บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1572 ย้อนค่ายกล
บทที่ 1572 ย้อนค่ายกล
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเฉินซีจะเสี่ยงบาดเจ็บเพื่อบุกฝ่าสู่หุบเขาสีเลือด
เขาคิดทำสิ่งใดแน่? หรือจะไม่รู้ว่ายิ่งบุกลึกสู่ในมหาค่ายกล การโจมตีที่รอเขาอยู่จะยิ่งน่ากลัว?
คนทั้งหลายต่างตกตะลึงพรึงเพริด สงสัยว่าเฉินซีรนหาที่ตายอยู่หรือ
มีเพียงลุงเก้าที่ตากระตุก สีหน้าเคร่งขรึม ตัดสินใจได้ทันทีว่าเฉินซีไม่ได้จะวอนตาย แต่ตั้งใจล้มค่ายกลเสียแทน!
“หยุดเขาไว้เร็ว!” สมองไม่ทันคิด ลุงเก้าก็ทะยานออกไปพลางแผดเสียงลั่น
ขณะนี้ เขาแน่ใจแปดส่วนด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มจากภพเบื้องล่างต้องมีความเกี่ยวข้องกับเขาเทพพยากรณ์ มิเช่นนั้นคงไม่กล้าเข้าสู่ค่ายกลโดยไม่สนใจสิ่งใดเช่นนี้
คนอื่น ๆ ต่างงุนงง หยุดเขา? อีกฝ่ายกระโดดมาจนมุมในค่ายกลเองแท้ ๆ ไยเราต้องหยุดเขาด้วย?
เพราะความคิดนี้เอง การกระทำของพวกเขาจึงเผยความชักช้าติดขัดเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน เฉินซีฉวยโอกาสนี้ไหวกายเข้าสู่ค่ายกลล่าตะวันทันที
เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นการกระทำอันไม่เผยความลังเลแม้แต่น้อยของอีกฝ่าย เทวารู้แจ้งโลกาทั้งหลายก็ตระหนักทันทีว่าสถานการณ์ย่ำแย่แล้ว จึงลงมือใช้อำนาจมหาค่ายกลโจมตีเฉินซีโดยไม่กล้าลังเล
ตู้ม!
ชั่วขณะนั้น มหาค่ายกลเต็มไปด้วยอัสนีเลื่อนลั่นฟาดซัด หมอกลมกระชากสาด แสงศักดิ์สิทธิ์และสารพัดการโจมตีอันน่าสะพรึงยิ่งประดังประเด เจิดจรัสสารพัดสีสุดแสนตระการตระการตา ทว่าใต้ความงามสุดขั้วที่เผยลักษณ์ ซ่อนอันตรายสุดขีดไว้อยู่
แต่แล้ว พวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อการโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่าผ่านพ้น เฉินซีกลับหายไปจากมหาค่ายกล!
“เด็กนั่นอยู่ไหน?”
“เขาคงไม่ได้ถูกกำจัดสิ้นซากไปแล้วกระมัง?”
“คงไม่ใช่หรอก หากเป็นเช่นนั้น กลองตะบันเทพที่เขามีก็น่าจะร่วงอยู่ในมหาค่ายกล อย่าว่าแต่กลองตะบันเทพเลย เขาไม่ทิ้งไว้แต่ร่องรอยปราณด้วยซ้ำ นี่มันผิดปกติ”
พวกเขาหารือกันขณะค้นหาทุกซอกมุมของมหาค่ายกล แต่ก็ต้องกลับมามือเปล่า เหตุผิดปกตินี้ทำให้ความกระสับกระส่ายเผยขึ้นในใจพวกเขาเล็กน้อย
“พวกเจ้ายังยืนบื้อทำอะไรกัน? โจมตีต่อไปสิ!” ลุงเก้าตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ย่ำแย่ จึงคำรามเตือนดังสนั่นทันที
ฉับ!
ทว่าก่อนเสียงจะทันขาดคำ ดวงตาของยอดฝีมือคนหนึ่งที่มุมมหาค่ายกลพลันเบิกกว้าง ขณะที่คอปรากฏรอยเลือด
“ช่วย… ช่วยด้วย….” เขากุมคอขณะพึมพำ ทัศนวิสัยมืดดับ สิ้นสติลงก่อนที่ศีรษะจะกระเด็นขึ้นฟ้า โลหิตเทพพุ่งกระฉูด
“พี่สามหลัว!”
