บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1571 ต่อต้านค่ายกลศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 1571 ต่อต้านค่ายกลศักดิ์สิทธิ์
ภายใต้ท้องนภาโลหิต
เฉินซีเดินทางข้ามมิติและเวลาเพียงลำพังขณะเข้าใกล้หุบเขาโลหิตซึ่งอยู่ไกลออกไป
เส้นผมสีดำยาวหนานปลิวไสว เผยให้เห็นใบหน้าที่สงบและจริงจัง พร้อมกับอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังไหลหลั่งอยู่ภายในดวงตาสีดำที่ลึกล้ำประหนึ่งนภาดารา
ในสายตาของเขา ‘ค่ายกลล่าตะวัน’ แตกต่างจากสิ่งที่คนธรรมดาเห็น วิถียันต์ที่เข้มงวดและลึกล้ำ รวมถึงผังรากฐานของค่ายกลยันต์ต่างมาจากแหล่งกำเนิดพลังที่พรั่งพรูในแกนกลางของค่ายกล…
ในสายตาของเฉินซี ค่ายกลศักดิ์สิทธิ์โบราณนี้ที่สืบทอดมาจากตระกูลต้าอี้ประหนึ่งยันต์นับไม่ถ้วนที่เคลื่อนไหวพัวพันไปมา โดยผังค่ายกลที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมทุกหนแห่งในพื้นที่ราวกับใยแมงมุม
ราวกับมันไร้จุดอ่อน
แต่เมื่อเฉินซีเริ่มทำการตรวจสอบ ผังค่ายกลนับไม่ถ้วนที่สะท้อนอยู่ในดวงตาก็เปลี่ยนไป ก่อนจะกลายเป็นกลุ่มอักขระยันต์
อักขระยันต์เหล่านี้พัวพัน สะท้อน หลอมรวม และโคจรเข้าด้วยกัน พวกมันรวมตัวกันหนาแน่นประหนึ่งอุกกาบาตนับไม่ถ้วนที่กำลังโคจรตามวิถีที่แตกต่างกัน หากเป็นปรมาจารย์ค่ายกลยันต์อักขระธรรมดา ย่อมไม่อาจตรวจสอบความลึกล้ำนี้ จิตใจจะติดอยู่ภายในจนไม่สามารถออกมาได้
เฉินซีต่างออกไป ความสำเร็จของเขาในวิถียันต์อักขระไปถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งจักรวาลภายในร่างกายเต็มไปด้วยมรดกของยันต์เทวะอนันต์ เมื่อเริ่มทำการตรวจสอบ ยันต์เทวะอนันต์ก็ได้เตรียมผังค่ายกลทั้งหมดของ ‘ค่ายกลล่าตะวัน’ เพื่อจับมันไว้ก่อนจะเริ่มทำการสนับสนุนเฉินซีในการตรวจสอบความลับของมัน
เพียงไม่กี่อึดใจ เฉินซีก็เข้าใจความลึกลับทั้งหมดของค่ายกลล่าตะวัน มันไม่คลุมเครือและลึกลับเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป
มันให้ความรู้สึกเหมือนกับนักฆ่าชุดดำที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดที่ถูกแสงสาดส่อง ทำให้ร่างเปลือยเปล่าไร้ที่ซ่อนอีกครั้ง ปราศจากซึ่งอันตรายที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นอีกต่อไป
…
“เจ้าเด็กคนนี้อยู่ที่นี่จริงด้วย”
“รนหาที่ตายเองแบบนี้ จะโทษใครได้”
“ข้าแค่สงสัยว่าเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้กล้าก้าวเข้ามาเช่นนี้?”
“มันไม่ต่างจากมัจฉาตายตาข่ายขาด น่าเสียดาย เขาประเมินตัวเองสูงเกินไปจนคิดว่าสามารถทำตัวอวดดีด้วยการตีกลองตะบันเทพ นี่คือปัญหาสามัญของเหยื่อในภพเบื้องล่าง มุมมองคับแคบ มั่นใจในตัวเองสูง พวกเขาไม่เข้าใจว่ายังมีโลกและคนที่เหนือกว่าตัวเองอยู่อีก”
เมื่อเห็นร่างของเฉินซีปรากฏมาแต่ไกลก็เกิดการสนทนาในหุบเขาโลหิต บางส่วนเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความไม่มั่นใจ บางส่วนก็เต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและเหยียดหยัน
มีเพียงลุงเก้าที่หรี่ตาขณะสีหน้าจริงจังเล็กน้อย เขาเคยเผชิญหน้ากับเฉินซีมาก่อน จึงทราบดีว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่คนไร้สมองที่ทำตัวบุ่มบ่าม
ตอนนี้ทั้งที่ทราบว่าพวกเขาวางกับดักเอาไว้แต่ก็ยังกล้าเข้ามาโจมตีเพียงลำพัง มันหมายความได้เพียงสองอย่าง ไม่อีกฝ่ายตั้งใจที่จะลงมืออย่างบุ่มบ่ามก็มีความมั่นใจในระดับหนึ่ง!
