บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1576 ความลับเทียบอันดับเทวา
บทที่ 1576 ความลับเทียบอันดับเทวา
ฟ่าว! ฟ่าว!
เงาร่างหนึ่งวาดร่างผ่านอากาศภายใต้ท้องฟ้าสีแดงเลือด เป็นเหมือนสายลมที่พัดมาอย่างไรทิศทาง ทำให้ผู้อื่นไม่สามารถจับร่องรอยได้
ร่างนี้สูงราวกับยอดเขาโดดเดี่ยว มีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา และมีดวงตาสีดำคู่หนึ่งที่แลดูกว้างใหญ่คล้ายท้องฟ้าพร่างดาว ยิ่งไปกว่านั้น ทุกการเคลื่อนไหวยังมีความมั่นใจ มั่นคง ไม่แยแส และดูไม่ธรรมดายิ่ง
ชายหนุ่มผู้นั้นก็คือเฉินซี
เมื่อสองวันก่อน เขาได้ขัดเกลาและดูดซับก้อนกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่สะสมมาทั้งหมด สุดท้ายก็พาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยันต์อักขระขึ้นขั้นต้นได้ อีกทั้งพลังบ่มเพาะในกายยังเปลี่ยนผันครั้งใหญ่อีกรอบ
ที่เฉินซีสามารถทำเช่นนี้ได้ซีก็เป็นเพราะก้อนแสงที่ลุงเก้าเหลือไว้ก่อนสิ้นใจ มันมีกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเทวารู้แจ้งวิญญาณที่หนาแน่นทรงพลัง ไม่เช่นนั้นแค่ก้อนแสงที่เทวารู้แจ้งโลกาเหลือไว้คงไม่อาจทำให้เฉินซีรุดหน้าขึ้นเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยันต์อักขระขั้นต้นได้เร็วเช่นนี้
หากต้องต่อกรกับลุงเก้าตอนนี้ พลังต่อสู้ของข้าก็สามารถกำจัดเขาได้ คงไม่ต้องใช้อย่างอื่นเข้าช่วยเลย… ยามเหินร่างไป เฉินซีก็สัมผัสความเปลี่ยนแปลงภายในความแข็งแกร่งได้ จึงได้แต่ถอนหายใจออกมา นับตั้งแต่ที่เข้าแดนโลกาวินาศมา เขาก็มองลุงเก้าเป็นศัตรูอันดับหนึ่งมาโดยตลอด ที่ตั้งหน้าตั้งตาทำทุกอย่างตอนนี้ก็เพื่อเอาชนะเขาให้ได้
นี่คือความหมายของคำกล่าวที่ว่า ทุกสิ่งถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า และทุกสิ่งอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ล้วนมีความลึกล้ำซุกซ่อนอยู่
ไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้จะอยู่ระดับใดในเอกภพมสิหิม… เฉินซีตกอยู่ในภวังค์ความคิด
สุดท้ายก็เทียบแดนโลกาวินาศกับแดนเทพโบราณไม่ได้ ที่นั่นมีภูมิภาคกว่าพัน มีจักรวาลมากมายในแดนเทพโบราณ เป็นแดนนิรันดร์ที่เหล่าทวยเทพเคลื่อนตัวได้อิสระ ดังนั้นเทพที่นั่นจึงไม่ธรรมดา
และเท่าที่เฉินซีรู้ ถึงเขาจะอยู่เหนือเทวารู้แจ้งโลกาทั้งหลายได้ในตอนนี้ แต่ก็ยังมีเทวารู้แจ้งวิญญาณ มีบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล….
หลังจากเฉินซีได้เห็นแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวที่สังหารลุงเก้าแล้ว เขาก็สัมผัสได้เลือนรางว่ายังมีตัวตนที่เหนือกว่าบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอยู่อีก!
เช่นนั้นแล้ว เฉินซีย่อมไม่กล้ารู้สึกทะนงตนว่ามีกำลังแข็งแรง เพราะรู้ดีว่าในหมู่ทวยเทพแล้ว สุดท้ายเขาก็ยังอยู่ในระดับธรรมดาอยู่ดี
“คุณชาย ข้าได้ยินท่านยายบอกว่าในแดนเทพโบราณมีเทียบอันดับเทวาอยู่ ทวยเทพชั้นยอดในแต่ละขอบเขตพลังบ่มเพาะจะถูกระบุนามไว้ในนี้ ด้วยพลังเช่นท่านย่อมต้องมากพอจะติดเทียบอันดับเทวาของเทวารู้แจ้งโลกาได้แน่” อาเหลียงที่ยืนอยู่บนหูเฉินซีพลันเอ่ยขึ้น สองตานางเปล่งประกายระบายไปด้วยแววชื่นชม
เทียบอันดับเทวา!
มีชื่อของยอดฝีมือแกร่งกล้าสามารถมากมายอยู่บนเทียบเหล่านั้น ให้กลิ่นอายสูงส่งอย่างบอกไม่ถูก นับเป็นเกียรติยศอันสูงส่งสำหรับเหล่าทวยเทพที่ได้มีชื่ออยู่บนเทียบอันดับเหล่านี้!
แต่เฉินซีรู้สึกไม่ชอบเทียบอันดับเหล่านี้มาตลอด นั่นก็เป็นเพราะชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก ตอนเขาอยู่ภูมิภาคบรรลุเทพ เฉินซี สืออวี๋ เซียงหลิวหลี และคนอื่น ๆ หมายตาผลวิญญาณเต๋าไว้ แต่สุดท้ายก็ถูกขัดขวางด้วยเทียบอันดับเทวา เพราะถึงจังหวะสำคัญ หากไม่ใช่ว่าได้ความช่วยเหลือจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก พวกเขาก็คงต้องกลับบ้านมือเปล่าไปแล้ว
นับแต่นั้นมาเฉินซีก็คอยระวังเทียบลึกลับนี้ไว้
ดังนั้นพอได้ยินอาเหลียงพูดถึงเทียบอันดับเทวา จังหวะนั้นเฉินซีก็รู้สึกซับซ้อนอยู่ในหัวใจ ในความระมัดระวังนั้นยิ่งทวีความสับสนมากกว่าเดิม เทียบอันดับเทวามีความหมายต่อทวยเทพในแดนเทพโบราณอย่างไรกันแน่?
มันมาจากไหนกัน?
แล้วทำไมชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากถึงดูเกลียดชังมันนัก?
“คุณชาย?” อาเหลียงประหลาดใจเมื่อเห็นเฉินซีเงียบไป
“อ้อ กำลังคิดถึงเทียบอันดับเทวาน่ะ จะว่าไปนะอาเหลียง เจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเทียบอันดับเทวาบ้าง?” เฉินซียั้งความคิดไว้ด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึก
“ก็ไม่รู้อะไรมาก เพียงแต่เคยได้ยินท่านยายบอกว่า หากจะดูว่าเทพคนไหนเก่ง ก็ให้ไปดูอันดับของเทพคนนั้นบนเทียบอันดับเทวา” อาเหลียงอธิบายเสียงเบา จากที่ท่านยายเล่า เทียบอันดับเทวาวิเศษมาก อันดับก็ยุติธรรมที่สุด สามารถแสดงความแกร่งของเทพแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งตามขอบเขตพลังของเทพแล้ว เทียบอันดับเทวายังแบ่งออกหลายอย่าง เช่นเทียบอันดับรู้แจ้งโลกา เทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ เทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาล….
