บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 155 พบโดยบังเอิญ
บทที่ 155 พบโดยบังเอิญ
บทที่ 155 พบโดยบังเอิญ
ยอดเขาใจสัจธรรม
ภายหลังจากจัดการเรื่องของเฉินฮ่าวกับเมิ่งคงจนเรียบร้อยแล้ว เฉินซีก็ทะยานขึ้นไปทางหลังเขาซึ่งเป็นอาณาเขตต้องห้ามของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรทันที
เวลานี้บุตรสาวของท่านน้าไป๋…ซีซี ได้ถูกเจียงชิงผู้อาวุโสหญิงของพระราชวังข่ายดาราจับตัวไปและไม่แน่ว่านางจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ สถานการณ์ของนางในตอนนี้เขาเองไม่อาจรู้ได้ แต่ที่รู้เขาจะต้องตามหาเป่ยเหิงผู้เป็นบรรพจารย์สูงสุด จากนั้นจึงค่อยมุ่งหน้าไปยังพระราชวังข่ายดารา เพื่อหาทางบีบให้ทางพระราชวังข่ายดารายอมปล่อยตัวเสี่ยวซีออกมา!
พระราชวังข่ายดาราเป็นหนึ่งในกองกำลังแปดแห่งขนาดใหญ่ของเมืองทะเลสาบมังกร ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจเทียบได้กับนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ทว่าในนั้นมีผู้บ่มเพาะในขอบเขตจุติหลายคน อีกยังมี ‘ฉ่าวเส้า’ ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาคอยปกป้อง ฉะนั้นจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
ลำพังพลังของตนเองตอนนี้ การที่เฉินซีต้องการทำลายพระราชวังข่ายดาราด้วยกำลังของตัวเองนั้นไม่ต่างกับมดตัวจ้อยที่คิดจะโค่นต้นไม้ใหญ่ การไปที่นั่นคนเดียวไม่ต่างจากการไปรนหาที่ตาย เหตุที่เขาดึงเป่ยเหิงให้เข้ามามีส่วนร่วม เพราะชายหนุ่มต้องการใช้ประโยชน์จากอำนาจและอิทธิพลของอีกฝ่ายบีบให้พระราชวังข่ายดาราปล่อยตัวเสี่ยวซี ขณะเดียวกันเรื่องจะขอให้เป่ยเหิงปะทะกับพระราชวังข่ายดารานั้นดูจะเป็นไปไม่ได้
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเป่ยเหิงนั้นเกิดขึ้นได้เพราะสตรีที่ปลอมกายเป็นชายหนุ่มรูปงามเท่านั้น ดังนั้นเป่ยเหิงจะยอมถลำเป็นอริกับพระราชวังข่ายดาราอย่างง่าย ๆ ได้อย่างไร
แต่หากจะใช้อำนาจและอิทธิพลของเป่ยเหิง ด้วยการขอให้อีกฝ่ายขอร้องทางพระราชวังข่ายดาราเป็นการส่วนตัว เฉินซีค่อนข้างแน่ใจว่าอีกฝ่ายน่าจะยอม
ฟิ้วววว!