ถ้างั้นความเป็นไปได้คืออะไร?
คำว่าเขาเทพพยากรณ์ก็ปรากฏขึ้นในใจของลุงเก้าอย่างไม่มีสาเหตุ ทำให้หัวใจเต้นระรัวจนต้องเอ่ยคำเสียงดังทันที “พวกเจ้าห้ามดูถูกศัตรูเด็ดขาด เจ้าเด็กคนนี้มากด้วยอุบาย รับมือได้ยาก ความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายใช้ประโยชน์จากมันได้!”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม มันเป็นการเตือนโดยไม่ปิดบัง
สิ่งนี้ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายต่างขนลุกอยู่ภายใน ถึงแม้คนทั้งหลายจะยังรู้สึกว่าลุงเก้าตื่นตูมเกินเหตุ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าดูถูกเฉินซีเหมือนอย่างที่ทำในตอนนี้
“ฟังคำสั่งของข้าก่อนแล้วค่อยลงมือ หากมีใครคัดค้าน ต่อให้กลับถึงเอกภพมสิหิมแล้ว ข้า ตระกูลต้าอี้ จะไม่ยกโทษให้กับพฤติกรรมเช่นนั้นเด็ดขาด!”
สีหน้าของลุงเก้าเย็นชาขณะน้ำเสียงเต็มไปด้วยการคุกคาม
นี่ทำให้ทุกคนยิ่งรู้สึกยำเกรงจนไม่กล้าคัดค้าน
“ท่านลุงเก้า เขาอยู่ที่นี่”
อี้เทียนยืนอยู่ข้างกายอย่างสงบ แต่เมื่อเห็นร่างของเฉินซียิ่งเด่นชัด เขาก็ไม่อาจอดทนไหวก่อนจะเอ่ยเตือนลุงเก้าอย่างแผ่วเบา
“นายน้อยถอยออกมา ให้ข้าจัดการที่เหลือเอง!”
ลุงเก้ายืดอกขณะเอ่ยคำ
“ได้ ข้าจะช่วยท่านจัดการค่ายกลเอง!”
อี้เทียนพยักหน้า
…
“ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาหกสิบสี่คน ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณหนึ่งคน และก็ยังมี… อี้เทียน!”
เมื่ออยู่ห่างจากหุบเขาโลหิตสามพันจั้ง เฉินซีคล้ายกับสัมผัสบางสิ่งได้ก่อนจะทำการหยุดฝีเท้า ไม่เคลื่อนไปข้างหน้าอีก
“เปิดใช้งานค่ายกล โจมตี!”
แทบจะในทันทีที่เฉินซียืนนิ่ง เสียงตะโกนเย็นชาและเคร่งขรึมของลุงเก้าก็ดังก้องทั่วโลกหล้า
หลังจากนั้น…
ครืนน!
ค่ายกลล่าตะวันที่ปกคลุมทั่วหุบเขาโลหิตเริ่มทำงาน มันส่องแสงเจิดจ้าขณะปลดปล่อยลำแสงศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน พร้อมสาดส่องไปทั่วโลกหล้า
แทบจะในเวลาเดียวกัน ขวาน ขวานศึก ตะขอ สามง่าม ระฆัง ดาบ กระบี่ และหอคอยพลันปรากฏในค่ายกล… อาวุธศักดิ์สิทธิ์น่าสะพรึงทั้งหลายทะยานสู่อากาศธาตุขณะตรงเข้าหาเฉินซีผู้อยู่ไกลออกไปด้วยหมายจะสังหาร
อาวุธศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยพลังจากมหาค่ายกล ซึ่งพลังดังกล่าวถูกควบคุมโดยขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาหกสิบสี่คน คล้ายกับจะทำลายล้างสรรพสิ่งในโลก ทำให้ทุกสิ่งอย่างในจักรวาลถูกทำลายจนไม่เหลือซาก มันช่างน่าสะพรึงนัก
หากเป็นขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาธรรมดา เกรงว่าจิตต่อสู้ของพวกเขาคงป่นปี้จนถึงขั้นปัสสาวะราดเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์นี้ ถึงอย่างไร แม้กระทั่งขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณยังไม่กล้ารับการโจมตีระดับนี้
แต่เฉินซีกล้า!