“พี่สาม!”
“เวรเอ๊ย!”
คนมากมายสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ สีหน้าซีดขาวด้วยความกลัว อดอุทานกันออกมาไม่ได้
เหตุทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ไม่มีกระทั่งร่องรอยการต่อสู้ แต่ศีรษะของยอดฝีมือผู้นั้นก็หลุดจากบ่าแล้ว ทำให้หัวใจของพวกเขาทั้งหลายหนาววาบ ไอเย็นแล่นวูบตามแนวสันหลัง
“จ… เจ้าเด็กนั่นไปซ่อนที่ใดแน่?”
“ห… เหตุใดค่ายกลล่าตะวันจึงกักเจ้าผีร้ายนี่ไม่ได้?”
พวกเขาทั้งหลายต่างตะลึงจังงัง กระสับกระส่ายกันอย่างยิ่ง ตั้งแต่แรกเริ่มจนบัดนี้ ยังไม่สามารถตามรอยศัตรูพบได้เลย พวกเขาจะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ฉับ!
ท่ามกลางบรรยากาศสะเทือนขวัญสั่นประสาทนี้ หนึ่งเสียงโอดอู้อี้ดังขึ้นอีกครั้ง
มีใครตายอีกแล้วหรือ?
ทุกคนมองตามไป แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจังงังเล็กน้อย หนนี้ผู้ตายเป็นชายวัยกลางคนร่างท้วมในชุดเทา หน้าผากของเขาปรากฏรูสีเลือด สีหน้านิ่งค้าง โลหิตไหลอาบหน้า ทำให้เหตุนี้ชวนสยองน่าสะพรึงกลัว
ตุบ!
ร่างของเขาร่วงลงปะทะพื้น ขาดใจคาที่
หัวใจของทุกคนที่เหลือกระตุกวูบ นะ นะ นี่… มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“สมควรตายแท้! ไอ้สารเลวนี่ไม่ได้ตั้งใจทำลายค่ายกล แต่ตั้งใจใช้ค่ายกลอำพรางตนเองยามลอบสังหารเราต่างหาก!” ในที่สุด ลุงเก้าก็เข้าใจถ่องแท้ สีหน้าพลันเครียดขึงถมึงทึงอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน ในใจของเขาก็ยังตะลึงไม่สร่าง เพราะนี่คือค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสืบทอดกันมาในตระกูลอี้ เหตุใดเฉินซีจึงดูผ่อนคลายสบายใจภายในนี้ได้?
หรือเขาจะเข้าใจค่ายกลล่าตะวันดีกว่าข้า?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจของลุงเก้าก็หนาวเยือกอย่างช่วยไม่ได้ เขาเผชิญศึกมากมายมาชั่วชีวิต แต่ในด้านความวิปริตผิดธรรมดา ไร้ศึกใดเทียบกับศึกตรงหน้านี้ได้เลย
มันลึกลับซ่อนเงื่อนเกินไป!
“ข้าไม่มีทางเชื่อว่าเจ้านี่จะไร้ความเกี่ยวพันกับเขาเทพพยากรณ์….” ลุงเก้าสูดหายใจลึก ๆ ขณะที่คิดหาวิธีรับมือเฉินซีอย่างรวดเร็ว
ฉับ! ฉัวะ! ฉัวะ!
ทว่าขณะนั้นเอง เสียงฟาดฟันก็ดังขึ้นเป็นระลอกในมหาค่ายกล อีกสามคนถูกสังหารลงตามกัน!
สามคนนี้อยู่ในตำแหน่งต่างกันในค่ายกล ทว่าคอของพวกเขากลับบังเกิดรูสีเลือดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง สิ้นใจโดยไม่มีแม้แต่โอกาสดิ้นรนหรือแผดร้อง!
“บัดซบ!”
“เวรเอ๊ย! เวรจริง ๆ! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
พวกเขาล้วนเสียขวัญ แผดเสียงสนั่นลั่นระงม
พวกเขาตกตะลึงเกินไป ทวยเทพมากมายถูกสังหารอย่างเงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่โอกาสไหวตัว เหมือนเป็นฝูงแกะรอเชือดอย่างแท้จริง
สิ่งสำคัญสูงสุดคือ นับแต่เริ่มจนบัดนี้ พวกเขายังไม่เห็นกระทั่งสัญญาณของศัตรูเลย!
