บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 151 ยอดเขาใจสัจธรรม
บทที่ 151 ยอดเขาใจสัจธรรม
บทที่ 151 ยอดเขาใจสัจธรรม
หวือ!
เพียงชั่วพริบตา ลำแสงได้หายลับไปในท้องฟ้า และทะยานไปสู่เทือกเขาเมฆาพเนจรอันกว้างใหญ่
เฉินซีได้ยินเพียงเสียงดังกึกก้องขณะที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกกระแสลมปกคลุม จากนั้นสภาพแวดล้อมก็มืดมัวและทิวทัศน์เบื้องหน้าเขาก็บิดเบี้ยวเป็นระลอกคลื่น ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง เขาก็ปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาแล้ว
“หรือว่าสิ่งนี้คือเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายมิติ?” เฉินซีกวาดสายตาไปยังภูเขาที่อยู่รายรอบ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง เขาได้มาถึงนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้วจริง ๆ! ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เจดีย์บำเพ็ญทุกข์อยู่ห่างจากแนวเทือกเขาเมฆาพเนจรถึงสองพันห้าร้อยลี้ แต่ทว่ากลับใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็สามารถมาถึงเทือกเขาเมฆาพเนจรได้แล้วหรือ?
‘เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายมิติ’ หรือถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘การย่นมิติ’ มันเป็นเคล็ดวิชาที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก ที่มีเพียงตัวตนยิ่งใหญ่อย่างขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้นที่สามารถเชี่ยวชาญได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อบ่มเพาะจนถึงขั้นสูงสุด เพียงก้าวเดียวก็สามารถย่นระยะทางได้ไกลกว่าสองร้อยห้าสิบลี้
เหตุผลที่มีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้นที่จะใช้วิชานี้ได้ ก็เป็นเพราะพวกเขาได้ผ่านทัณฑ์สวรรค์ ปราณแท้ในร่างกายจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเป็นปราณเซียน และมีเพียงปราณเซียนเท่านั้น ที่สามารถขับเคลื่อนเคล็ดวิชาที่ทรงพลังเช่นนี้ได้
“น้องเล็ก ยอดเขาที่ข้าเลือกให้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เป่ยเหิงชี้ไปที่ยอดเขาด้านล่างและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พี่ใหญ่เป่ยเหิง ท่านปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี ความสูงชันของยอดเขานี้เกินกว่าจินตนาการของข้ายิ่งนัก” เฉินซีก้มหน้าลงมอง และเห็นว่ายอดเขานี้เงียบสงบและสง่างามอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่ราวกับกระบี่ที่แทงทะลุท้องฟ้า บนยอดเขามีตำหนักที่ถูกสร้างขึ้นอยู่ห้าหลัง ซึ่งถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยศาลาและชานระเบียง ต้นไม้เจริญงอกงามและพุ่มไผ่สูง และทุกซอกทุกมุมของมันก็ใหม่เอี่ยม
“หากเป็นในโลกมนุษย์ การสร้างตำหนักบนภูเขาเช่นนี้ อาจต้องใช้คนหลายหมื่นคนเพื่อทำการก่อสร้างอย่างยากลำบากเป็นเวลาหลายสิบปี ในขณะที่นิกายใหญ่สามารถสร้างได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน” เฉินซีถอนหายใจ