เขาเพียงหรี่ตา จากนั้นหยิบกลองตะบันเทพแล้วลอยอยู่กลางอากาศ ชายหนุ่มเพียงสะบัดนิ้วก่อนพลังที่มองไม่เห็นจะกระแทกเข้าใส่กลองอย่างรุนแรง
ตึง…
เสียงกลองทุ้มลึกดังสนั่นคล้ายกับเล็ดลอดออกมาจากความโกลาหลโบราณ มันถูกประทับโดยพลังที่มองไม่เห็นก่อนจะกระจายออกไปไกลโดยมีเฉินซีเป็นศูนย์กลาง
โครม โครม โครม!
ภายใต้การโจมตีของเสียงกลองอันน่าสะพรึงนี้ ชิ้นส่วนของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระเบิดกลางอากาศก่อนจะกลายเป็นแสงสว่างร้อนแรง ดูพร่างพราวเป็นอย่างยิ่ง
ในที่สุด เสียงกลองก็จัดการการโจมตีเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ส่งผลกระทบต่อค่ายกลล่าตะวันอย่างรุนแรงจนเกิดการสั่นไหวไร้ที่สิ้นสุด เสียงของมันดังกึกก้องประหนึ่งฟ้าร้อง
“นี่คือพลังของกลองตะบันเทพหรือ?”
“ช่างน่าสะพรึงนัก ดูท่าว่าเจ้าเด็กคนนี้จะเตรียมตัวมาดี”
“แต่ว่ามันก็เท่านั้น อย่าคิดว่าจะทะลวงค่ายกลของพวกเราด้วยความสามารถแค่นั้น!”
ด้วยหนึ่งการโจมตี ผู้เยี่ยมยุทธ์ภายในค่ายกลต่างตระหนักได้ถึงความร้ายกาจของเฉินซี ขณะระแวดระวังอยู่ภายใน พวกเขาก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะค่ายกลนี้เปรียบได้กับป้อมปราการที่มิอาจพังทลายได้ จึงทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาก
“ทำการโจมตีต่อ!”
ลุงเก้าไม่กล้าชักช้าเมื่อเห็นเช่นนี้ ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งครั้งแล้วครั้งเล่า
ในเวลาเดียวกัน เขาประทับลูกธนูกับสายเพื่อพยายามจะฉวยโอกาสสังหารเฉินซีในคราวเดียว แต่สิ่งที่ทำให้เขาจนใจก็เกิดขึ้นเหมือนกับตอนสู้กับเฉินซีครั้งแรก ทำให้ยังไม่สามารถเล็งไปที่พลังชีวิตของอีกฝ่ายได้
มันทำให้เขาผู้เป็นปรมาจารย์นักธนูสูญสิ้นความสามารถต่อสู้ที่ทรงพลังที่สุด
ครืนน! ครืนน!
แม้จะอธิบายเนิ่นนาน แต่มันเกิดขึ้นในพริบตา ค่ายกลล่าตะวันยังคงผันผวนขณะปลดปล่อยการโจมตีอันน่าสะพรึงครั้งแล้วครั้งเล่า การโจมตีเหล่านี้ไม่กลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ก่อเกิดเป็นสายลม หมู่เมฆ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่า
ในท้ายที่สุด แม้กระทั่งมังกรฟ้าและวิหคเพลิงที่ปรากฏออกจากค่ายกล วังศักดิ์สิทธิ์ประทับเหนือดอกบัวทองคำ ขุนเขาธาราดูดกลืนดาราจักร อีกาทองคำกลายเป็นดวงอาทิตย์เก้าดวง ศรศักดิ์สิทธิ์ที่ยิงมาจากดวงดาว… การโจมตีอันน่าสะพรึงเหล่านี้ก็โถมเข้ามา!
นี่คือพลังของค่ายกลล่าตะวัน ซึ่งถูกสร้างโดยต้าอี้ผู้เป็นบรรพชนตระกูลต้าอี้ ในตอนนั้นเขาอยากสังหารดวงอาทิตย์ทั้งเก้าในท้องนภา แต่บัดนี้มหาค่ายกลดังกล่าวที่เคยสร้างความตกตะลึงในอดีตกาลกลับถูกใช้โดยลูกหลานของเขาเพื่อเล่นงานเฉินซี
ตึง! ตึง! ตึง!
ภายใต้การโจมตีต่อเนื่องอันน่าสะพรึง เฉินซียังคงเร่งความเร็วจังหวะการต่อสู้ ชายหนุ่มทำการรัวกลองพร้อมปลดปล่อยเสียงอันดังลั่นออกมา เพื่อรุกคืบเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้น แสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าทั้งหลายเข้าปะทะกันระหว่างฟ้าดิน พวกมันปกคลุมดินแดนภายในรัศมีหนึ่งล้านลี้จนกลายเป็นสมรภูมิโกลาหล มีปรากฏการณ์แปลกประหลาดจำนวนมากอยู่ภายในราวกับภัยพิบัติวันสิ้นโลกกำลังมาเยือนเพื่อหมายจะทำลายโลก
โดยปกติแล้ว แม้กระทั่งขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณก็ไม่สามารถอยู่รอดภายใต้การโจมตีดังกล่าวได้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกลุงเก้าหวาดกลัวที่สุดก็คือเฉินซีตัวคนเดียวกลับปัดป้องการโจมตีทั้งหมดนี้ ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ เขายังคงก้าวมาข้างหน้าขณะเข้าใกล้หุบเขาโลหิตแห่งนี้!
