในเขตแดนตอนใต้ทั้งหมด ส่วนเป่ยเหิงถือว่าเป็นบรรพจารย์สูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร อย่างนี้ต่อไปใครหน้าไหนจะกล้าล่วงเกินเฉินซี คนที่สาบานเป็นพี่เป็นน้องกับเป่ยเหิงอีก?
ในขณะนี้เฉินซีกวาดสายตามองไปยังใบหน้าของทุกคนที่กำลังตกตะลึง จากนั้นสายตาได้แลเลยไปยังบรรดาคนของตระกูลซู ซึ่งบัดนี้ถึงกับหน้าซีดขาว และมองเลยไปทางเป่ยเหิงผู้ที่กำลังยืนเอามือไพล่หลัง กระแสความรู้สึกบางอย่างพลันพุ่งขึ้นท่วมท้นในใจของเขาอย่างไม่อาจยับยั้ง คนเพียงหนึ่งคนสามารถทำให้คนมากมายยกย่องเชิดชู ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาไม่มีคำจะมาอธิบายได้ไปกว่า อำนาจและอิทธิพลที่สูงเกินต้านทานสินะ…
“น้องเล็ก กลับกันเถิด ข้าได้เลือกสถานที่ในนิกายบนยอดเขาที่สูงที่สุด ซึ่งเหมาะสำหรับเป็นที่ฝึกบ่มเพาะพลังไว้ให้เจ้าแล้ว ไปดูกันดีกว่า” กล่าวจบ เป่ยเหิงก็หัวเราะดังลั่นพร้อมกับฉวยแขนของเฉินซีไว้ขณะพากันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า นับตั้งแต่เริ่มจนสิ้นสุดเหตุการณ์ ผู้พูดหาได้ใส่ใจคนอื่นรอบข้างเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนว่าในสายตาของเป่ยเหิงจะมีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่คู่ควรกับเอาใจใส่เช่นนี้จากเขา
“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้ที่หนุนหลังเจ้าหนุ่มนั่นจะเป็นตัวตนขอบเขตเซียนปฐพี ตอนนี้การยึดยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมและเจดีย์บำเพ็ญทุกข์จากเขาคงไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว ช่างเถอะ หลังจากนี้ข้าจะหาทางติดต่อกับเขาก่อน ถ้าถึงขั้นเลวร้าย เมื่อสังหารเขาแล้วข้าก็จะรีบหนีไปให้เร็วที่สุด” เสียงจากมุมมืดไกลออกไปหัวหน้าหมู่ตึกฟ่านซึ่งบัดนี้อยู่ในชุดผ้าคลุมสีดำสนิทพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน เจ้าหนุ่มนั่นตามเป่ยเหิงกลับนิกายกระบี่เมฆาพเนจรไปแล้ว พวกเราควรทำอย่างไรดีจึงจะติดต่อมันได้” เฟิ่งหมิงพูดด้วยเสียงแห้ง เนื่องจากการได้รับรู้ว่ามีคนผู้ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังเฉินซีทำให้เขาออกจะตกใจเป็นอย่างมาก ความคิดที่จะยอมถอยเผยออกมาบ้างแล้ว
“รอก่อน! ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะรั้งอยู่แต่ในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอย่างเดียวจนไม่ยอมไปไหนเลยตลอดชีวิต” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านเค้นเสียงลอดไรฟัน “พวกเราเสียอักขระสยบวิญญาณไปแล้ว ถ้าเทียบกับการกลับไปรับโทษจากนายท่าน ข้ายอมจู่โจมคนขอบเขตเซียนปฐพีมากกว่า”
“ท่านหัวหน้าพูดถูก ถ้าเช่นนั้นพวกเราเข้าไปหลบในเมืองทะเลสาบมังกรก่อน จากนั้นค่อยหาทางยึดยันต์คืนมาจากเขาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักกี่ปีก็ตาม!” เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงนายท่าน ภาพติดตาบางอย่างพลันผุดขึ้นในใจของเฟิ่งหมิงจนไม่อาจทานทน เนื้อตัวของเขาสั่นเทาขึ้นมาเฉย ๆ ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าหากพวกเขาตามยันต์กลับคืนมาไม่ได้แล้ว บทลงโทษที่แสนจะทรมานที่สุดในโลกกำลังรอพวกเขากลับไปรับกรรม
…
ตอนนี้เป็นอันว่างานเทียบอันดับมังกรซ่อนแห่งเมืองทะเลสาบมังกรสำหรับปีนี้สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากการที่เป่ยเหิงปรากฏตัวขึ้นโดยไม่คาดฝัน ทำให้ความคิดที่จะยึดเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ที่อยู่ในครอบครองของเฉินซีของกองกำลังมหาอำนาจทั้งหลายต้องจบสิ้นลงไปโดยปริยาย นอกจากนี้ยังมีข้อพิสูจน์ให้เห็นอีกอย่างหนึ่งว่าในนิกายกระบี่เมฆาพเนจร มีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีอยู่จริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขานเท่านั้น
วันนี้มีปรากฏการณ์หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ทว่ามีคนผู้หนึ่งมักร่วมอยู่ด้วยเสมอและคนคนนี้คือเฉินซี ชายหนุ่มคนเดียวสามารถสังหารศิษย์ฝีมือขั้นสูงของตระกูลซูถึง 96 คน และทำลายล้างผู้บ่มเพาะซึ่งเป็นบุคคลลึกลับไม่รู้ที่มาที่ไปอีก 32 คน ทั้งยังสามารถสยบเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ตราบจนสามารถเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับบรรพจารย์สูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรได้…
เด็กหนุ่มคนนี้ที่พื้นเพมาจากเมืองหมอกสนซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกล วันนี้กลับกลายเป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์สาดแสงแรงกล้ายามเที่ยงวัน ไม่มีผู้ใดหลงลืมชื่อของเขาได้เลย
พวกเขาคาดเดาได้เลยว่าในเวลาอีกไม่กี่วันข้างหน้า ชื่อเสียงและสิ่งที่เฉินซีได้ทำไปทั้งหมดจะเป็นที่กล่าวขานไปทั่วทั้งเมืองทะเลสาบมังกร รวมถึงในโลกแห่งการบ่มเพาะเขตแดนทางใต้ทั้งหมด!