“นี่คือความมหัศจรรย์ของผู้บ่มเพาะ เคลื่อนภูเขา ถมน้ำทะเล เด็ดดวงดาว เคลื่อนดวงจันทร์ออกจากท้องฟ้า เปลี่ยนสิ่งที่เสื่อมโทรมให้กลายเป็นสิ่งงดงาม และมีความสามารถพิเศษมากมายที่เหนือจินตนาการของมนุษย์ทั่วไป ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ผู้คนในโลกต่างมุ่งมั่นแสวงหาความเป็นเซียน ปรารถนาที่จะขึ้นไปสู่สวรรค์สัมผัสเหล่าดาราที่มีมากมายบนฟากฟ้า” เป่ยเหิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ทั้งสองคนก็ร่อนลงมายังด้านหน้าของตำหนักบนยอดเขาแล้ว
ทันใดนั้นเอง ศิษย์รุ่นเยาว์จำนวนมากก็เข้ามาทักทายพวกเขาพร้อมกับโค้งคำนับ “คารวะบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิง คารวะบรรพจารย์อาเฉินซี”
คนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจเทียบได้กับศิษย์ชั้นยอด แต่นับว่ายังเหนือกว่าศิษย์สายนอกนัก พวกเขาเกือบทั้งหมดมีระดับการบ่มเพาะที่ขอบเขตก่อกำเนิด และบุคคลที่โดดเด่นบางคนก็มีระดับการบ่มเพาะที่ขอบเขตตำหนักอินทนิล
เป่ยเหิงได้ส่งพวกเขามาคอยดูแลชีวิตประจำวันของเฉินซี รวมไปถึงจัดการงานในตำหนัก ทุ่งสมุนไพรวิญญาณ ห้องขัดเกลาศัสตรา และห้องกลั่นโอสถจำนวนมากที่เพิ่งสร้างใหม่บนยอดเขานี้ต้องได้รับการดูแลอยู่เสมอ เมื่อเหล่าศิษย์ในสำนักจัดการหน้าที่เหล่านี้ เฉินซีย่อมสามารถบ่มเพาะได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยทั้งหลาย
เมื่อเฉินซีเห็นผู้คนจำนวนมากโค้งคำนับทักทายเขา และบางคนอายุมากกว่าเขาด้วยซ้ำ เฉินซีจึงลอบถอนหายใจ และต้องการที่จะหยิบของขวัญออกมามอบให้กับพวกเขา แต่เมื่อนึกถึงตัวตะกละสองตัวที่อยู่ในแหวนมิติของเขา พวกมันคงได้กินศัสตราวิเศษทั้งหมดไปนานแล้ว และเขาก็ยังไม่ได้ตรวจสอบกระเป๋ามิติที่รวบรวมมาจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขณะที่เขารู้สึกละอายอยู่ในใจ
เป่ยเหิงเป็นชายชราที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ดังนั้นเขาจะไม่รู้ถึงสิ่งที่เฉินซีกำลังคิดอยู่ได้อย่างไร? ทันใดนั้น เขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป จากนั้นมีขวดโอสถรวมรากฐานลอยออกมา และมอบพวกมันแก่ศิษย์ทุกคน โดยมันจะช่วยในการรวมรากฐานแห่งเต๋า “พวกเจ้าจงคอยเชื่อฟังคำสั่งจากน้องชายของข้าให้ดี ในอนาคต ผลประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมกำลังรอพวกเจ้าอยู่ และมันก็ขึ้นอยู่กับผลงานของพวกเจ้าด้วย”
ศิษย์เหล่านี้ต่างแสดงสีหน้ายินดี จากนั้นพวกเขาก็โค้งคำนับและกล่าวว่า “เราจะจดจำคำสอนของบรรพจารย์สูงสุด!”
“น้องเฉิน รอบ ๆ ยอดเขานี้ มันยังขาดสิ่งใดอีกหรือไม่?” เป่ยเหิงโบกมือ และเหล่าศิษย์ก็แยกย้ายกันไป ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไปในตำหนักที่ใหญ่ที่สุดพร้อมกับเฉินซี
“มันเพียงพอแล้ว ข้าแค่ต้องการทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะ ดังนั้นข้าจึงไม่ถือว่าทรัพย์สินเป็นสิ่งสำคัญ การตระเตรียมของพี่ใหญ่เป่ยเหิงทำให้ข้าซาบซึ้งเป็นอย่างมากขอรับ” เฉินซีแย้มยิ้ม และเขากล่าวออกมาจากใจจริง
ในเส้นทางของการบ่มเพาะ การแสวงหาของผู้บ่มเพาะคือการบรรลุสู่มหาเต๋า เพื่อมีอายุขัยและอิสระเท่ากับสวรรค์และโลก เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ อย่างอื่นก็เป็นเพียงเมฆหมอกที่ลอยผ่านตาและไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง
“ดีมาก! น้องเฉินซี ด้วยนิสัยเช่นนี้ การที่เจ้าจะบรรลุมหาเต๋าก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น” เป่ยเหิงหัวเราะเสียงดังขณะที่เขากล่าวว่า “อ่า จริงสิ ยอดเขานี้จะเป็นสถานที่ที่เจ้าบ่มเพาะและหยั่งรู้เต๋าในภายภาคหน้า ดังนั้นเจ้าควรตั้งชื่อให้แก่มัน”
“ให้ข้าตั้งชื่อมันหรือ?” เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะนึกถึงคำกล่าวที่ทั้งจี้อวี๋และผู้อาวุโสฝูซีเคยกล่าวถึง ‘เพื่อทำความเข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์ จงซื่อสัตย์ต่อหัวใจของเจ้า’ จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ข้าจะเรียกมันว่า ยอดเขาใจสัจธรรม”
“ยอดเขาใจสัจธรรม? ยึดมั่นในหัวใจของเจ้า? ฮ่า ๆๆ นับว่าเป็นชื่อที่ดี!” เป่ยเหิงรู้สึกประทับใจกับชื่อนี้มากและกล่าวด้วยอารมณ์ที่เต็มเปี่ยม “เต๋าแห่งสวรรค์นั้นคลุมเครือและแปรผันอยู่ตลอดเวลา เหล่าผู้บ่มเพาะต่างทุ่มเทให้กับการแสวงหาเต๋า แต่เส้นทางนั้นเต็มไปด้วยหลุมบ่อ อีกทั้งยังมีขวากหนามและมารในใจคอยขัดขวาง มีไม่รู้กี่คนต่อกี่คนที่ได้สูญเสียหัวใจแห่งเต๋าและต้องล้มตายอยู่บนเส้นทางสายนี้…มันมีมากเหลือเกิน มากเกินไปจริง ๆ…”
หลังจากสนทนากันสักพัก เป่ยเหิงก็กล่าวคำอำลาและจากไป
เฉินซีจึงเดินตรวจดูที่อยู่อาศัยของเขา ภายในตำหนักนี้มีห้องที่เงียบสงบ ห้องขัดเกลาศัสตรา ทุ่งสมุนไพรวิญญาณ โถงอสูรวิญญาณ… หลังจากที่เขาเดินตรวจสอบโดยรอบแล้ว จึงกลับไปที่ห้องโถงและเรียกรวมศิษย์สายในทั้ง 72 คนที่ได้รับมอบหมายจากเป่ยเหิง ให้คอยดูแลบนยอดเขาใจสัจธรรม
ศิษย์ทั้ง 72 คนนี้ มีทั้งชายและหญิง แต่ละเพศมีจำนวนสามสิบหกคน และมีศิษย์สองคนในหมู่พวกเขาที่มีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหนึ่งดารา ในขณะที่คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ
ในบรรดาศิษย์สองคนที่บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปงาม มีดวงตาที่เต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดและมีไหวพริบ ชื่อของเขาคือ ‘ตงฟาง’ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงาม นางมีท่าทางที่สำรวมและเป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นและน่ารัก นิสัยของนางก็ค่อนข้างโดดเด่น ชื่อของนางคือ ‘หวังหว่าน’
“นับแต่นี้ไป ข้าจะทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะ และข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าทุกคนดูแลกิจการภายในและภายนอกของยอดเขาใจสัจธรรม ข้าหวังว่านอกเหนือจากการจัดการกับเรื่องเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าทุกคนจะบ่มเพาะอย่างขยันขันแข็ง อีกทั้งพวกเจ้าทุกคนจะต้องไม่ล่าช้าในเส้นทางการบ่มเพาะของเจ้า” เฉินซีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงสั่งว่า “ตงฟางเจ้าจงนำศิษย์ชายทั้ง 35 คน รับผิดชอบจัดการเรื่องเสื้อผ้า สินค้า เงินทอง และคอยดูแลเรื่องซื้อของใช้จำเป็นต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเจ้ายังต้องรับผิดชอบในการดูแลภูเขาและผู้ที่ต้องการเข้ามาติดต่อด้วย”
“ขอรับ!” ตงฟางโค้งคำนับเมื่อได้รับคำสั่ง
“หวังหว่าน เจ้าจงนำศิษย์หญิงทั้ง 35 คน รับผิดชอบการทำความสะอาดห้องกลั่นโอสถ ดูแลทุ่งสมุนไพรวิญญาณ ให้อาหารสัตว์วิญญาณ และเรื่องอื่น ๆ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ!” หวังหว่านโค้งคำนับ
“เอาล่ะ ตราบใดที่พวกเจ้าทำหน้าที่มอบหมายได้อย่างดี ข้าจะแนะนำให้ประมุขหลิงคงจื่อตอบแทนพวกเจ้าทุกคนเป็นอย่างหนัก และอาจได้รับโอกาสที่จะเลื่อนระดับเป็นศิษย์สายหลักหรือศิษย์ชั้นยอด แต่ถ้าพวกเจ้าได้กระทำความผิดที่ไม่น่าให้อภัย ข้าจะเป็นคนแรกที่จะลงโทษพวกเจ้าทั้งหมด!” เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เป็นดังคำกล่าวที่ว่า ‘ไม่มีอะไรที่สำเร็จได้โดยปราศจากกฎเข้มงวด เสรีภาพที่มากเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาได้ง่ายดาย’ ซึ่งเป็นสิ่งที่เฉินซีไม่ต้องการเห็นอย่างแน่นอน เขาเข้าใจสถานะของตัวเองที่มีในนิกายกระบี่เมฆาพเนจรว่ามันพิเศษเป็นอย่างยิ่ง และอาจกล่าวได้ว่ามันขึ้นอยู่กับอำนาจและอิทธิพลของเป่ยเหิงอย่างแท้จริง
หากลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แม้แต่ประมุขนิกายหลิงคงจื่อก็ยังต้องให้ความเคารพแก่เขา ดังนั้นหากเขาไม่จัดการดูแลศิษย์เหล่านี้อย่างเหมาะสม พวกเขาก็อาจอาศัยอำนาจและอิทธิพลของเฉินซี กระทำตามความพึงพอใจและประพฤติตนในทางที่ผิดอย่างแน่นอน
“ศิษย์ทราบแล้ว!” เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีแสดงทั้งความแข็งกร้าวและความอ่อนโยน ทั้งเข้มงวดและไม่ลำเอียงในการให้รางวัลหรือการลงโทษ จิตใจของพวกเขาก็รู้สึกเกรงกลัวและน้อมรับคำสั่งแต่โดยดี
เฉินซีโบกมือสั่งให้พวกเขาแยกย้ายกันไป ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอันเงียบสงบของเขา และด้วยคำสั่งในใจ เจดีย์ก็ลอยอยู่บนฝ่ามือ
เจดีย์นี้ถูกแบ่งออกเป็นแปดชั้น มีสีขาวบริสุทธิ์เหมือนหยกทั้งหมด มันปล่อยกลิ่นอายจาง ๆ ที่สงบและเก่าแก่ ทว่ามันยังคงนิ่งสนิทและมืดมนราวกับว่ามันขาดจิตวิญญาณ
สิ่งนี้คือเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ สมบัติอมตะที่เสียหายพร้อมกับดวงจิตของมันที่ถูกทำลาย!
ตอนที่เฉินซีสามารถพิชิตเจดีย์นี้ เขาตระหนักได้ว่า เจดีย์นี้ไม่ได้มีเพียงสี่ชั้นเท่านั้น แต่อันที่จริงมันมีถึงแปดชั้น ซึ่งอีกสี่ชั้นที่เหลืออยู่เบื้องล่างของชั้นแปดทิศทาง และในทุกชั้นต่างก็มิติเป็นของตัวเอง อีกทั้ง ภายในมิตินั้นก็มีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าชั้นอื่น ๆ ที่เคยได้พบภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เมื่อครั้งที่เขาเข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อน
แม้ว่าเฉินซีจะสามารถพิชิตเจดีย์ได้ แต่หากเขายังซ่อมแซมมันไม่สำเร็จ เขาก็ยังไม่อาจใช้งานมันได้อย่างเต็มที่และทำได้เพียงใช้งานมันในลักษณะเป็นคลังเก็บสมบัติราวกับกระเป๋ามิติ
แน่นอนว่าพื้นที่ภายในเจดีย์นั้นกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะใช้เพียงเก็บศัสตราวิเศษ มันกว้างถึงขั้นที่สามารถกักเก็บแม่น้ำที่ทอดยาวหรือภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นเฉินซีจึงไม่ต้องกังวลว่าพื้นที่จะไม่เพียงพอ
ยิ่งไปกว่านั้น เจดีย์นี้สามารถวางไว้ในตำหนักอินทนิลของเขาได้ และมันยังสามารถปกปิดกลิ่นอายยิ่งกว่าสมบัติประเภทคลังเก็บของ เว้นเสียแต่ว่า เฉินซีจะถูกสังหาร มิฉะนั้นจะไม่มีผู้ใดสามารถแย่งชิงเอาสิ่งของภายในเจดีย์ออกไปได้