นี่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความกลัวสูงสุดในใจ
“ทุกท่านอย่าแตกตื่น รีบรวมตัวตำแหน่ง ‘เฉียน*[1]’ จัดการกับผีร้ายนี่ด้วยกันเถิด!“
เมื่อลุงเก้าเห็นเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงยอมทนความสูญเสีย เปลี่ยนแผนอย่างไม่เต็มใจ การโคจรของค่ายกลล่าตะวันเดิมทีเป็นไปตามหกสิบสี่ตำแหน่ง เทวารู้แจ้งโลกาแต่ละคนประจำแต่ละตำแหน่ง ร่วมมือกันจากไกล ๆ จึงสามารถแสดงพลังของมหาค่ายกลนี้ได้อย่างเต็มที่
ทว่าขณะนี้ การจัดค่ายดังกล่าวก่อให้เกิดจุดบอดมโหฬาร และจุดบอดนั้นก็ง่ายต่อการให้เฉินซีฉวยโอกาสใช้ค่ายกลมาล่าสังหารพวกเขาอย่างเงียบเชียบ
ดังนั้นลุงเก้าจึงทำได้เพียงรวบรวมทุกคนในค่ายกลสู่ตำแหน่ง ‘เฉียน’ ใจกลางมหาค่ายกลเพื่อป้องกันมิให้เฉินซีมีโอกาสใด ๆ ให้ฉวย
แต่การทำเช่นนี้ก็มีข้อเสียเรียบ และนั่นคืออำนาจของมหาค่ายกลจะถูกลดไปเกินครึ่ง!
หากมีทางเลือกอื่น ลุงเก้าย่อมไม่มีทางตัดสินใจเช่นนี้แน่นอน
…
เสียงของลุงเก้าทำให้ผู้คนที่ตกอยู่ในสภาวะตื่นกลัวราวได้พบแสงสว่างในใจ ทำให้พวกเขาทิ้งตำแหน่งเดิมของตน เข้าสู่ตำแหน่ง ‘เฉียน’ กันอย่างไม่ลังเล
ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังรู้สึกโชคดี เพราะตลอดการทำเช่นนี้ ยังไม่มีผู้ใดถูกลอบสังหารอีก
ไม่นานนัก เทวารู้แจ้งโลกาที่เหลืออีกห้าสิบเก้าคนก็รวมตัวกันที่ใจกลางมหาค่ายกล และนี่ทำให้พวกเขาถอนหายใจโล่งอก มิใช่แค่เพราะพวกเขาจะยิ่งแข็งแกร่งยามรวมตัว สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อรวมตัว เฉินซีจะไม่มีโอกาสอื่นใดให้ฉวย!
“สารเลวสมควรตายนั่น! หากข้าจับมันได้ จะเลาะเอ็นถลกหนัง สับให้เหลวเป็นน้ำเลย!”
“เตรียมตัวให้พร้อม พบผีร้ายนั่นยามใด ต้องจู่โจมสังหารในรวดเดียวอย่างเต็มกำลัง!”
“ตามนั้นเลย”
พวกเขาทั้งหลายต่างเชื่อมโยงกันด้วยความเกลียดแค้นเฉินซีเข้ากระดูก ทำให้ต่างคนล้วนเผยสีหน้ามาดร้ายหมายสังหาร
เขาคิดทำสิ่งใดแน่? หรือจะไม่รู้ว่ายิ่งบุกลึกสู่ในมหาค่ายกล การโจมตีที่รอเขาอยู่จะยิ่งน่ากลัว?
คนทั้งหลายต่างตกตะลึงพรึงเพริด สงสัยว่าเฉินซีรนหาที่ตายอยู่หรือ
มีเพียงลุงเก้าที่ตากระตุก สีหน้าเคร่งขรึม ตัดสินใจได้ทันทีว่าเฉินซีไม่ได้จะวอนตาย แต่ตั้งใจล้มค่ายกลเสียแทน!
“หยุดเขาไว้เร็ว!” สมองไม่ทันคิด ลุงเก้าก็ทะยานออกไปพลางแผดเสียงลั่น
ขณะนี้ เขาแน่ใจแปดส่วนด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มจากภพเบื้องล่างต้องมีความเกี่ยวข้องกับเขาเทพพยากรณ์ มิเช่นนั้นคงไม่กล้าเข้าสู่ค่ายกลโดยไม่สนใจสิ่งใดเช่นนี้
คนอื่น ๆ ต่างงุนงง หยุดเขา? อีกฝ่ายกระโดดมาจนมุมในค่ายกลเองแท้ ๆ ไยเราต้องหยุดเขาด้วย?