ลำแสงพาดผ่านไปบนท้องฟ้าเพียงชั่วไม่กี่อึดใจ เฉินซีก็มาถึงที่ทะเลสาบสีครามอันเงียบสงบท่ามกลางหุบเขาอีกครั้ง
“พี่ใหญ่เป่ยเหิง” ชายหนุ่มมองเห็นเป่ยเหิงที่สวมเสื้อคลุมสีเทาและเส้นผมสีดอกเลาจากระยะไกลได้ทันที ขณะนั้นอีกฝ่ายกำลังนั่งอยู่กลางดอกบัวที่ลอยอยู่ในทะเลสาบขณะฝึกบ่มเพาะพลัง ชายหนุ่มรีบประสานกำปั้นคารวะพร้อมกล่าวทักทายมาแต่ไกลทันที
“น้องชาย ดูเจ้าร้อนใจเช่นนั้น มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ” ทันทีที่เป่ยเหิงลืมตาขึ้นมอง สายตาคมปลาบดั่งสายฟ้าฟาดพลันพุ่งวาบผ่านหน้าเฉินซี จากนั้นจึงเสียงถามด้วยความประหลาดใจก็ดังขึ้น
“ขอตอบตามตรง ที่มาครั้งนี้ข้ามีเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่…” ต่อมาเฉินซีได้ถ่ายทอดทุกอย่างให้คนตรงหน้าทราบทันที หลังจากพูดจนหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองเป่ยเหิงอย่างเงียบงัน
“พวกมันทำเกินกว่าเหตุ!” แววตาเย็นเยียบฉายวาบในดวงตาของเป่ยเหิง จากนั้นเขานิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบให้ว่า “น้องเล็ก เจ้าอยากให้ข้าช่วยอะไร”
คนถูกถามกล่าวช้าชัด “ข้าหวังว่าพี่ใหญ่เป่ยเหิงจะออกหน้าให้พวกนั้นเห็นเป็นที่ประจักษ์ และขอให้พระราชวังข่ายดาราปล่อยตัวเสี่ยวซี ตราบใดที่นางได้รับการช่วยเหลือกลับมาอย่างปลอดภัย เพียงเท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว ส่วนเรื่องอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าจัดการเองขอรับ”
เป่ยเหิงย้อนถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “น้องเล็ก แล้วเจ้าจะปล่อยพระราชวังข่ายดาราไปอย่างนั้นหรือ อย่างนี้พวกเขาจะยิ่งได้ใจน่ะสิ!”
เฉินซีส่ายศีรษะพลางตอบว่า “ข้าเข้าใจความคิดของพี่ใหญ่ดี ทว่าหากมันทำให้นิกายกระบี่เมฆาพเนจรของเราต้องกลายเป็นศัตรูกับพระราชวังข่ายดารา ข้าก็รู้สึกไม่ดีเหมือนเป็นบาปติดตัวไปด้วย”
ผู้เป็นพี่ใหญ่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เรื่องนั้นก็จริงอยู่ อนิจจา…หากไม่ได้เห็นแก่ศิษย์นิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้วละก็ เห็นทีคราวนี้ข้าจะต้องทำลายพระราชวังข่ายดาราให้พินาศแน่!”
‘สหายเฒ่า…พูดจาเสแสร้งชัด ๆ…’ เฉินซีนึกพลางลอบถอนใจเล็กน้อยแต่ภายนอกของเขาไม่ได้แสดงออกถึงสิ่งที่คิด
อย่างน้อยเขาก็ทำให้เป่ยเหิงยอมออกหน้าแทนเขาได้สำเร็จ ซึ่งเท่านี้ก็ช่วยได้มากแล้ว เขายังจะไม่พอใจอะไรอีกได้อย่างไร
ความสัมพันธ์เพียงผิวเผินที่เรียกว่าผลประโยชน์เป็นอย่างนี้เอง เมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกัน คนคนหนึ่งก็จะเรียกอีกคนหนึ่งว่าเป็นพี่เป็นน้อง สรวลเสเฮฮาร่วมวงดื่มสุรา มีความใกล้ชิดสนิทสนม แต่เมื่อใดที่ไร้ซึ่งผลประโยชน์ที่จะได้ คนคนนั้นจะมีท่าทีแตกต่างไป ผลักไสไล่ส่ง ไม่จริงใจต่อกันและอาจถึงจุดแตกหักของความสัมพันธ์ก็เป็นไปได้
ความรู้สึกนั้นก็เช่นเดียวกับเวลาได้ดื่มน้ำ จะมีก็เพียงเจ้าตัวคนนั้นที่รับรู้ว่าน้ำเย็นหรือน้ำร้อนแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ในความคิดของเป่ยเหิงมองว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง ไม่เพียงเขาจะสามารถช่วยเฉินซีแก้ปัญหาในขณะที่ฝ่ายนั้นต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเท่านั้น แต่ยังทำให้ชายหนุ่มเป็นหนี้บุญคุณเขาด้วย และเมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วการแลกเปลี่ยนครั้งนี้นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก
…
พระราชวังข่ายดาราอยู่ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองทะเลสาบมังกร สถานที่นี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่มาก มีตำนานเล่าขานว่าเทือกเขาแห่งนี้ก่อตัวขึ้นภายหลังปรากฏการณ์อุกกาบาตนอกโลกตกลงมา จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานนับพันปีจึงเกิดเป็นแร่ธาตุและสินแร่อันเต็มไปด้วยปราณวิญญาณขึ้นมา แม้กระทั่งมีร่องรอยสายพลังแห่งดวงดาวมากมายอยู่ภายใน สถานที่นี้จึงได้ชื่อว่า ‘ภูเขาดาวตก’
เมื่อเฉินซีมาถึงท้องฟ้าเหนือภูเขาดาวตก เขาก็เห็นยอดเขามากมายที่สูงขึ้นมาจากพื้นดินเบื้องล่าง ภูเขาบางลูกสูงตระหง่านราวกับพุ่งทะลุเข้าไปในก้อนเมฆ ภูเขาบางลูกมีความสวยงาม ในขณะที่บางลูกปกคลุมไปด้วยก้อนหินขรุขระตะปุ่มตะป่ำและมีรูปร่างแปลกตา บางลูกรายล้อมไปด้วยน้ำตกหลายแห่ง ใครก็ตามที่อยู่กลางอากาศแล้วมองลงมา จะสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณหนาแน่นซึ่งปลดปล่อยออกมาจากภูเขาที่มีขนาดมหึมาเหล่านั้น ราวกับได้อำนวยพรแห่งความสุขตราบนิจนิรันดร์
“พวกเรามาถึงภูเขาดาวตกอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังข่ายดาราแล้ว” เสียงลุ่มลึกของเป่ยเหิงเอ่ยขึ้น “สามพันปีก่อน พระราชวังข่ายดาราเป็นใหญ่ในเขตแดนทางใต้ มีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีอยู่หลายสิบคน โชคร้ายที่ในครั้งนั้นคนส่วนใหญ่ต้องมาตายลงระหว่างทำการปราบนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต มิฉะนั้นคงยากหรืออาจเป็นไปไม่ได้เลยที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรของข้าจะเจิดจรัสเหนือผู้คนและสามารถขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดของเขตแดนทางใต้เช่นเวลานี้”
เฉินซีนิ่งฟังพลางพยักหน้าเนิบ ๆ คาดเดาได้ยากว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“ไปกัน…ต่อให้บนภูเขาจะมีค่ายกลหมื่นข่ายดาราจักร เชื่อมต่อฟ้าดินอยู่ก็ขัดขวางข้าไม่ได้ ถึงอย่างไรข้าก็จะพาเจ้าเข้าไปให้จงได้” เป่ยเหิงพลันสะบัดปลายแขนเสื้อของเขาขึ้นปกคลุมเฉินซีเอาไว้ ก่อนที่ทั้งสองจะทะยานมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาในชั่วพริบตา ตลอดทางพวกเขาเคลื่อนตัวไปโดยไร้สิ่งกีดขวาง และในเวลาไม่นาน ภูเขาที่สูงตระหง่านก็ปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางในขอบฟ้าที่ไกลแสนไกล
อาคารที่ยาวต่อกันเป็นแถวเป็นแนวมีสีขาวบริสุทธิ์ดั่งอัญมณีหยกสร้างอยู่บนส่วนยอดเขา และเมื่อมองมาจากระยะไกลจะมีรูปร่างคล้ายมังกรลำตัวสีขาวหลายตัวเกาะเกี่ยวพันกันอยู่บนภูเขาซึ่งเป็นภาพที่งดงามนัก
บริเวณนั้นเป็นจุดที่สูงที่สุดของพระราชวังข่ายดารา…ยอดเขาหมื่นดาราจักร ศิษย์ชั้นอาวุโสของพระราชวังข่ายดารานับหลายพันคนพากันขึ้นมาแผ้วถางที่ทางไว้เป็นที่พำนักของตนขณะฝึกบ่มเพาะพลังและแสวงหาเต๋าบนภูเขา ขณะที่บนยอดเขามีวังหลังใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยสดงดงาม เหนือภูเขาปรากฏตัวอักษรส่องประกายสีทองเรืองรอง ‘พระราชวังข่ายดารา’ ในส่วนของอาคารพระราชวังก็ปกคลุมด้วยแสงวิบวับดั่งดินแดนในจิตนาการบนท้องฟ้า สวยงามและอลังการราวกับสรวงสวรรค์ จนทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกตัวเล็กลงประหนึ่งมดน้อยตัวกะจ้อยร่อย
“หืม?” เวลานั้นทั้งสองคนอยู่ห่างจากยอดเขาสูงเพียงหนึ่งร้อยลี้เห็นจะได้ เป่ยเหิงอุทานด้วยความแปลกใจ ดูท่าว่าเขาจะสังเกตเห็นสถานการณ์บางอย่างขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ไม่ทันที่เฉินซีจะตอบสนองอย่างใด เป่ยเหิงพลันสะบัดชายแขนเสื้อขวับก่อนจะพาเฉินซีทะยานวูบลงสู่หุบเขาที่ซ่อนตัวทันทีและหายวับไปทั้งสองคน
จังหวะนั้นเอง เฉินซีสังเกตเห็นว่าเหนือวังมีสตรีสวมชุดขาวปรากฏกายด้วยท่วงท่าสง่างาม อีกคนเป็นบุรุษหนุ่มหน้าตาดูร้ายกาจทว่ามีเสน่ห์ล้ำลึก ด้วยผมสีแดงดั่งเปลวเพลิง อีกทั้งยังมีรูปร่างสูงใหญ่ คนสุดท้ายเป็นชายชรารูปร่างผอมบาง ผมขาวทั้งศีรษะ ทว่าสีหน้าเรียบเนียนแลดูอ่อนเยาว์
ท่านน้าไป๋!
เมื่อเห็นคนตรงข้ามถนัดตา เฉินซีก็หรี่ตาลงเล็กน้อย เขาจำได้ทันทีว่าสตรีสวมชุดขาวก็คือไป๋หว่านฉิง คนที่ดูแลเขาเสมือนคนในครอบครัวคนหนึ่ง!
‘เหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่? จากที่ท่านลุงเมิ่งคงเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่าหลังจากที่เสี่ยวซีถูกจับตัวนางก็หายไป และนางได้ประกาศเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งนางกลับมาทำลายพระราชวังข่ายดาราให้พินาศจงได้ นางมาเพื่อแก้แค้นอย่างนั้นหรือ?’
‘ชายหนุ่มผมแดงและชายชราที่ยืนข้างนางเป็นใคร คนเหล่านี้มาช่วยเหลือนางอย่างนั้นหรือ?’
ครู่หนึ่งเฉินซีเกือบอุทานด้วยความตกใจก่อนที่ความคิดมากมายจะแวบผ่านเข้ามาในหัว การมาพบกับไป๋หว่างฉิงที่นี่เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มไม่คาดฝันมาก่อนอย่างยิ่ง
“น่ากลัว! ตอนนี้พลังของข้าเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีขั้นสองแล้ว และยังสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์ได้ถึงสองครั้งสองครา แต่กลับไม่สามารถมองทะลุพลังแกร่งกล้าของเฒ่าชราคนนั้นได้! เห็นทีว่าขั้นพลังของเขาจะสูงกว่าขั้นพลังของข้าเอาการ!” สีหน้าของเป่ยเหิงแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขณะที่เจ้าตัวเอ่ยพูดผ่านกระแสปราณ “เฉินซี เจ้าต้องระวังให้มากโดยเฉพาะสามคนที่มาเยือนพระราชวังข่ายดารานั่น เห็นได้ชัดว่าพวกมันมีเจตนาไม่ดี พวกเราซ่อนตัวก่อนและคอยสังเกตการณ์จะดีกว่า”
ขอบเขตเซียนปฐพีมีชื่อเรียกอีกชื่อด้วยว่าเซียนปฐพีผู้พิชิตทัณฑ์สวรรค์ ทุกครั้งที่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีสามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ เขาจะประสบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทีเดียว และหากใครที่สามารถพิชิตทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าได้สำเร็จ คนผู้นั้นจะบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ ก่อนที่จะปล่อยวางและหลุดพ้น
แต่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา คนที่สามารถพิชิตระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าได้นั้นมีแค่เพียงหนึ่งในล้าน โอกาสที่จะเกิดก็เหมือนกับขนของวิหคเพลิงหรือเขาของกิเลนนั่นเอง ซึ่งผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่จะจบชีวิตลงด้วยทัณฑ์สวรรค์หรือถ้าโชคดีรอดตายหลังจากผ่านไม่สำเร็จก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์และไม่ใช่ทั้งเซียน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเซียนตกอับ
เซียนตกอับนั้นแข็งแกร่งพอ ๆ กับขอบเขตเซียนปฐพี แต่ถ้าคนที่เป็นเซียนตกอับอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเขาจะต้องเอาพิชิตระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ยกเว้นเสียแต่ว่าเซียนตกอับจะได้กลับไปเกิดใหม่ มิฉะนั้นเซียนตกอับจะต้องตายด้วยทัณฑ์สวรรค์อยู่วันยังค่ำ
แน่นอนเมื่อใดก็ตามที่เซียนตกอับพิชิตทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ ความแกร่งกล้าของเขาจะพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน ในสมัยบรรพกาลเคยมีเซียนตกอับที่ต้องทุกข์ทรมานด้วยคลื่นทัณฑ์สวรรค์นับร้อยครั้ง จึงทำให้มีความแข็งแกร่งพอที่จะดูแคลนผู้บ่มเพาะธรรมดาและปราบคนที่เป็นเซียนสวรรค์ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว ทว่า โดยทั่วไปแล้วเซียนตกอับส่วนใหญ่มักเลือกที่จะกลับไปเกิดใหม่และไม่มีใครอยากใช้ชีวิตด้วยการต้านทานทัณฑ์สวรรค์ไปตลอดกาล
ในที่สุดแล้วทัณฑ์สวรรค์มาจากเต๋าแห่งสวรรค์สูงสุด ดังนั้นมันจึงมีความน่ากลัวเกินกว่าจะหาสิ่งใดเปรียบ หากพลาดเพียงครั้งเดียววิญญาณอาจถูกทำลายจนสูญสลายไปจากสวรรค์และพิภพตลอดกาลจนหมดโอกาสที่จะได้ไปเกิดใหม่
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเซียนปฐพีหรือเซียนตกอับ พวกเขาล้วนจัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ผ่านเข้าสู่สวรรค์และโลกได้อย่างง่ายดาย สำหรับเฉินซีในตอนนี้ยังนับว่าไกลเกินเอื้อม อย่าว่าแต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลอย่างเขา แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาก็ยังเป็นแค่มดน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าคนเหล่านั้น
ดังนั้น เมื่อชายหนุ่มได้ยินเป่ยเหิงเอ่ยถึงความแข็งแกร่งของชายชราคนเบื้องหน้าขึ้นมาลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเช่นนี้ หัวใจของเฉินซีก็เต้นระรัวทันที
‘ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านน้าไป๋จะมีคนที่ช่วยเหลือเป็นคนที่น่าเกรงขามเช่นนี้…นางมีเบื้องหลังที่ลึกลับและแข็งแกร่งกว่าที่ข้าเคยคิดไว้!’ อันที่จริง เฉินซีสังเกตเห็นมานานแล้วว่าคนเช่นไป๋หว่านฉิงนั้นค่อนข้างพิเศษนัก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจว่าที่แท้นางมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาและเกินกว่าที่เขาเคยจินตนาการด้วยซ้ำ
“หือ?” ทันทีที่เฉินซีมาถึงพร้อมกับเป่ยเหิง ดูเหมือนชายชราที่ยืนอยู่เคียงข้างไป๋หว่านฉิงจะรู้ได้ทันที สายตาของฝ่ายนั้นพลันตวัดผ่านมา ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกราวกับร่างกายกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นทะเลเวิ้งว้างไร้จุดหมาย แรงกดดันหนักหน่วงเสียจนทำให้ชายหนุ่มหายใจติดขัดอย่างรุนแรงและมีอาการทุรนทุรายเหมือนกำลังจะตาย
เคราะห์ยังดีที่สายตาของชายชราชะงักหยุดเพียงเท่านั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะทะยานลงมาทางเป่ยเหิง หลังจากเหลือบมองเป่ยเหิงอย่างประเมินท่าทีชั่วครู่ แววตาประหลาดใจพลันปรากฏออกมาทางสีหน้าของคนผู้นั้นและเบนสายตาไปทางอื่นทันที
