บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1553 การต่อสู้ที่สั่นสะเทือน
บทที่ 1553 การต่อสู้ที่สั่นสะเทือน
……….
บทที่ 1553 การต่อสู้ที่สั่นสะเทือน
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มได้สังหารทวยเทพทั้งหลายผ่านกระบี่ของเขา!
ทุกคนตกอยู่ในความตะลึงงัน
เลือดของเทพเซียนหลั่งรินจากผืนฟ้าพร้อมกับแขนที่ขาดสะบั้น เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องในระหว่างที่ความตายคืบคลาน มันเป็นเหตุการณ์อันงดงามทว่าก็น่าสะพรึงกลัวในคราวเดียวกัน ไม่ว่าใครได้พบเห็นก็ต้องสั่นสะท้านไปถึงขั้ววิญญาณ
เถี่ยคุนและชาวบ้านคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
เมื่อห้าวันก่อน เฉินซียังคงบาดเจ็บหนักและอยู่ในสภาพที่อ่อนแอเกินกว่าจะทำสิ่งใดไหว ทว่าในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงห้าวัน เขากลับกลายเป็นคนละคน ชายหนุ่มในตอนนี้เป็นผู้ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทาน ราวกับเป็นจักรพรรดิกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่เหนือคน ในทีแรก เขาสังหารเทพเซียนทั้งสามด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มาคราวนี้ เขาได้สังหารเทวารู้แจ้งโลกาทั้งหกด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเช่นกัน!
ใครจะกล้าคิดว่าคนผู้นี้จะมีพลังการต่อสู้ที่เย้ยสวรรค์เช่นนี้?
หากคนเหล่านี้รู้ว่าเฉินซีเพิ่งฟื้นพลังของตนได้เพียงเจ็ดในสิบส่วน คงจะอ้าปากค้างจนกรามตกพื้นอย่างแน่นอน
…
เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกันเมื่อสามารถจัดการกับเทวารู้แจ้งโลการทั้งหกได้ในคราวเดียว
ดูเหมือนการโจมตีครั้งนี้จะประสบความสำเร็จอย่างง่ายดาย แต่แท้จริงแล้ว เขาเองก็ทุ่มสุดกำลังไม่น้อย คราวแรก เขาใช้ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์เพื่อหยุดสตรีชุดเหลือง อวี้เฉินเอาไว้ ก่อนจะใช้กระบวนท่าสะบั้นไร้ลักษณ์นับพันครั้งในคราวเดียว การโจมตีเช่นนี้ทำเอาพลังศักดิ์สิทธิ์แทบแห้งเหือดในทันที แต่กระนั้น ผลลัพธ์ของมันก็เป็นที่น่าพอใจไม่น้อย
โชคดีที่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลือในร่างกายของข้าเพียงพอที่จะพยุงข้าไว้จนกว่าจะได้จัดการแม่นางผู้นี้! ตอนนั้นเอง เฉินซีจ้องมองไปที่หญิงสาวในชุดสีเหลืองซึ่งอยู่ไกลออกไป อวี้เฉินนั่นเอง
โครม!
ฉับพลัน อวี้เฉินได้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ชั้นยอด ‘ร่างแปลงหมื่นลักษณ์’! ร่างของนางสั่นไหวก่อนจะแปลงกายเป็นวิหคอมตะสีเงิน ทั่วทั้งเรือนกายของนางเรืองแสงไปด้วยประกายสายฟ้า ก่อนที่มันจะกระแทกเข้ากับตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ และแหกพันธนาการออกไป
ฟึ่บ!
ผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างของนางก็เปล่งประกายและกลับคืนสู่สภาพเดิม คิ้วดำเข้มเลิกขึ้นเบา ๆ ในขณะที่ดวงตาทั้งสองฉายแสงแปลบปลาบของสายฟ้า ตอนนั้นเอง รัศมีของนางก็กล้าแกร่งขึ้นทันที
“ข้าต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไป ความแข็งแกร่งที่เจ้ามีคงไม่ด้อยกว่าเทวารู้แจ้งโลการะดับสูงในดาราจักรทั้งสามพันแห่งของเอกภพมสิหิม” อวี้เฉินพูดอย่างใจเย็น นางไม่เร่งร้อนที่จะโจมตีเลยแม้แต่น้อย เส้นผมสยายยาวพัดไหว รูปร่างเพรียวบางอันสง่างามขยับไปมา ต่างจากใบหน้างดงามที่มีเพียงความเย็นชาไม่แยแสต่อสิ่งใด “แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้ ไม่มีทางจะทำอะไรข้าได้หรอก”
เฉินซีตอบโต้อย่างเย็นชา “ฮ่า ๆ! ข้าล่ะอยากรู้เสียจริงว่าอะไรที่ทำให้เจ้ามั่นใจถึงเพียงนั้น”
ขณะที่พูด ชายหนุ่มก็พยายามอย่างเต็มที่ในการฟื้นฟูพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในร่างกาย น่าเสียดายที่ศักยภาพของต้นอ่อนเงาทมิฬนั้นเทียบไม่ได้กับผลึกศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นเรื่องยากมากที่มันจะให้ผลลัพธ์ในระดับที่น่าพึงพอใจในช่วงเวลาสั้น ๆ
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงคุณค่าของผลึกศักดิ์สิทธิ์ สำหรับแดนโลกาวินาศนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่ขาดแคลนอย่างยิ่ง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำสิ่งใดโดยไม่พึ่งผลึกศักดิ์สิทธิ์
“ข้าไม่ได้มั่นอกมั่นใจอะไร เพียงแต่พูดไปตามความจริงเท่านั้น” อวี้เฉินทัดผมของนางแนบกับใบหู “อันที่จริง หากเจ้าไม่เต็มใจจะเป็นทาสเทพของนายน้อยสามละก็ ข้าก็มีทางเลือกที่สองให้เจ้า”
ท่าทางของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“นั่นก็คือการที่เจ้าจะต้องมาเข้าร่วมตระกูลอวี้ของข้า!” อวี้เฉินพูดอย่างตรงไปตรงมา
“แล้วหากข้าเป็นพวกอ่อนแอเล่า เจ้าจะทำเช่นไร?” เฉินซีถาม
“เจ้าก็คงจะตายไปนานแล้ว” อวี้เฉินไม่อดทนต่อการเล่นลิ้นของอีกฝ่าย นางตรงเข้าประเด็นทันที “เฉพาะผู้ที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอจึงจะได้รับการยอมรับจากผู้อื่น เจ้าไม่คิดว่าจริงหรือ?”
เฉินซีเริ่มนึกขันขึ้นมา “เช่นนั้น ข้าก็ควรจะขอบคุณเจ้าที่นึกถึงคนอย่างข้าสินะ”
อวี้เฉินขมวดคิ้วด้วยรู้สึกไม่พอใจต่อคำพูดนั้น “จะเรียกว่าเป็นโชคหล่นทับก็ได้ ตอนนี้ข้าได้แสดงความจริงใจต่อเจ้าอย่างสุดซึ้งแล้ว หากเป็นคนอื่น ข้าก็คงจะไม่สนใจขนาดนี้”
น้ำเสียงของนางแสดงถึงความเหนือกว่าอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มคล้ายจมลงสู่ความคิด “สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในแดนเทพโบราณของเจ้าเหมือนกับเจ้าทุกคนเลยหรือ? นี่พวกเขาล้วนแต่รับคนจากภพเบื้องล่างมาเป็นพวกเสมอ ตราบใดที่พอใจอย่างนั้นสินะ”
อวี้เฉินขมวดคิ้วอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ ในที่สุดนางก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายแล้ว “ดูเหมือนเจ้าจะดื้อด้านพอตัวเลยนะ คงตั้งใจจะสู้ต่อจนกว่าจะถึงที่สุดละสิ?”
เฉินซีตอบอย่างไม่แยแส “ข้าเป็นพวกที่อยากได้สิ่งใด ก็มักจะต่อสู้เพื่อให้ได้มาเสียด้วย”
“เยี่ยม!” สายตาของหญิงสาวพลันแข็งกร้าว นางเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วยังเฉินซีราวกับแสงที่พุ่งลงมา ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาอยู่ตรงนั้น หากร่างแท้จริงกลับเคลื่อนไปไกลมากโข เป็นความเร็วที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเชื่อสายตา
ย่ำย่างปฐพี!
มันคือพลังอิทธิฤทธิ์ชั้นยอดประเภทหนึ่งที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าการเคลื่อนย้ายมิติทั่ว ๆ ไป ว่ากันว่าเมื่อเริ่มเคลื่อนไหว โลกาก็ผันผ่าน ทิ้งห่างทุกสรรพสิ่งได้ในก้าวเดียว
ชิ้ง!
แสงอันศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายในขณะที่ร่างของเฉินซีเคลื่อนตัวไปด้านข้าง ชายหนุ่มใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิงเพื่อให้พื้นที่มิติถูกแยกออกอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่ามันไม่ได้ด้อยกว่าวิชาย่ำย่างปฐพีเลยแม้แต่น้อย
แกร๊ง!
การเคลื่อนไหวของอวี้เฉินนั้นรวดเร็วมาก อาภรณ์ของนางกระพือพัดพร้อมกับร่างกายที่ขยับย่างไม่ต่างภูตผี ฝ่ามือเรียวผ่าฟ้าดินออกเป็นส่วน ๆ ด้วยความรวดเร็ว ดุดัน และเหี้ยมโหด
หลังจากพลาดไปคราหนึ่ง ร่างของนางก็พลันวูบไหว ท่อนขาเรียวยาวของนางกวาดออกไปไม่ต่างฟาดแส้
หวด!
พื้นที่มิติหลงเหลือเพียงความยุ่งเหยิงยามเมื่อมันฟาดเข้าหาเฉินซีอย่างดุเดือด
นี่คือลักษณะของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่บ่มเพาะทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร พวกเขามีร่างกายที่ไร้เทียมทานและแข็งราวกับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ ทั่วทุกส่วนของร่างกายสามารถระเบิดพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
เฉินซีเลิกคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ ครั้งหนึ่งเขาเคยบ่มเพาะทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรมาก่อน แน่นอนว่าวิชาเช่นนี้เขาย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี มันเป็นวิชาที่ยากจะรับมือและไร้ซึ่งจุดอ่อนใด ๆ
กระนั้นมันก็หาทำให้เขากลัวไม่
เฉินซีไม่หลบอีกต่อไป ยันต์ศัสตราทะยานผ่านผืนฟ้าในขณะที่แสงกระบี่ค่อย ๆ ฉายวาบขึ้นมา
ตู้ม!
เมื่อพลังทั้งสองปะทะกัน แสงพร่างพรายพลันปะทุขึ้น
ปราณกระบี่ของเฉินซีปะทะเข้ากับเรียวขาของนาง พวกมันเปล่งรัศมีเทวะออกมาครู่หนึ่งก่อนจะเลือนหาย ไม่นานนัก ฟ้าดินอันกว้างใหญ่ก็ตกสู่ความโกลาหล
ฟึ่บ!
ร่างของอวี้เฉินยังคงเปล่งประกายด้วยความสง่างาม หากขาขวานั้นกลับได้รับบาดเจ็บจากปราณกระบี่ เลือดสดไหลออกมาจากบาดแผล ทว่าไม่นานขาของนางก็หายเป็นปลิดทิ้ง ตอนนั้นเองที่หญิงสาวได้สำแดงถึงรัศมีที่ดุดันและน่าเกรงขามอีกครั้ง
เมื่อมองจากที่ไกล หากไม่ใช่เพราะนางเป็นสตรีผู้มีรูปร่างสง่างามอ้อนแอ้น นางก็คงจะดูไม่ต่างอะไรกับสัตว์อสูรบรรพกาลที่มากด้วยความงามทว่าดุร้าย
“สุดท้ายเจ้าก็ทำได้เพียงเท่านี้” อวี้เฉินคลี่ยิ้มผ่านริมฝีปากแดงสด ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าประหนึ่งสัตว์ร้ายจ้องเนื้อชิ้นมัน
“หึ!” เฉินซีแค่นเสียงเย็น เขาโจมตีนางอีกครั้งด้วยกระบี่ในมือ ในชั่วพริบตา ชายหนุ่มก็งัดเอาทักษะกระบี่ชั้นยอดทั้งหลายออกมาใช้เพื่อฉีกโลกเป็นชิ้น ๆ ทำลายธาตุทั้งห้าด้วยจิตสังหารที่ทะลุเกินพิกัด
ดวงตาของอวี้เฉินหรี่ลง นางไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย ร่างระหงพุ่งเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามด้วยความรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน นางก็ได้สร้างผนึกจำนวนมากขึ้นมาในมือ ภาพติดตาชั่วขณะทั้งหลายเคลื่อนไปพร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง หญิงสาวในยามนี้ดูคล้ายกับเทพอสูรบรรพกาลผู้เกรี้ยวกราดและเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา คนทั้งสองปะทะกันมากกว่าพันครั้ง คนหนึ่งใช้เต๋าแห่งกระบี่อันไร้เทียมทานซึ่งมีพลังทำลายล้างของทักษะการบ่มเพาะปราณที่รุนแรง ในขณะที่อีกคนนั้นเป็นผู้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ชั้นยอดของทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรซึ่งกล่าวขวัญกันว่าสามารถบดขยี้ผู้บ่มเพาะลมปราณทั้งหลายซึ่งอยู่ในขอบเขตเดียวกัน เรียกได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่เท่าเทียม รัศมีอันสง่างามทั้งสองสั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน แม้แต่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ยังเกือบจะลับเหลี่ยมลงสู่พื้นดิน
ตู้ม!