เพราะความคิดนี้เอง การกระทำของพวกเขาจึงเผยความชักช้าติดขัดเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน เฉินซีฉวยโอกาสนี้ไหวกายเข้าสู่ค่ายกลล่าตะวันทันที
เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นการกระทำอันไม่เผยความลังเลแม้แต่น้อยของอีกฝ่าย เทวารู้แจ้งโลกาทั้งหลายก็ตระหนักทันทีว่าสถานการณ์ย่ำแย่แล้ว จึงลงมือใช้อำนาจมหาค่ายกลโจมตีเฉินซีโดยไม่กล้าลังเล
ชั่วขณะนั้น มหาค่ายกลเต็มไปด้วยอัสนีเลื่อนลั่นฟาดซัด หมอกลมกระชากสาด แสงศักดิ์สิทธิ์และสารพัดการโจมตีอันน่าสะพรึงยิ่งประดังประเด เจิดจรัสสารพัดสีสุดแสนตระการตระการตา ทว่าใต้ความงามสุดขั้วที่เผยลักษณ์ ซ่อนอันตรายสุดขีดไว้อยู่
แต่แล้ว พวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อการโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่าผ่านพ้น เฉินซีกลับหายไปจากมหาค่ายกล!
“เด็กนั่นอยู่ไหน?”
“เขาคงไม่ได้ถูกกำจัดสิ้นซากไปแล้วกระมัง?”
“คงไม่ใช่หรอก หากเป็นเช่นนั้น กลองตะบันเทพที่เขามีก็น่าจะร่วงอยู่ในมหาค่ายกล อย่าว่าแต่กลองตะบันเทพเลย เขาไม่ทิ้งไว้แต่ร่องรอยปราณด้วยซ้ำ นี่มันผิดปกติ”
พวกเขาหารือกันขณะค้นหาทุกซอกมุมของมหาค่ายกล แต่ก็ต้องกลับมามือเปล่า เหตุผิดปกตินี้ทำให้ความกระสับกระส่ายเผยขึ้นในใจพวกเขาเล็กน้อย
“พวกเจ้ายังยืนบื้อทำอะไรกัน? โจมตีต่อไปสิ!” ลุงเก้าตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ย่ำแย่ จึงคำรามเตือนดังสนั่นทันที
ฉับ!
ทว่าก่อนเสียงจะทันขาดคำ ดวงตาของยอดฝีมือคนหนึ่งที่มุมมหาค่ายกลพลันเบิกกว้าง ขณะที่คอปรากฏรอยเลือด
“ช่วย… ช่วยด้วย….” เขากุมคอขณะพึมพำ ทัศนวิสัยมืดดับ สิ้นสติลงก่อนที่ศีรษะจะกระเด็นขึ้นฟ้า โลหิตเทพพุ่งกระฉูด
“พี่สามหลัว!”
“พี่สาม!”
“เวรเอ๊ย!”
คนมากมายสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ สีหน้าซีดขาวด้วยความกลัว อดอุทานกันออกมาไม่ได้
เหตุทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ไม่มีกระทั่งร่องรอยการต่อสู้ แต่ศีรษะของยอดฝีมือผู้นั้นก็หลุดจากบ่าแล้ว ทำให้หัวใจของพวกเขาทั้งหลายหนาววาบ ไอเย็นแล่นวูบตามแนวสันหลัง
“จ… เจ้าเด็กนั่นไปซ่อนที่ใดแน่?”
“ห… เหตุใดค่ายกลล่าตะวันจึงกักเจ้าผีร้ายนี่ไม่ได้?”
พวกเขาทั้งหลายต่างตะลึงจังงัง กระสับกระส่ายกันอย่างยิ่ง ตั้งแต่แรกเริ่มจนบัดนี้ ยังไม่สามารถตามรอยศัตรูพบได้เลย พวกเขาจะยอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ฉับ!
ท่ามกลางบรรยากาศสะเทือนขวัญสั่นประสาทนี้ หนึ่งเสียงโอดอู้อี้ดังขึ้นอีกครั้ง
มีใครตายอีกแล้วหรือ?
