บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1573 ล้างบางในพริบตา
บทที่ 1573 ล้างบางในพริบตา
กาลเวลาเคลื่อนผ่านทีละน้อย
บรรยากาศในมหาค่ายกลเงียบสงัดดุจป่าช้า ยอดฝีมือทั้งหลายซึ่งรวมตัวกันในตำแหน่ง ‘เฉียน’ ต่างผงะตะลึงเล็กน้อย เหตุใดจึงไร้การเคลื่อนไหว?
ลุงเก้าเองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน สิ่งนี้ผิดปกติเล็กน้อย หรือเจ้าเด็กนั่นตั้งใจจะซ่อนในมหาค่ายกล สู้ศึกยืดเยื้อกับเรา?
“เฮอะ! เจ้าคิดว่าสารเลวนั่นจะฉีกกระชากค่ายกลเป็นเสี่ยง ๆ อยู่หรือ?” ใครบางคนเอ่ยปาก พยายามเล่นมุกตลกเพื่อผ่อนบรรยากาศตึงเครียดกดดันรอบข้าง
ทว่ายามคำพูดนี้เข้าปะทะโสตลุงเก้า มันก็ไม่ต่างจากอัสนีขยี้แดนสงัด ฉีกกระชากค่ายกล… ฉีกกระชากค่ายกล… ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าเจ้าเด็กนี่เชี่ยวชาญเต๋าแห่งยันต์อักขระ และอาจกระทั่งเกี่ยวพันกับเขาเทพพยากรณ์!?
ก่อนหน้านี้ เฉินซีเข้ามาในมหาค่ายกล แต่กลับไม่ติดอยู่ในนั้น เป็นดั่งมัจฉาคืนวารี ฉวยโอกาสลอบสังหารยอดฝีมือฝั่งตนไปมากมาย ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอพิสูจน์แล้วว่าเฉินซีมองจุดอ่อนทั้งหมดของค่ายกลล่าตะวันทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว!
ด้วยเหตุนี้ มีหรือเฉินซีจะเลือกอยู่เฉย ใช้วิธีสุดปลอดภัยอย่างทำศึกยืดเยื้อ?
ยามตระหนักเช่นนี้ ลุงเก้าก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจ สีหน้าดำคล้ำยากมองและไม่อาจตัดสินใจได้ เหมือนกำลังลังเลในบางสิ่ง
ท้ายที่สุด เขาก็เชิดหน้ากัดฟัน กล่าวขึ้นเสียงเข้มขรึม “อพยพ!”
อพยพ?
มันอาจเป็นเพียงหนึ่งคำ แต่กลับทำให้ยอดฝีมือทั้งหลายงุนงงตะลึงงัน
เมื่อสังเกตเห็นว่าเจ้าพวกนี้ไม่รู้อะไรเลย ลุงเก้าก็เดือดเจียนควันออกหู ข่มเขี้ยวเคี้ยวฟันเสียงแข็ง “พวกเจ้าไม่เข้าใจข้าหรือ? ข้าบอกให้อพยพจากมหาค่ายกลเดี๋ยวนี้! เร็วเข้า!”
ทุกคนเข้าใจ แต่ก็ยังรู้สึกงุนงง เหตุใดเราต้องอพยพจากค่ายกลในยามนี้ด้วย? หากเราเสียการคุ้มครองของมหาค่ายกลไป ก็เท่ากับเสียแนวป้องกันธรรมชาติไปมิใช่หรือ?