แรงปะทะเกิดขึ้นอีกครั้ง เสียงระเบิดปะทุขึ้นพร้อมกัน
เห็นได้ชัดว่าอวี้เฉินได้รับบาดเจ็บจากปราณกระบี่ของเฉินซี ร่างกายของนางเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ที่น่าสยดสยองและอาบไล้ไปด้วยเลือดเซียน ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตา หญิงสาวก็กลับคือสู่สภาพปกติ
ฟึ่บ!
นางโจมตีใส่เฉินซีอีกครั้ง วิธีการต่อสู้ดุร้ายและน่าเกรงขามยิ่งกว่าแต่ก่อน มันช่างแตกต่างจากรูปลักษณ์ที่งดงามและเยือกเย็นของนางยิ่งนัก
“ให้ข้าดูหน่อยเถอะว่าเจ้าจะทนได้สักกี่น้ำ!” เฉินซีไม่ได้สั่นไหวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มยังคงถือยันต์ศัสตราไว้ในมือขณะที่ต่อสู้กับนางอีกครั้ง
เขาตระหนักดีว่าตนไม่มีทางจะทำลายล้างนางได้อย่างราบคาบด้วยอาศัยเพียงการบ่มเพาะในปัจจุบันของตัวเอง และนั่นก็หมายความว่าเขาไม่อาจฆ่านางได้ในตอนนี้
กระนั้น แม้ว่าหญิงสาวจะสามารถใช้การขัดเกลาอันน่าเกรงขามเพื่อฟื้นฟูร่างกายตัวเองได้ ทว่าการฟื้นฟูร่างกายแต่ละครั้งนั้นต้องแลกมาด้วยพลังวิญญาณ พลังงาน และแก่นแท้ หากพิจารณาจำนวนครั้งที่นางฟื้นสภาพตัวเอง แน่นอนว่านางไม่มีทางฝืนทนต่อไปได้นานนัก
ในทางกลับกัน เฉินซีกำลังเฝ้ารอจังหวะที่นางเริ่มเหนื่อยล้า!
ชิ้ง!
เฉินซีหยุดคิดถึงเรื่องนี้และมุ่งเป้าไปที่การต่อสู้ เขาใช้เต๋าแห่งกระบี่ของตนด้วยความเด็ดเดี่ยว มันเปลี่ยนฟ้าดินให้กลายเป็นดินแดนแห่งกระบี่ซึ่งเต็มไปด้วยความโกลาหล
ไม่จำต้องกล่าวว่าอวี้เฉินด้อยประสบการณ์และความช่ำชองในการต่อสู้กว่าเฉินซีด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะนางบ่มเพาะทักษะขัดเกลากายา นางก็คงจะถูกฆ่าไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
กร๊อบ!
ผ่านไปครู่หนึ่ง อวี้เฉินก็ถูกโจมตีด้วยปราณกระบี่อีกครั้ง กระดูกคอหักเปราะในทันที แม้ว่านางจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ด้วยความรวดเร็ว หากสีหน้าของนางกลับเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น
หญิงสาวตระหนักได้แล้วว่าความแข็งแกร่งของตนไม่อาจทำอะไรต่อเฉินซีได้มากนัก
โครม!