นี่ทำให้ร่องรอยความดูถูกที่เหลืออยู่ในใจของทุกคนหายไป สีหน้าเคร่งขรึมด้วยความไม่อยากเชื่อเข้าแทนที่
ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจคำพูดของลุงเก้า พร้อมกับตระหนักได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของเฉินซีผู้เป็นชายหนุ่มจากภพเบื้องล่าง
“จัดการกลองตะบันเทพก่อน มันคือสมบัติสูงสุดที่มีเพียงราชาแห่งเผ่าจุลบรรพกาล เจ้าเด็กคนนี้ไปเอาสมบัติชิ้นนั้นมาจากไหน?”
เบื้องหลังค่ายกล อี้เทียนสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน เขาจับจ้องกลองตะบันเทพในมือของเฉินซีซึ่งอยู่ไกลออกไป จากนั้นคิดถึงตาข่ายครอบคลุมสวรรค์กับเหรียญทองแดงโปรยสมบัติ เขาอดอิจฉาอยู่ภายในไม่ได้
“คราวนี้ ข้าต้องฆ่าเด็กคนนี้ให้ได้ พวกมันคือสมบัติวิญญาณธรรมชาติเลื่องชื่อ! หากมีพวกมัน เหตุใดข้าถึงจะไม่สามารถครองตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลต้าอี้ เพื่อบรรลุความรุ่งโรจน์ที่จะคงอยู่ตลอดกาลได้?”
…
แรงกดดันกำลังเพิ่มขึ้นขณะเฉินซียังอยู่ห่างจากหุบเขาโลหิตหนึ่งพันจั้ง
ชายหนุ่มยังคงตีกลองตะบันเทพ เพื่อสกัดกั้นการโจมตีที่พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยร่างกายยังคงขยับไปข้างหน้าท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งการต่อสู้ทีละก้าว
ทันทีที่เข้าใกล้ค่ายกลล่าตะวัน มันจะกลายเป็นช่วงเวลาที่เขาจะพลิกสถานการณ์ ด้วยไม่อาจต่อสู้กับศัตรูซึ่งหน้าด้วยพลังอันร้ายกาจเหมือนอย่างที่ทำในตอนนี้
“เร็ว!”
“เร็วกว่านี้!”
“เจ้าพวกโง่ จนป่านนี้แล้วยังมัวทำอะไรกันอีก? เร็วเข้าสิ!”
เมื่อเห็นร่างของเฉินซีกำลังใกล้เข้ามา สีหน้าของลุงเก้าก็มืดมนเล็กน้อย แล้วความกระวนกระวายกับความวิตกที่ยากจะอธิบายก็ก่อตัวขึ้นในใจ เขาออกคำสั่งให้ทุกคนในค่ายกลทำการโจมตีอย่างต่อเนื่อง
ครืนนน!
พลังของค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ยิ่งน่าสะพรึง ยามนี้ทั้งฟ้าดิน รวมถึงทั่วทุกสารทิศของมิติและเวลาระเบิดเป็นผุยผง จนเผยให้เห็นสภาพแห่งความโกลาหลอันไร้ระเบียบ
แรงกดดันที่เฉินซีเผชิญเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ความเร็วที่พลังศักดิ์สิทธิ์ถูกผลาญก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
มันทำให้ใบหน้ายิ่งจริงจัง ชายหนุ่มกัดฟันขณะฝืนทนบาดแผลทั้งหลาย แล้วร่างก็วูบไหวก่อนจะทะยานไปข้างหน้า
โครม!
วังศักดิ์สิทธิ์เจิดจ้าที่เกิดขึ้นจากค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ก็ตรงเข้าบดขยี้เฉินซีอย่างรุนแรง ทำให้ร่างสูงใหญ่โซเซไปมาพร้อมกับกระอักโลหิต สภาพใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย
เป็นไปตามที่คาดไว้ การโจมตีนี้ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บมากยิ่งขึ้น
แต่ก่อนที่ศัตรูจะได้แสดงความยินดี พวกเขาก็เห็นร่างของเฉินซีกำลังทะยานมาข้างหน้าด้วยความช่วยเหลือของพลังจากการปะทะ เพียงพริบตา ร่างนั้นก็มาถึงเบื้องหน้าหุบเขาโลหิต!
…………….