ไอ้พวกโง่เอ๊ย! เมื่อสังเกตเห็นความลังเลในแววตาของคนอื่น ๆ ลุงเก้าก็เดือดดาลจนอกกระเพื่อมรุนแรง เขาตระหนักชัดเจนว่าหากคนเหล่านี้เป็นศิษย์ตระกูลอี้ สถานการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดยามเขาออกคำสั่งแน่นอน
ประเด็นคือ ยอดฝีมือเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากตระกูลอี้ ดังนั้นแม้พวกเขาจะกลัวอำนาจของตระกูลอี้ แต่ก็ใช่ว่าจะหลับหูหลับตาเชื่อฟัง
ดังคำกล่าวที่ว่า ใจคนไม่รวมศูนย์ กระทำการใหญ่ยากสำเร็จ
“เร็วเข้า! ในเมื่อลุงเก้าว่าเช่นนี้ เขาต้องมีเหตุผลแน่ อพยพด้วยกันเถอะ!” ในหมู่พวกเขาก็มีศิษย์ตระกูลอี้อยู่เช่นกัน และพวกเขาก็เผยจุดยืนกันทันทีที่ได้ยินคำสั่งจากลุงเก้า
“ก็ได้”
“นับแต่เราเริ่มร่วมมือกับพวกเจ้าตระกูลอี้ เราก็เผชิญผลร้ายติด ๆ กัน ข้าไม่รู้จะพูดเช่นไรจริง ๆ”
“อพยพก็อพยพ แต่ที่เราเสียโอกาสฆ่าเจ้าเด็กนั่น ไม่ใช่ความผิดเรานะ”
คนอื่น ๆ รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยในใจ สิ่งที่เผชิญในวันนี้ทำให้พวกเขาเสียเปรียบครั้งแล้วครั้งเล่า สั่งสมโทสะเต็มอกมาเนิ่นนาน เมื่อมาได้ยินคำสั่งเช่นนี้ของลุงเก้า สีหน้าจึงไม่ค่อยน่าดูนัก
ไอ้โง่พวกนี้! ไม่มีใครสัมผัสเค้าลางอันตรายกันได้เลยหรือไร? ลุงเก้าสังเกตเห็นสีหน้ากระฟัดกระเฟียดของคนทั้งหลายแล้วเดือดดาลเจียนระเบิด เขาเตือนคนทั้งหมดด้วยคำนึงถึงความปลอดภัยของคนอื่น ๆ แต่คนเหล่านั้นกลับไม่สำนึกในน้ำใจ ซ้ำยังมาโทษเขาอีก!
โชคยังดีที่คนเหล่านี้เริ่มอพยพออกจากค่ายกลกันจนได้ สิ่งนี้ทำให้ลุงเก้ารู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ฮึ่ม!
ทว่าทันใดนั้นเอง หนึ่งคลื่นอำนาจอันไม่อาจบรรยายพลันปะทุพล่านในมหาค่ายกลเยี่ยงกระแสธาร เพียงพริบตา มันก็ปกคลุมไปทั่วมหาค่ายกล แผดแสงศักดิ์สิทธิ์จ้าจรัสยิ่ง
ให้ความรู้สึกดุจหัตถ์ไร้ลักษณ์ข้างหนึ่งจุดประกายเพลิงเรืองทั่วทิศในผังมหาค่ายกลทุกจุด สั่งการอำนาจทุกสายในผังค่ายกลให้ปะทุเผยลักษณ์
แผดผลาญ เจิดจรัส ยิ่งใหญ่ โรจน์รุ่ง!
“นั่นอะไร?” พวกเขาทั้งหลายซึ่งกำลังจะอพยพจากค่ายกลต่างผงะ
“อพยพเร็วเข้า!” ลุงเก้ากลับหัวใจกระตุกอย่างรุนแรง สีหน้าเครียดคล้ำ ดวงตาแทบถลนจากโทสะ
น่าเสียดาย กว่าจะฟื้นจากความตกตะลึง ทางหนีก็ถูกผนึกไปเสียแล้ว
เหตุผลนั้นง่ายยิ่ง พวกเขายืนอยู่ที่ตาค่ายกลล่าตะวัน ณ ตำแหน่ง ‘เฉียน’ ซึ่งอยู่ใจกลางค่ายกลพอดี เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันในค่ายกล มันก็เหมือนทั้งค่ายแปรสภาพเป็นสมุทรคลั่งถาโถม และตำแหน่ง ‘เฉียน’ ก็กลับกลายเป็นเกาะกลางสมุทร!