“พี่ใหญ่เป่ยเหิง คนผู้นั้นเห็นพวกเราแล้วขอรับ!” เฉินซีบอกผ่านกระแสปราณ ทันทีที่หวนนึกถึงตอนที่กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวกดทับลงมา และกระแสเย็นวาบวิ่งเข้าจับขั้วหัวใจ
“ข้ารู้… ข้าเพิ่งใช้จิตสัมผัสเทพต่อสู้กับเขาและได้บอกไปแล้วว่าข้าจะไม่เข้าแทรกแซงเรื่องนี้” เป่ยเหิงหยุดเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “อีกอย่างข้าก็เข้าไปแทรกแซงไม่ได้ด้วย ข้าแปลกใจอยู่อย่างว่าคนผู้นั้นมาจากที่ใด เขาไม่ใช่คนจากเขตแดนทางใต้ของเราแน่นอน และบางทีจะไม่ใช่ผู้บ่มเพาะในแผ่นดินราชวงศ์ซ่งด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเขตแดนทางใต้ เขตฝั่งทะเลตะวันออก เขตที่ราบตอนกลางหรือแม้แต่เขตแดนเถื่อนตอนเหนือ ข้าเคยได้ยินชื่อของตัวตนที่บรรลุขอบเขตเซียนปฐพีมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีคนคนนี้มาก่อน”
‘เขตแดนทางใต้ เขตแดนเถื่อนทางเหนือ เขตทะเลตะวันออก เขตที่ราบภาคกลาง…’ ขณะนั้นเฉินซีครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ อาณาเขตในแผ่นดินราชวงศ์ซ่งแบ่งออกเป็นพื้นที่ใหญ่สี่แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งห่างไกลกันมากนับเป็นระยะทางหลายล้านลี้ พื้นที่แต่ละแห่งกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่อันประกอบไปด้วยทรัพยากร เป็นที่ตั้งของนิกายต่าง ๆ มากมาย ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบที่ราบตอนกลาง
เนื่องด้วยบริเวณที่ราบตอนกลางเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงแห่งต้าซ่ง…นครหลวงธารสายไหม ซึ่งเต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่ามากมาย ทิวเขาและแม่น้ำที่สวยงาม นิกายโบราณที่สืบทอดกันมานานสองสามแสนหรือแม้แต่สองสามล้านปีก็อยู่ที่นั่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเขตแดนทางใต้ เขตแดนเถื่อนทางตอนเหนือ หรือฝั่งทะเลตะวันออก ผู้บ่มเพาะไม่ว่าที่ใดในโลกนับว่ายังห่างไกลเมื่อเทียบกับพวกในที่ราบตอนกลาง
กล่าวโดยสรุปก็คือ ที่ราบตอนกลางถือเป็นศูนย์กลางของราชวงศ์ซ่ง โดยมีนิกายที่หนาแน่นประหนึ่งต้นไม้ในป่าใหญ่ พวกเขามีทักษะในการสืบทอดเต๋ามากมาย มันจึงถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะพลังในหัวใจของผู้บ่มเพาะทุกคน!
อย่างไรก็ตาม เวลานี้กระทั่งเป่ยเหิงยังยอมรับว่าแท้จริงแล้วชายชราแปลกหน้าไม่ใช่ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในแผ่นดินซ่ง ทำให้หัวใจของเฉินซีไหววูบไปทันที ‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านน้าไป๋ก็ไม่ใช่คนในแผ่นดินซ่งเหมือนกัน?’
“สองปีก่อนข้าเคยบอกว่าจะกลับมาทำลายพระราชวังข่ายดาราของพวกเจ้าให้พินาศ วันนี้ข้าจะทำให้พวกเจ้าทั้งหมดตายพร้อมกันอย่างรวดเร็ว ปล่อยตัวลูกของข้าออกมา มิฉะนั้นคนทั้งนิกายของเจ้าต้องทนทุกข์เพราะถูกทรมานวิญญาณอย่างไม่มีวันจบสิ้น และไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดกาล!” น้ำเสียงเย็นเยือกของไป๋หว่านฉิงกล่าวมาจากขอบฟ้าไกลโพ้น หางเสียงเผยให้เห็นความเกลียดชังอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแฝงความอำมหิตที่สามารถทำให้คนที่ได้ยินถึงกับสั่นสะท้านเย็นสันหลังวาบด้วยความหวาดกลัว