ทุกคนมองตามไป แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจังงังเล็กน้อย หนนี้ผู้ตายเป็นชายวัยกลางคนร่างท้วมในชุดเทา หน้าผากของเขาปรากฏรูสีเลือด สีหน้านิ่งค้าง โลหิตไหลอาบหน้า ทำให้เหตุนี้ชวนสยองน่าสะพรึงกลัว
ตุบ!
ร่างของเขาร่วงลงปะทะพื้น ขาดใจคาที่
หัวใจของทุกคนที่เหลือกระตุกวูบ นะ นะ นี่… มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“สมควรตายแท้! ไอ้สารเลวนี่ไม่ได้ตั้งใจทำลายค่ายกล แต่ตั้งใจใช้ค่ายกลอำพรางตนเองยามลอบสังหารเราต่างหาก!” ในที่สุด ลุงเก้าก็เข้าใจถ่องแท้ สีหน้าพลันเครียดขึงถมึงทึงอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน ในใจของเขาก็ยังตะลึงไม่สร่าง เพราะนี่คือค่ายกลศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสืบทอดกันมาในตระกูลอี้ เหตุใดเฉินซีจึงดูผ่อนคลายสบายใจภายในนี้ได้?
หรือเขาจะเข้าใจค่ายกลล่าตะวันดีกว่าข้า?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจของลุงเก้าก็หนาวเยือกอย่างช่วยไม่ได้ เขาเผชิญศึกมากมายมาชั่วชีวิต แต่ในด้านความวิปริตผิดธรรมดา ไร้ศึกใดเทียบกับศึกตรงหน้านี้ได้เลย
มันลึกลับซ่อนเงื่อนเกินไป!
“ข้าไม่มีทางเชื่อว่าเจ้านี่จะไร้ความเกี่ยวพันกับเขาเทพพยากรณ์….” ลุงเก้าสูดหายใจลึก ๆ ขณะที่คิดหาวิธีรับมือเฉินซีอย่างรวดเร็ว
ฉับ! ฉัวะ! ฉัวะ!
ทว่าขณะนั้นเอง เสียงฟาดฟันก็ดังขึ้นเป็นระลอกในมหาค่ายกล อีกสามคนถูกสังหารลงตามกัน!
สามคนนี้อยู่ในตำแหน่งต่างกันในค่ายกล ทว่าคอของพวกเขากลับบังเกิดรูสีเลือดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง สิ้นใจโดยไม่มีแม้แต่โอกาสดิ้นรนหรือแผดร้อง!
“บัดซบ!”
“เวรเอ๊ย! เวรจริง ๆ! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
พวกเขาล้วนเสียขวัญ แผดเสียงสนั่นลั่นระงม
พวกเขาตกตะลึงเกินไป ทวยเทพมากมายถูกสังหารอย่างเงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่โอกาสไหวตัว เหมือนเป็นฝูงแกะรอเชือดอย่างแท้จริง
นี่เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความกลัวสูงสุดในใจ
“ทุกท่านอย่าแตกตื่น รีบรวมตัวตำแหน่ง ‘เฉียน*[1]’ จัดการกับผีร้ายนี่ด้วยกันเถิด!“
เมื่อลุงเก้าเห็นเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงยอมทนความสูญเสีย เปลี่ยนแผนอย่างไม่เต็มใจ การโคจรของค่ายกลล่าตะวันเดิมทีเป็นไปตามหกสิบสี่ตำแหน่ง เทวารู้แจ้งโลกาแต่ละคนประจำแต่ละตำแหน่ง ร่วมมือกันจากไกล ๆ จึงสามารถแสดงพลังของมหาค่ายกลนี้ได้อย่างเต็มที่
ทว่าขณะนี้ การจัดค่ายดังกล่าวก่อให้เกิดจุดบอดมโหฬาร และจุดบอดนั้นก็ง่ายต่อการให้เฉินซีฉวยโอกาสใช้ค่ายกลมาล่าสังหารพวกเขาอย่างเงียบเชียบ
ดังนั้นลุงเก้าจึงทำได้เพียงรวบรวมทุกคนในค่ายกลสู่ตำแหน่ง ‘เฉียน’ ใจกลางมหาค่ายกลเพื่อป้องกันมิให้เฉินซีมีโอกาสใด ๆ ให้ฉวย
แต่การทำเช่นนี้ก็มีข้อเสียเรียบ และนั่นคืออำนาจของมหาค่ายกลจะถูกลดไปเกินครึ่ง!