ทั่วทิศมีเพียงผืนสมุทร แล้วพวกเขาจะข้ามไปเช่นไร?
ในเมื่อพวกเขาอยู่ลึกถึงใจกลางมหาค่ายกล แล้วจะหาทางรอดชีวิตหนีไปได้เช่นไร?
เพียงพริบตา ใบหน้าของทุกคนพลันซีดเผือด การเปลี่ยนแปลงกะทันหันของค่ายกลทำให้พวกเขาไม่ทันตั้งตัว และสัมผัสอันตรายถึงตายได้ตาม ๆ กัน
พวกเขาหารู้ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นตามมา
หารู้ไม่ว่ามหาค่ายกลจะเกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
ไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันเช่นไรด้วยซ้ำ
ดังนั้นพวกเขาจึงพึ่งพาเพียงสัญชาตญาณที่ขัดเกลามาทั้งชีวิต โคจรการบ่มเพาะทั่วกาย นำสมบัติแข็งแกร่งสูงสุดออกมา ใช้ไพ่ตายหมายทะลวงออกจากค่ายกลสถานเดียว
“น่าเสียดาย มันสายไปแล้ว…” ไกลออกไป ลุงเก้าพึมพำด้วยสีหน้าเหม่อลอย
ตู้ม!
เสียงกัมปนาทดังก้อง
เมื่อมองจากไกล ๆ ค่ายกลล่าตะวันซึ่งปกคลุมหุบเขาสีเลือดระเบิดออกมา รัศมีศักดิ์สิทธิ์สารพัดสายสาดส่องสู่นภา เจิดจ้าเรืองรองทั่วโลกา
หลังจากนั้น เสียงแผดร้องโหยหวนก็ดังสนั่นคลอเสียงระเบิด เต็มไปด้วยความไม่ยินยอม สิ้นหวัง โทสะและความแค้น… ท้ายที่สุด เสียงระเบิดก็กลบพวกมันไปสิ้น
แสนไกลจากหุบเขาสีเลือด เฉินซีซึ่งมองเหตุนี้อยู่ผ่อนหายใจโล่งอกทันที ครุ่นคิดในใจว่า หากไร้สิ่งใดเกินคาดคิด การโจมตีนี้น่าจะกวาดล้างศัตรูสิ้นแล้วกระมัง?
“ไอ้ชั่ว!!” ทันใดนั้น เสียงคำรามด้วยโทสะสุดขีดก็ดังมาจากหุบเขา ร่างสูงใหญ่ดุจขุนเขาของลุงเก้าเผยโฉม กล้ามเนื้อปูดโปนดุจหินผา ปกคลุมด้วยปราณศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่านเกินใดเทียบ
สีหน้าของเขาบึ้งตึงบิดเบี้ยว ดวงตาเจียนถลนด้วยความโกรธแค้น ประหนึ่งอสูรร้ายบ้าคลั่งตั้งใจกลืนศัตรูให้ตายสิ้น
ลุงเก้าโมโหจนแทบสิ้นคำนึงแล้วจริง ๆ เพราะเขาไม่คาดเลยว่าเฉินซีจะไม่ได้ฉีกกระชากค่ายกล แต่ใช้วิธีการบางอย่างระเบิดมหาค่ายกลทั้งค่าย!
เพียงการโจมตีนี้ลำพังก็กำจัดทวยเทพทั้งมวลที่เขาวางไว้ในมหาค่ายกล และนี่เท่ากับมีเทวารู้แจ้งโลกาถึงหกสิบสี่คนที่ตกตายด้วยน้ำมือเฉินซีในครานี้
จำนวนนี้ดูเหมือนน้อย แต่พวกเขาล้วนเป็นเทพ!