หลังจากที่ปะทะกันอีกครั้ง ร่างกายของอวี้เฉินก็สะบั้นเป็นชิ้น ๆ ด้วยปราณของเฉินซี มันกลายเป็นพื้นที่มิติขนาดใหญ่ที่เกิดจากการขยายตัวของเลือดเนื้อและชิ้นส่วนที่ถูกตัดขาด เสียงอื้ออึงดังขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่นางจะหยัดตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
ทว่าในคราวนี้ สีหน้าของนางย่ำแย่ลงอย่างมาก
คนผู้นี้น่ากลัวเกินไป! นางไม่เคยคิดเลยว่าคนที่มาจากภพเบื้องล่างและมีระดับการบ่มเพาะเพียงขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาจะเป็นผู้ครอบครองพลังเต๋าแห่งกระบี่ที่สั่นสะท้านไปทั้งแผ่นดินเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้อย่างเฉินซีนั้น มันทำให้นางนึกขยาดขึ้นมาไม่น้อย
อวี้เฉินไม่รู้เลยว่า ก่อนหน้านี้ท่านลุงเก้าซึ่งเป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณเองก็รู้สึกหวาดหวั่นในใจเช่นกัน ชายชราเองก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เหมือนกันกับนาง
“โอ้สวรรค์! การบ่มเพาะทักษะขัดเกลากายาของแม่นางคนนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว! ทั้งที่พ่ายแพ้มาหลายครั้ง แต่กลับยังยืนหยัดกลับมาได้เสมอ”
“นี่คือเหตุผลว่าทำไมทักษะขัดเกลากายาเทพอสูรจึงน่าเกรงขาม ตราบใดที่สมองยังไม่ตาย ก็จะสามารถฟื้นตัวได้ทันที”
“ใช่แล้ว ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นเทพอสูงที่เกิดจากภายในความโกลาหล เลือดของเขาเพียงหยดเดียวก็สามารถสรรค์สร้างโลกที่งดงามกว้างใหญ่ขึ้นมาได้!
“หากการต่อสู้ยังคงดำเนินไปเช่นนั้น มันไม่ดีต่อเจ้าเด็กนั่นแน่”
เถี่ยคุนและชาวบ้านทั้งหลายเฝ้ามองการต่อสู้ที่ชวนสั่นสะท้านจากระยะไกล สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียด เช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นระรัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แน่นอนพวกเขาอดเป็นห่วงเฉินซีขึ้นมาไม่ได้
ตึง!
ทันใดนั้น มวลอากาศขนาดมหึมาปะทุขึ้น มันทำให้มิติบิดเบี้ยวและสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
เฉินซีและอวี้เฉินผละออกจากกันอีกครั้ง
“นี่เจ้าตั้งใจจะรอให้ข้าหมดแรงอย่างนั้นสินะ? หยุดฝันเพ้อเจ้อได้แล้ว ไม่นานนายน้อยสามแห่งตระกูลอี้ก็จะมาถึงที่นี่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าก็คงจะไม่รอดแน่” อวี้เฉินกล่าวทั้งดวงหน้าซีดเซียว เสียงหายใจหอบถี่ดังขึ้นคล้ายคนขาดอากาศ ทว่าดวงตายังคงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและทะนงตัว
เฉินซีเม้มริมฝีปาก จิตสังหารภายในดวงตาของเขาเดือดพล่าน ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มชูมือขึ้นและใช้ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์อีกครั้ง มันห่อหุ้มร่างของนางไว้ด้วยความรวดเร็ว
“เอาอีกแล้วหรือ? ลูกไม้ของเจ้ามีเท่านี้เองหรืออย่างไร?” อวี้เฉินเย้ยหยัน หลังจากที่ได้รับบทเรียนจากตาข่ายขอบคลุมสวรรค์มาคราหนึ่ง นางก็เลือกที่จะหลบเลี่ยงมันให้ไกลที่สุด
หงึ่ง! หงึ่ง! หงึ่ง!
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่นางพยายามหลบหลีก เฉินซีก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง เหรียญทองแดงโปรยสมบัติทั้งสามเหรียญทะลุผ่านอากาศราวกับเส้นแสงซึ่งตัดผ่านดวงอาทิตย์ ก่อนจะพุ่งตรงยังร่างของหญิงสาว
สมบัติวิญญาณธรรมชาติ เหรียญทองแดงโปรยสมบัติ!
พวกมันสร้างตัวอักษร ‘品’ ขึ้นกลางอากาศ เพียงครั้งเดียว พวกมันก็สามารถตรึงอวี้เฉินไว้ทั้งที่ศีรษะและขาทั้งสองข้าง หากพิจารณาให้ดีแล้ว จะเห็นว่าพวกมันนั้นสร้างค่ายกลสามลมปราณประสานขึ้นมา
ทันใดนั้นสีหน้าของอวี้เฉินก็พลันถอดสี แววตาของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว