บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1547 ผลึกศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 1547 ผลึกศักดิ์สิทธิ์
ขณะสติพร่าเลือน เฉินซีก็ได้ยินเสียงบทสนทนาดังมาจากที่ไกล ๆ
“ชายหนุ่มผู้นี้มีวาสนากับข้า หลังจากข้าไปแล้วอย่าแตะต้องสมบัติบนร่างของเขา” เสียงนี้สงบและจริงจัง เปี่ยมด้วยพลังที่เข้าถึงหัวใจของผู้คน เจ้าของเสียงดังกล่าวย่อมเป็น ‘เทพธิดา’
“ท่านเทพธิดาไม่ต้องห่วง”
เสียงนี้ลุ่มลึกทุ้มต่ำประหนึ่งเสียงเสียดสีของโลหะดูไม่คุ้นหูเป็นอย่างยิ่ง
“ฮุ่ยฉง ไปกันเถอะ”
“ช้าก่อน”
ในตอนนี้ เฉินซีไม่ทราบว่าพลังมาจากที่ใดก่อนจะพลันลืมตา เขาพยายามลุกขึ้นแล้วเอ่ยคำ “ผู้มีพระคุณทั้งสองอย่าเพิ่งไป ช่วยบอกชื่อพวกท่านให้ทราบได้หรือไม่ หากภายภาคหน้ามีโอกาส ข้าย่อมตอบแทนคืนเป็นสิบเท่าอย่างแน่นอน”
ขณะเอ่ยคำ ความคิดของเขาก็สับสนอีกครั้งขณะการมองเห็นเลือนราง ชายหนุ่มมองเห็นร่างทั้งสองได้อย่างแจ่มชัด ถึงกระนั้นก็มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน
มันทำให้รู้สึกขมขื่นอีกครั้ง เขาเพิ่งไปถึงแดนโลกาวินาศแต่กลับตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ ช่างโชคไม่ดีเอาเสียเลย
“ตอบแทนหรือ? คิกคิก ไม่จำเป็นหรอกคุณชาย แค่ดูแลตัวเองให้ดีก็พอแล้ว” ฮุ่ยฉง สาวน้อยผมมวยคู่ ใบหน้าละเอียดอ่อน สวมชุดสีครามและถือตะกร้าดอกไม้เอ่ยคำพลางแย้มยิ้ม
“ไปกันเถอะ”
‘เทพธิดา’ เอ่ยคำอย่างสงบขณะเมินคำขอของชายหนุ่ม แม้จะไม่ได้แสดงอำนาจอันหยิ่งผยอง แต่โดยรวมแล้วนางก็มีท่าทีถือตัวอยู่ในที
ดูเหมือนนางจะคิดว่าคำพูดของเฉินซีเป็นเพียงเรื่องล้อเล่น
หรือจากมุมมองของนางแล้ว ด้วยสถานการณ์ที่อีกฝ่ายประสบ ต่อให้บาดแผลจะหายดีแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตอบแทนแม้แต่นิดเดียว
“พวกนางถึงกับจากไปทั้งอย่างนี้…”
เฉินซีตกตะลึงขณะจิตใจสับสนงุนงง เขาพึมพำอยู่ในใจ “ต่อให้ไม่สนใจ ข้า เฉินซี ก็จะต้องตอบแทนความเมตตาที่ติดค้างไว้อย่างแน่นอน”
ตุบ!
สิ้นคำชายหนุ่มก็หมดสติไปอีกครั้ง
…
เมื่อเฉินซีได้สติอีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยมาสองวันแล้ว
ชายหนุ่มพบว่าตัวเองอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ขนาดของมันไม่ใหญ่โต มีผู้อยู่อาศัยหลายร้อยชีวิต ดูเหมือนเป็นชนเผ่าขนาดเล็กมากกว่า
มีทุ่งสมุนไพรหนึ่งพันหมู่อยู่ตรงหน้าหมู่บ้าน โดยมีสมุนไพรและพืชพรรณแปลกประหลาดถูกปลูกเอาไว้เป็นจำนวนมาก พวกมันเปล่งแสงหลากสีสันอันเจิดจ้านานาชนิดออกมา
ผู้คนนับร้อยในหมู่บ้านดูแลทุ่งสมุนไพรแห่งนี้ พูดให้ถูกก็คือพวกเขาเหมือนกับกลุ่มข้ารับใช้ที่คอยคุ้มกันพวกมัน ทั้งเวลา พลังงาน และความคิดต่างถูกใช้ไปกับงานเหล่านี้
“ที่นี่… ยังเป็นแดนโลกาวินาศอยู่หรือ?”