“เสี่ยวไป๋ เจ้าพอจะรู้วิธีซ่อมแซมสมบัติอมตะหรือไม่?” เฉินซีกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าการใช้สมบัติอมตะเป็นที่เก็บสมบัติ มันไม่ดูไม่เหมาะสมกับการที่พระเจ้าได้ประทานของขวัญเช่นนี้มาให้ และหากข่าวลือเช่นนี้แพร่กระจายออกไป เขาคงถูกผู้คนหัวเราะเยาะไปจนตาย
“หากข้ารู้ ป่านนี้ข้าคงได้เป็นปรมาจารย์ด้านการขัดเกลาอุปกรณ์ที่ไม่มีผู้ใดในโลกเทียบได้ตั้งนานแล้ว” หลิงไป๋ยิ้มกว้างขณะที่เขานั่งขัดสมาธิกลางอากาศ และกำลังตรวจสอบเจดีย์อยู่ “เฉินซี เนื่องจากสมบัติอมตะนี้เป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่า เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้ข้ากินมันเสียเลยล่ะ”
“โฮก!” ไป๋คุยคำรามด้วยความไม่พอใจ และดูเหมือนว่ามันก็ต้องการส่วนแบ่งเช่นกัน
“โธ่ ข้ากำลังกล่าวถึงเรื่องจริงจัง พวกเจ้ากลับจ้องที่จะกลืนกินสมบัติของข้าเสียอย่างนั้น” เฉินซีชำเลืองมองตัวตะกละทั้งสอง จากนั้นเขาก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถซ่อมแซ่มมันได้ในตอนนี้ ดังนั้นคงทำได้เพียงใช้มันเป็นที่เก็บสมบัติเท่านั้น”
“เหตุใดเจ้าถึงต้องรีบซ่อมแซมมันด้วย” หลิงไป๋เตือน “แม้ว่าเจ้าจะสามารถซ่อมแซมมันได้ในตอนนี้ แต่ด้วยการบ่มเพาะของเจ้าในตอนนี้ก็ไม่อาจใช้งานมันได้ สิ่งนี้คือสมบัติอมตะ ต่อให้เจ้าบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพี เจ้าก็อาจจะใช้งานมันได้เพียงครั้งสองครั้ง เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ จึงจะสามารถใช้พลังของมันได้อย่างสมบูรณ์”
คำพูดที่เสียดแทงได้ปลุกเฉินซีฟื้นจากความฝันของเขา จากนั้นเขาจึงตบหน้าผากของเขาและกล่าวว่า “สิ่งนี้เป็นปัญหาจริง ๆ” เมื่อกล่าวมาจุดนี้ เฉินซีก็หมดความสนใจที่จะศึกษาเจดีย์บำเพ็ญทุกข์โดยสิ้นเชิง และเริ่มจัดเรียงสิ่งของที่ยึดมาจากตอนที่เข้าร่วมงานเทียบอันดับมังกรซ่อนแทน
แกร๊ง!
ศัสตราวิเศษมากมายกองรวมกันเป็นเนินเขาเล็ก ๆ สมบัติคลังมิติเหล่านี้ บ้างก็ยึดมาจากนายน้อยของตระกูลเซี่ย บางส่วนได้มาจากการสังหารศิษย์ชั้นยอดของตระกูลซูทั้ง 96 คน และมีอีก 32 ชิ้นที่ได้มาจากพวกผู้พิทักษ์จิตอสูร … เมื่อนำพวกมันมารวมกัน ก็กลายเป็นกองสมบัติคลังมิติขนาดใหญ่ที่มีจำนวนถึง 113 ชิ้น!
“ว้าว! เรารวยแล้ว เรารวยแล้ว! ข้าจะกินสมบัติพวกนี้ได้นานแค่ไหนกันนะ!?” หลิงไป๋กระโจนเข้าไปในกองศัสตราวิเศษในทันทีและหลับตาลงด้วยความสุข ไป๋คุยก็ทำตามเช่นเดียวกันและมุดเข้าไปในเนินเขาเล็ก ๆ ก่อนที่จะกระโดดไปรอบ ๆ อย่างมีชีวิตชีวา
เฉินซีตบหน้าผากตัวเอง ขณะที่เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมาดี และความรู้สึกยินดีที่ได้รับผลประโยชน์มากมาย ได้กระจายไปทุกทิศทุกทางก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในที่สุด เฉินซีก็ตัดสินใจโยนเจ้าตะกละทั้งสองตัวเข้าไปในเจดีย์ หลังจากนั้น เขาจึงกล้าที่จะเปิดสมบัติมิติเก็บของเพื่อจัดเรียงและนับของที่ริบมาได้จากการต่อสู้ เขาไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าตัวตะกละทั้งสองตัวนี้ยังอยู่ด้วย พวกมันก็คงจะวิ่งหนีไปพร้อมกับสมบัติชั้นยอด หากหลิงไป๋กินมันเข้าไปก็นับว่าไม่เป็นอะไร เพราะมันเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของเขา แต่ถ้าไป๋คุยกินมันเข้าไป ก็นับว่าสูญเปล่าจริง ๆ!