หากมีทางเลือกอื่น ลุงเก้าย่อมไม่มีทางตัดสินใจเช่นนี้แน่นอน
…
เสียงของลุงเก้าทำให้ผู้คนที่ตกอยู่ในสภาวะตื่นกลัวราวได้พบแสงสว่างในใจ ทำให้พวกเขาทิ้งตำแหน่งเดิมของตน เข้าสู่ตำแหน่ง ‘เฉียน’ กันอย่างไม่ลังเล
ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังรู้สึกโชคดี เพราะตลอดการทำเช่นนี้ ยังไม่มีผู้ใดถูกลอบสังหารอีก
ไม่นานนัก เทวารู้แจ้งโลกาที่เหลืออีกห้าสิบเก้าคนก็รวมตัวกันที่ใจกลางมหาค่ายกล และนี่ทำให้พวกเขาถอนหายใจโล่งอก มิใช่แค่เพราะพวกเขาจะยิ่งแข็งแกร่งยามรวมตัว สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อรวมตัว เฉินซีจะไม่มีโอกาสอื่นใดให้ฉวย!
“สารเลวสมควรตายนั่น! หากข้าจับมันได้ จะเลาะเอ็นถลกหนัง สับให้เหลวเป็นน้ำเลย!”
“เตรียมตัวให้พร้อม พบผีร้ายนั่นยามใด ต้องจู่โจมสังหารในรวดเดียวอย่างเต็มกำลัง!”
“ตามนั้นเลย”
พวกเขาทั้งหลายต่างเชื่อมโยงกันด้วยความเกลียดแค้นเฉินซีเข้ากระดูก ทำให้ต่างคนล้วนเผยสีหน้ามาดร้ายหมายสังหาร
ลุงเก้าผ่อนหายใจโล่งอก แม้พวกเขาจะตั้งขบวนตั้งรับแทนจู่โจม แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังได้เปรียบเต็มประตู หากเฉินซีกล้าเผยตัว อีกฝ่ายก็มีแต่ต้องรับเพลิงพิโรธไร้ประมาณ!
ฮึ่ม! ฮึ่ม! ฮึ่ม!
ทันใดนั้น คลื่นพลังประหลาดเกินเข้าใจก็พลุ่งพล่านออกมาจากมหาค่ายกล
“นั่นคือ?”
“เหมือนมหาค่ายกลกำลังเปลี่ยนไปนะ…”
“หือ? ไม่ใช่แล้ว! เรายังไม่ได้เริ่มสั่งใช้มหาค่ายกลเลยนะ!”
เห็นเช่นนี้ คนอื่น ๆ ที่เหลือก็อดขวัญผวากันเล็กน้อยไม่ได้ เพราะพวกเขาต่างตื่นกลัวในวิธีการสังหารอย่างรวดเร็วลื่นไหลของเฉินซีเมื่อครู่ก่อนกันอย่างแท้จริง
ขณะนี้ทันทีที่พวกเขาสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวผิดปกตินี้ แม้จะไม่อาจเดาได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้นกันแน่ แต่หัวใจของทุกคนก็ยังอดรู้สึกตระหนกกลัวกันไม่ได้
“ทุกคนระวังด้วย ห้ามกระทำการโดยพลการเด็ดขาด ขอเพียงเราตั้งมั่นที่ตำแหน่ง ‘เฉียน’ นี้ ไม่ว่าผีร้ายนั่นจะใช้ลูกไม้ใด ก็ไม่อาจสั่นคลอนการป้องกันของเราได้!” ลุงเก้ากล่าวเสียงเบา ทำให้หัวใจของผู้ฟังทั้งหลายมั่นคงขึ้นมาเล็กน้อย
น่าเสียดาย พวกเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าค่ายกลล่าตะวันที่พวกตนอยู่กำลังแปรเปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ….