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาส่วนหนึ่งเป็นทายาทตระกูลอี้ ยามนี้เมื่อคนทั้งหมดถูกสังหารในค่ายกล ยามข่าวนี้แพร่กลับสู่ตระกูล คงถููกบรรพบุรุษทั้งหลายแล่เนื้อเถือหนังทั้งเป็นแน่นอน!
ดังนั้นลุงเก้าจึงเดือดดาลบ้าคลั่ง ตั้งมั่นใจว่าต่อให้ต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน เขาก็ต้องสังหารเฉินซีให้ได้ มิเช่นนั้น เขาคงอับอายเกินกว่าจะรายงานและอธิบายแก่ทุกคนในตระกูล
…
ขวับ!
เฉินซีเหมือนไม่ได้สังเกตเห็นโทสะของลุงเก้าเลย ทันทีที่ระเบิดในหุบเขาสลายตัว ชายหนุ่มก็นำตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ออกมา เปลี่ยนเป็นค่ายแสงดาราเย็นเยียบปกคลุมทั่วทิศ
จับดวงแสงกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์และทักษะวิชาที่กฎเต๋าแห่งสวรรค์ลิดรอนออกมา
เมื่อเห็นเช่นนี้ ลุงเก้าก็โมโหจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นหน้าผาก สารเลวนี่ไม่เพียงคิดกำจัดเราทั้งหมด กระทั่งรวบรวมสินสงครามต่อหน้าต่อตาข้า!
ทำเกินไปแล้วจริง ๆ!
ตู้ม!
เขาไม่อาจยั้งตนเองได้อีก ทะยานสู่ท้องนภา ก่อนจะนำคันธนูยาวทำจากกระดูกสัตว์ออกมายิงศรศักดิ์สิทธิ์สีแดงสดเป็นพายุ กระหน่ำสาดเข้าใส่เฉินซีซึ่งยืนอยู่ไกล ๆ ทันที
การโจมตีเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องจับพลังชีวิตใด ๆ มันเป็นการกระหน่ำสยบแบบปูพรมอย่างเต็มกำลัง
เคร้ง!
แทบจะพร้อมกันนั้นเอง เฉินซีก็นำยันต์ศัสตราออกมา วูบไหวร่างเข้ารับการโจมตี
แม้แต่ยามที่เฉินซีเพิ่งเข้ามาในแดนโลกาวินาศ ก็ยังสามารถรุกไล่ลุงเก้าเสียจนต้องใช้แท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เข้าสู้สุดชีวิต ขณะนี้การบ่มเพาะและกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเฉินซีพัฒนาแล้วอย่างชัดเจน จึงไม่กลัวการโจมตีสุดชีวิตของลุงเก้าเลย
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ศรแล้วศรเล่าถูกเฉินซีฟันขาดสองเสี่ยง ระเบิดออกเป็นฝนแสง ไม่อาจขวางฝีเท้าของเฉินซีได้เลย
“ไอ้แก่งี่เง่า หนก่อนเจ้าโชคดีรอดไปได้ หนนี้เจ้าไม่โชคดีเช่นนั้นแน่!” เฉินซีใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิงจำแลงกายเป็นคุนเผิงโผทะยาน โบยบินเหนือนภา ก่อนจะโฉบลงใส่ลุงเก้าอย่างองอาจดุร้ายยิ่ง
“สารเลว! อย่าบังอาจทำผยอง!” ลุงเก้าแผดเสียงสนั่น ทิ้งเต๋าแห่งคันศรไปขณะที่ร่างกำยำวูบไหว พุ่งเข้าใส่เฉินซีพร้อมหอกสำริด ตระหนักเช่นกันว่าตนไม่อาจจับพลังชีวิตของเฉินซีได้ จึงไม่อาจใช้เต๋าแห่งคันศรได้เลย
เช้ง! เช้ง! เช้ง!