เมื่อได้สติกลับคืนมา เฉินซีก็รู้สึกงุนงงสับสนเป็นอย่างมาก
เขาสังเกตเห็นว่าทุกคนในหมู่บ้านแห่งนี้ต่างออกไป ทั่วร่างถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ แต่ทุกการกระทำกลับไม่แตกต่างจากคนธรรมดา พวกเขาไม่รู้แม้แต่วิธีใช้พลังเทวะแม้แต่น้อย
“น่าแปลก ทั่วทั้งหมู่บ้านแห่งนี้ไม่มีกลิ่นอายแห่งชีวิตเลย ราวกับไม่หลงเหลือพลังอย่างไรอย่างนั้น…” เฉินซียิ่งคิดก็ยิ่งสับสน
“เจ้าได้สติแล้ว”
ฉับพลันนั้นเสียงแหบพร่าประหนึ่งโลหะเสียดสีดังอยู่ในหูของเขา
เฉินซีพลันเงยหน้าก่อนจะพบชายวัยกลางคนผลักประตูเดินเข้ามาในห้อง คนผู้นั้นมีวงแหวนทองแดงบนหน้าผาก สีหน้าเด็ดเดี่ยว ผิวพรรณหมองคล้ำประหนึ่งหินเหล็ก
ชายวัยกลางคนมีกลิ่นอายแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากคนอื่นที่อยู่ในหมู่บ้าน เขาให้ความรู้สึกเหมือนกับอาวุธสังหารที่เต็มไปด้วยโลหิตขณะกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ยังคงอบอวลทั่วร่าง เขาครอบครองพลังที่ทัดเทียมกับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตเทวา
สำหรับเฉินซี มันคือกลิ่นอาย ‘แบบเดียวกัน’
ส่วนคนอื่นในหมู่บ้านเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตเทวา
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ทันทีที่ชายวัยกลางคนเปิดปาก เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือเจ้าของน้ำเสียงที่เอ่ยคำว่า ‘ท่านเทพธิดา’ ก่อนที่ตนจะหมดสติไป
“ข้าคือเถี่ยคุน เป็นผู้ดูแลที่นี่ ข้าไม่สนว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างไรหรือมาจากที่ไหน แต่หลังจากรักษาตัวจนหายดีแล้วก็จรจากจากที่นี่เสีย”
ชายวัยกลางคนผู้เรียกตัวเองว่าเถี่ยคุนมีสีหน้าเย็นชายิ่ง มันทั้งเย็นยะเยือกและไร้อารมณ์
เฉินซีตกตะลึงแต่ก็ยังพยักหน้า “ขอบคุณมาก”
สีหน้าของเถี่ยคุนยังคงเย็นชาขณะเอ่ยคำ “บาดแผลจะหายดีภายในเจ็ดวันหรือไม่?”
“อาจจะมากพอที่ทำให้ขยับได้” เฉินซีสูดหายใจเข้าหลังจากรับรู้ถึงพลังในร่างกายจึงเอ่ยคำอย่างเนิบช้า
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่มันก็ไม่ได้รับความเสียหายจนถึงดวงจิตแห่งเต๋า ประกอบกับรากฐานที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ในช่วงสองวันที่ผ่านมา บาดแผลทั้งภายนอกและภายในได้รับการซ่อมแซมในระดับที่ดีทีเดียว
สิ่งเดียวที่ขาดไปก็คือพลังศักดิ์สิทธิ์
เขาไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ ต้นอ่อนเงาทมิฬที่อยู่ในร่างกายทำได้เพียงปลดปล่อยปราณเซียนออกมาเท่านั้น ในอดีตที่ผ่านมา ต้องใช้ปราณเซียนถึงสิบเท่าถึงจะสามารถกลั่นเป็นกลุ่มพลังศักดิ์สิทธิ์ได้
ด้วยความเร็วระดับนี้ ระดับการบ่มเพาะน่าจะฟื้นคืนกลับมาราวเจ็ดส่วนได้ภายในเจ็ดวัน
ในโลกใบนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์เบาบางยิ่ง มันไม่เพียงพอที่เฉินซีจะดูดกลืนได้ ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว จึงทำได้เพียงพึ่งต้นอ่อนเงาทมิฬเพื่อหล่อเลี้ยงพลังเอาไว้
“เอาละ เจ้าจะต้องไปภายในเจ็ดวัน” สิ้นคำของเถี่ยคุน เขาก็หันหลังแล้วจากไป
“สหายเต๋า ที่นี่ยังเป็นแดนโลกาวินาศใช่หรือไม่?” เฉินซีรีบถาม
“ถูกต้อง”
เถี่ยคุนยืนนิ่งคล้ายกับกำลังครุ่นคิดและลังเล ผ่านไปสักพัก เขาก็โยนหินผลึกห้าก้อนมาให้ “นี่คือผลึกศักดิ์สิทธิ์ หากทำการฝึกฝนก็จะทำให้ฟื้นตัวได้ไว จำไว้ อย่าให้คนอื่นเห็นสิ่งนี้เป็นอันขาด”
ปึง!
กล่าวจบ ประตูก็ปิดลง เฉินซีอยู่ในห้องเพียงลำพังอีกครั้ง
ผลึกศักดิ์สิทธิ์!
เฉินซียกมือเพื่อคว้าหินผลึกห้าก้อนขณะมองพวกมันอย่างละเอียด
ผลึกเหล่านี้มีขนาดเท่านิ้วก้อยเท่านั้น ทั้งก้อนโปร่งใสขณะส่องแสงแห่งความโกลาหลเล็กน้อย สิ่งที่อยู่ภายในคือพลังศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ที่สุด
“พวกมันคล้ายกับศิลาอมตะและน้ำอมฤต เห็นได้ชัดว่ามันจำเป็นต่อการบ่มเพาะของผู้เยี่ยมยุทธ์” เฉินซีครุ่นคิด
เถี่ยคุนระแวดระวังยิ่งตอนหยิบผลึกศักดิ์สิทธิ์ออกมาประหนึ่งหยิบสมบัติหายาก มันจึงทำให้เฉินซีรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่ามูลค่าของสิ่งนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ความจริงหากลองคิดให้ดีแล้ว ในเมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในแดนโลกาวินาศขาดแคลนและเบาบางจนแทบไร้ตัวตน เช่นนั้นตัวตนของผลึกศักดิ์สิทธิ์ก็จะยิ่งมีค่ามากขึ้น
“แต่ว่าเหตุใดเขาจึงเตือนข้าว่าอย่าให้คนอื่นเห็นผลึกศักดิ์สิทธิ์? จะมีคนพยายามแย่งชิงอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีคิ้วขมวด
ถึงแม้เขาจะมั่นใจว่ายังอยู่ในแดนโลกาวินาศ แต่ก็ยังรู้สึกว่าทุกสิ่งในหมู่บ้านแห่งนี้แปลกประหลาดเกินไป
“ช่างเถอะ เริ่มจากใช้ผลึกศักดิ์สิทธิ์เพื่อฟื้นฟูพลังกายก่อน เมื่อกำลังกลับคืนมาแล้ว ข้าก็จะไปได้ในทันที” เฉินซีคิดถึงท่าทีเฉยชาของเถี่ยคุนก่อนจะทราบในทันที หากไม่ออกไปภายในเจ็ดวัน เถี่ยคุนจะเป็นคนแรกที่ไม่ยินยอมให้อยู่อย่างแน่นอน
นอกจากเถี่ยคุนแล้ว เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง ‘เทพธิดา’ และฮุ่ยฉงอีกครั้ง “พวกนาง… มาจากไหนกัน?”
…
หลังจากนั้น เฉินซีหยุดความคิดก่อนจะนั่งขัดสมาธิ ชายหนุ่มถือผลึกศักดิ์สิทธิ์เอาไว้และเริ่มบ่มเพาะ แต่ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นนอกประตู
เฉินซีคิ้วขมวดขณะเก็บผลึกศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาจัดการทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น เสียงประตูก็เปิดดังเอี๊ยดมาจากด้านนอก
ชายร่างผอมราวกับไม้ไผ่ผู้มีผิวซีดเดินเข้ามา เขาชำเลืองมองเฉินซีอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยคำ “เจ้าหนู ส่งผลึกศักดิ์สิทธิ์มาซะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องตายในวันนี้”
เฉินซีหรี่ตาแล้วเอ่ยคำด้วยสีหน้าที่ไม่แปรเปลี่ยน “ผลึกศักดิ์สิทธิ์อะไร?”
“เหอะ เจ้ายังจะมาหลอกข้าเสียให้ยาก เมื่อครู่ข้าเห็นเต็มสองตา ข้าขอถามเจ้าอีกครั้งว่าจะยอมส่งมาให้หรือไม่?” ชายร่างผอมเอ่ยคำด้วยสีหน้าถมึงทึง
“โห?” เฉินซีเอ่ยคำพลางครุ่นคิด “ถ้าข้าเดาไม่ผิด เถี่ยคุนไม่ทราบว่าเจ้ามาหาข้าใช่หรือไม่?”
“เจ้าสารเลวตัวจ้อยนี่ ข้าถามว่าจะยอมส่งผลึกศักดิ์สิทธิ์มาให้หรือไม่ ยังจะมาพูดจาเหลวไหลไร้สาระอีก!” สีหน้าของชายร่างผอมพลันเปลี่ยนไปราวกับหวาดกลัวคนที่ชื่อเถี่ยคุนเป็นอย่างมาก แต่หลังจากนั้น สีหน้าโหดเหี้ยมก็ปรากฏก่อนจะพุ่งเข้าหา ยื่นมือหมายคว้าคอของเฉินซี
ฟิ่ว ฟิ่ว
สายลมแรงกล้าพัดผ่านขณะห้วงอากาศเกิดการสั่นสะเทือน
แต่ในสายตาของเฉินซี การโจมตีเหล่านี้ทั้งอ่อนแอและไร้พลัง รวมถึงปราศจากเคล็ดวิชาหรือความลึกลับ นี่ทำให้เขายิ่งมั่นใจข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ นอกจากเถี่ยคุนแล้วก็ไม่มีใครในหมู่บ้านแห่งนี้ที่เป็นตัวตนแท้จริงขอบเขตเทวาแม้แต่คนเดียว
หมายความว่าพวกเขาไม่มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังสูญเสียพลังของผู้เยี่ยมยุทธ์ในขอบเขตเทวา!
บัดนี้ ถึงแม้บาดแผลของเฉินซีจะยังไม่หายดี แต่ถึงอย่างไรเขาก็เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาสูงสุดมากมาย ประกอบกับรากฐานในวิถีศักดิ์สิทธิ์ก็แข็งแกร่ง ทำให้การโจมตีเช่นนั้นไม่อาจคุกคามอะไรได้
กร็อบ!
ทันทีที่เฉินซียกมือ เขาจับแขนขวาของอีกฝ่ายประหนึ่งก้ามปูเหล็ก จากนั้นก็คว้ากล้ามเนื้อและกระดูกจนเกิดเสียงกร็อบราวกับมันแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“อ๊าก…!”
ชายร่างผอมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
แย่ล่ะ!
หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้าน เขายื่นมือออกไปปิดปากของอีกฝ่าย ทำให้เสียงกรีดร้องเงียบหายไป
แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ถึงเสียงกรีดร้องของชายร่างผอมจะดังเพียงชั่วครู่ แต่มันก็ดังมากพอที่จะกระจายออกไปนอกบ้าน ทำให้ผู้คนทั้งหลายในหมู่บ้านได้ยิน
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เสียงของอูอวี่นี่!”
“ไปเถอะ ไปดูกัน!”
ไม่ช้า เสียงทั้งหลายผสานเข้ากับเสียงฝีเท้ารวมตัวมาแต่ไกล
สีหน้าของเฉินซีก็พลันมืดมนหลังจากสัมผัสทั้งหมดนี้ได้ แล้วจิตสังหารก่อตัวขึ้นภายใน แม้จะอยากสังหารชายร่างผอมตรงหน้าเสียให้ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องยั้งมือเอาไว้
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงอึกทึกทั้งหลายก็มาถึงนอกประตูพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่หยุดลง
“ทุกท่าน รีบมาช่วยข้าที!”
ชายร่างผอมตะโกนสุดเสียง
การกระทำนี้ทำให้สีหน้าของเฉินซียิ่งมืดมน ร่างของเขาวูบไหวก่อนจะกดชายร่างผอมลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังปัง
“อูอวี่หรือ? ทำไมเจ้าถึง…”
“เจ้าคนบัดซบ พวกข้าอุตส่าห์หวังดีช่วยเจ้า แต่กลับมาทำตัวเช่นนี้!”
“ตาย! มาช่วยกันฆ่าเจ้าคนเนรคุณนี่ด้วยกันเถอะ!”
เมื่อผู้คนในหมู่บ้านเห็นเหตุการณ์นี้ก็พากันเดือดดาล พวกเขาชี้นิ้วมาที่เฉินซีโดยไม่สนใจว่าความจริงแล้วมันเป็นเช่นไร จากนั้นจึงพุ่งเข้ามาภายในบ้าน
ครืนนน!
ก่อนเฉินซีจะทันได้อธิบาย คนเหล่านี้ก็โจมตีเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับทุบบ้านจนวินาศสันตะโร ทำให้ห้วงอากาศสั่นไหวก่อนสถานการณ์จะตกอยู่ในความโกลาหล
“เจ้าสารเลวพวกนี้!”
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเดือดดาลหลังจากเห็นเช่นนี้ เขาเตะชายร่างผอมอย่างแรง จากนั้นจึงออกจากห้องไปในพริบตา
“ทุกท่าน โปรดฟังข้าอธิบายก่อน…”
เฉินซีอยากแก้ต่างให้ตัวเอง
แต่สิ่งที่ทำให้เขาขนลุกก็คือชาวบ้านเหล่านี้ไม่ฟังคำอธิบายแม้แต่น้อย พวกเขาแผดเสียงคำรามขณะพุ่งเข้ามาหาคนแล้วคนเล่าประหนึ่งอีกฝ่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจ
สถานการณ์ตกอยู่ในความโกลาหลทันที
……….