นอกจากตำแหน่ง ‘เฉียน’ ที่ใจกลางค่ายกล อีกหกสิบสามตำแหน่งในมหาค่ายกลนี้ล้วนว่างเปล่า
ทว่าขณะนี้ ผังค่ายกลซึ่งตราอยู่ตามตำแหน่งต่าง ๆ กำลังเรืองประกายอย่างเงียบเชียบ และผังอักขระยันต์ในนั้นก็เริ่มหมุนวนอย่างไร้เสียง
ขณะนี้ ร่างของเฉินซีวูบไหวไปตามตำแหน่งต่าง ๆ อันว่างเปล่าอย่างไม่หยุดนิ่ง ทุกครั้งที่ผ่านหนึ่งตำแหน่ง ชายหนุ่มก็จะยื่นมือออกมาส่งผังอักขระยันต์ชุดหนึ่งให้โปรยปลิวดุจสายธารเข้าสู่ผังค่ายกลซึ่งตราไว้ เปลี่ยนเส้นทางอักขระยันต์ภายในนั้นอย่างเงียบเชียบ
ร่างสูงใหญ่ไปมาไร้ร่องรอยดั่งภูตพราย เคลื่อนตัวไปทุกซอกมุมของมหาค่ายกล ประกอบกับการอำพรางของอักขระผนึกเต๋า ปราณทั่วกายก็ถูกเร้นไว้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพบตัว
ไอ้โง่พวกนี้… หากพวกเขาบรรลุเต๋าแห่งยันต์อักขระกันสักนิด คงไม่มายืนบื้อรอความตายกันเช่นนี้… ขณะเดียวกัน เฉินซีสังเกตเห็นว่าเหล่าศัตรูได้ไปรวมตัวอุดอู้กันอยู่ในตำแหน่ง ‘เฉียน’ แล้วรอยยิ้มเย้ยหยันอันไม่อาจปกปิดก็ปรากฏขึ้นบาง ๆ ที่มุมปาก
ขณะนี้ ชายหนุ่มกำลังใช้เต๋าแห่งยันต์อักขระย้อนทิศทางอักขระยันต์ในมหาค่ายกล แม้ตาค่ายกล ตำแหน่ง ‘เฉียน’ จะยังอยู่ในควบคุมของพวกเขา ทำให้ตนไม่อาจยึดการควบคุมของมหาค่ายกลนี้ได้ แต่เฉินซีก็พึ่งฝีมือตนย้อนกระแสปราณค่ายกล ทำให้ค่ายกลทั้งค่ายระเบิดแหลกในท้ายที่สุดได้!
ถึงยามนั้น อำนาจที่เกิดจากการทำลายมหาค่ายกลเช่นนี้จะน่ากลัวเพียงใด?
เฉินซีลุ้นรออยู่ในใจ
…
อันที่จริง ไม่ใช่ว่าลุงเก้าและคณะไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับเต๋าแห่งยันต์อักขระเลย ในทางกลับกัน พวกเขาล้วนไม่คาดคิดกันเลยว่าจะมีผู้ใดในโลกหล้าใช้เพียงความแข็งแกร่งของตนเปลี่ยนผังค่ายกลศักดิ์สิทธิ์โบราณอันถูกสืบทอดกันในตระกูลอี้นี้ได้!
นี่คือความต่างของความรู้ความเข้าใจ สำหรับตัวตนผู้ไม่ได้บรรลุเข้าใจเต๋าแห่งยันต์อักขระอย่างลึกล้ำ พวกเขาไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่าปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระผู้บรรลุถึงขอบเขตเทพยันต์อักขระมีความสามารถเกินหยั่งคาดเพียงไร
บางทีความสามารถต่อสู้ซึ่งหน้าของปราชญ์ค่ายกลยันต์อักขระอาจดูไม่ได้เลิศล้ำเกินธรรมดา แต่เมื่อพวกเขามาอยู่ในค่ายกล มันก็เหมือนได้ชัยภูมิถิ่นตัวเอง กลายเป็นราชาผู้ควบคุมสรรพสิ่ง!
รู้น้อยเท่ากับไม่รู้ความ และบางครั้ง ความไม่รู้หมายถึงความตาย
เหมือนขณะนี้เป็นต้น
ขณะที่เฉินซีกำลังเตรียมการ พวกเขาทั้งหลายต่างเตรียมพร้อมทำศึกขณะนิ่งอยู่ในตำแหน่ง ‘เฉียน’ รู้สึกว่าการควบคุมเนตรค่ายกลหมายความถึงบงการสรรพสิ่งในค่ายกล
ในความเห็นเฉินซี นี่ดูสุดแสนโง่เง่าบ้าบอ
[1] ตำแหน่งในแปดทิศของจีน แทนด้วยสัญลักษณ์ ☰ ตรงกับทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (พายัพ)