ยันต์ศัสตราและหอกสำริดปะทะกัน ทำให้รัศมีศักดิ์สิทธิ์สาดประกายไปทั่วทิศ เพียงพริบตาก็ประมือกันไปเกินพันกระบวนท่า เป็นการต่อสู้ซึ่งหน้าอย่างหมดจด
หากมีใครมาเห็นเหตุนี้เข้า คงตื่นตะลึงเป็นแน่แท้ เพราะถึงอย่างไร ลุงเก้าก็เป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณผู้หนึ่ง! แต่บัดนี้ เทวารู้แจ้งโลกากลับสู้ได้อย่างสูสี ชวนตกตะลึงอย่างยิ่ง
ทว่าลุงเก้าไม่ได้รู้สึกตกใจเพราะเหตุนี้อีก เขาเคยสู้กับเฉินซีมาก่อน และตระหนักชัดเจนว่าอำนาจต่อสู้ของเฉินซีร้ายกาจเพียงใด ไม่อาจใช้การบ่มเพาะทั่วไปมาตัดสินได้เลย
เฉินซีเองก็เผยอำนาจเต็มที่ออกมาเช่นกัน หากไม่ทำเช่นนั้น เขาก็จะไม่อาจประชันกับลุงเก้าได้ เพราะถึงอย่างไร ขอบเขตบ่มเพาะของเขาก็ต่ำกว่าลุงเก้าหนึ่งขอบเขต มีแต่ต้องใช้ความสามารถอื่นมาถมช่องว่างเท่านั้น
ในความเห็นของเฉินซี ความสามารถที่เขาสามารถนำมากำจัดเทวารู้แจ้งวิญญาณได้สักคนคือการบ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่ในขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ และสมบัติวิญญาณธรรมชาติที่มีเท่านั้น!
ตู้ม!
เฉินซีและลุงเก้าปะทะกันอย่างต่อเนื่องในฟ้าดิน ปราณกระบี่ฟาดฟันรุนแรงทั่วทิศ ขณะที่เหตุหอกติดตาวูบไหวร่ายรำ สู้กันจนกรวดทรายปลิวกระเด็น ฟ้าดินถล่มราบ ทวยเทพร่ำไห้
“เป็นไปได้อย่างไร? ไยเจ้านี่จึงแข็งแกร่งนัก…?” แสนห่างไกลจากหุบเขาสีเลือด นายน้อยสามอี้เทียนแห่งตระกูลอี้ทอดสายตามองไปไกล สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา และบรรยากาศรอบตัวก็แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมด้วยโทสะ
ค่ายกลล่าตะวันถูกทำลาย บริวารทั้งหลายถูกฝังไปพร้อมมหาค่ายกล มีเพียงลุงเก้าหลงเหลือลำพัง ทว่าเทวารู้แจ้งวิญญาณผู้นี้กลับทำได้เพียงสู้กับไอ้เลวนั่นอย่างสูสี
ความเสียหายยับเยินทั้งหลาย เหตุการณ์กะทันหันเกินคาดคิด และความสูญเสียหนักหนาทำให้อี้เทียนไม่อาจเชื่อสายตาตนได้ อย่าว่าแต่ให้ยอมรับมันเลย
“หรือข้าไม่ควรหมายตาสมบัติวิญญาณธรรมชาติเหล่านั้นจริง ๆ?” สีหน้าของอี้เทียนดำคล้ำบิดเบี้ยว “ไม่ได้! ข้าต้องไม่ยอมถอยไปเช่นนี้! มิเช่นนั้น ข้าจะมีหน้าไปพบบรรพบุรุษได้อย่างไร!?”
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น เสียงกัมปนาทเลื่อนลั่นก็ปะทุสนั่นในฟ้าดิน ทำให้อี้เทียนผงะถึงขั้นสะท้านทั่วร่าง ตกตะลึงเมื่อสังเกตเห็นว่าลุงเก้าบาดเจ็บแล้ว!
…………….