แต่ผู้ที่สามารถมีรายชื่ออยู่บนนั้นได้ล้วนต้องเป็นยอดฝีมือในแต่ละขอบเขตพลังทั้งสิ้น
หลังจากได้ยินเช่นนั้นแล้ว เฉินซีก็นึกถึงเทียบอันดับเซียนทะยานฟ้า เทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ และเทียบอันดับทั้งหลายในภพเซียน
แต่ที่ต่างคือเทียบอันดับเทวานั้นมีความลึกลับกว่า ทำให้เฉินซีรู้สึกระแวดระวังทุกครั้งที่ได้ยินใครพูดถึงเทียบอันดับเทวาขึ้นมา
เขารู้สึกราวกับว่าหากชื่อเขาปรากฏบนนั้นเมื่อไหร่ ชะตากรรมก็คงถูกมันควบคุมอยู่เล็กน้อย
“ข้าไม่อยากมีชื่ออยู่บนนั้นหรอก” เฉินซีถอนใจ
“ทำไมล่ะ?” อาเหลียงชะงักไป ก่อนจะถามด้วยความสงสัย บรรพชนเผ่าจุลบรรพกาลของนางมีหลายคนที่มีชื่อปรากฏอยู่บนเทียบอันดับเทวา พวกเขาล้วนรู้สึกเป็นเกียรติยิ่ง ทำให้ลูกหลานต่างก็มองเทียบอันดับเทวาเป็นเป้าหมายที่ต้องทำให้ได้ อยากมีรายชื่อติดอยู่บนนั้นสักครั้ง
แต่ในจังหวะนั้น เฉินซีกลับบอกว่าไม่อยากมีชื่ออยู่บนนั้น จึงทำให้อาเหลียงประหลาดใจไม่น้อย
“คนกลัวมีชื่อเสียง หมูเองก็กลัวอ้วน ข้าไม่อยากให้ชื่อเสียงเหล่านั้นต้องทำให้ชีวิตข้าลำบาก” เฉินซียิ้ม แต่ก็ไม่ได้บอกความคิดจริง ๆ ให้อาเหลียงรู้
เพราะมันเป็นเรื่องลึกลับเกินไป น้อยคนรู้จะดีกว่า
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ท้องฟ้าสีแดงเลือดที่ดูเหมือนไร้ที่สิ้นสุดก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หรือบางทีอาจกล่าวได้ว่ามีสีอื่น ๆ ปรากฏอยู่บ้าง เช่น มีภูเขาเขียวขจี ธารน้ำใส เมฆสีขาว ท้องฟ้าสีคราม ทุ่งโล่ง….
เฉินซีหยุดเคลื่อนไหวทันที เขารู้ดีว่ากำลังจะออกจากพื้นที่ล่าที่เต็มไปด้วยสีแดงแล้ว ทางไปสู่เอกภพมสิหิมคงจะอยู่ข้างหน้านี้
“อาเหลียง อีกไม่ไกลแล้วล่ะ นี่เป็นปราการสุดท้ายของเราแล้ว หากเราผ่านไปได้ก็จะสามารถเข้าแดนเทพโบราณได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าข้าจะเจออันตรายอะไร เจ้าต้องจำไว้ว่าอย่าเผยกายอีกจนกว่าจะถึงแดนเทพโบราณ” เฉินซีมีใบหน้าเคร่งขรึม นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง
“คุณชายจะต่อสู้กับคนนิกายอำนาจเทวะเพียงลำพังหรือ?” อาเหลียงถามด้วยความเป็นห่วง
เฉินซียิ้มบาง “อันนั้นเผื่อไว้หากเกิดเหตุร้าย ข้ายังมีแผนดีเหลืออยู่ ไม่แน่ว่าอาจผ่านไปได้อย่างปลอดภัยได้”
ระหว่างพูด พฤกษาฤทัยเขียวขจีที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีอันศักดิ์สิทธิ์หนาแน่นก็รอยปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ กลีบทั้งสามสิบหกซ้อนทับกันเอง ดูตระการตาไม่น้อย
“ผิวไร้ลักษณ์?” อาเหลียอึ้งไป จากนั้นเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “สมบัติชิ้นนี้มีแต่ราชาเผ่าหน้ากากหนังพฤกษาจะสามารถกลั่นขึ้นมาได้ พวกมันสูญพันธุ์ไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ไม่คิดเลยว่าท่านจะหาสมบัติล้ำค่าเช่นนี้มาได้”
เฉินซีจึงเล่าเรื่องที่เจอกับเผ่าหน้ากากหนังพฤกษาให้อาเหลียงฟัง
“ฮ่า ๆ! พวกนั้นขี้ขลาดตาขาวแล้วก็บื้อจัง” อาเหลียงปิดปากหัวเราะยามได้ฟัง
เฉินซีเริ่มหัวเราะเช่นกัน เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาเจอศัตรูขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้ ถึงตอนนี้มาย้อนคิดดูก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน
“คุณชายจะใช้ผิวไร้ลักษณ์นี้เปลี่ยนเป็นใครหรือ?” อาเหลียงถามด้วยความสงสัย
“ย่อมต้องเป็นคนของนิกายอำนาจเทวะ” เฉินซีเอ่ยง่าย ๆ ในขณะที่พลังศักดิ์สิทธิ์เพิ่งออกจากมือแล้วโอบล้อมพฤกษาฤทัยไว้ ทันใดนั้นก็เกิดแสงระยับเข้าโอบล้อมทั่วทั้งร่างเขา
พอแสงหายไป เฉินซีก็กลายเป็นคนอีกคนแล้ว เขาอยู่ในชุดสีดำสวมหมวกไม้ไผ่ มีท่าทีเช่นสตรีดูเยือกเย็น อีกทั้งทั่วร่างอย่างเต็มไปด้วยกระแสความวิบัติอันน่าหวาดกลัว หรือก็คือรูปลักษณ์ของศิษย์พี่ใหญ่แห่งศิษย์ชั้นยอดนิกายอำนาจเทวะ อินไฮว่คง!
“คุณชาย นี่ท่าน….” อาเหลียงเห็นแล้วก็อึ้งไป ไม่คิดเลยว่าไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ของเฉินซีจะเปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ท่าทีก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เฉินซีตรวจสอบตนเองแล้วก็ถอนใจออกมาเช่นกัน เพราะเขาเองยังรู้สึกเหมือนถูกอินไฮว่คงสิงเลย
โดยเฉพาะเรื่องน้ำเสียง ตอนนี้มันแหบแห้งทุ้มต่ำ แล้วยังมีกลิ่นอายความมืดมนเฉพาะตัวนั่นอีก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่วิชาธรรมดาสามารถเลียนแบบได้เลย
“เหมือนคนจากนิกายอำนาจเทวะไม่มีผิด! ไม่ใช่สิ! นี่มันคนนิกายอำนาจเทวะชัด ๆ!” อาเหลียงร้องเสียงประหลาดใจ ไม่รู้ทำไมนางถึงต้องรู้สึกระมัดระวังนัก เห็นได้ชัดว่ายังยอมรับหน้าตาที่เปลี่ยนไปของเฉินซีไม่ได้
แต่ก็แสดงให้เห็นอำนาจวิเศษของผิวไร้ลักษณ์เผ่าหน้ากากหนังพฤกษาได้เป็นอย่างดี
“มีแต่ต้องทำเช่นนี้ถึงจะหลอกคนอื่นได้ ไปเถอะ” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าแล้วมองไปยังฟ้าไกล
…
ฟ่าว!
ในทุ่งสีเขียวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา อุโมงค์มิติหลากสีวาดผ่านบนท้องฟ้า มันไม่ได้อยู่เพียงจุดใดจุดหนึ่ง กลับเป็นเหมือนธารน้ำที่หลั่งไหลอยู่กลางอากาศ เคลื่อนย้ายไปไม่หยุด
มองไกล ๆ ก็เหมือนริ้วผ้ากำลังลอยอยู่ในอากาศ เป็นเหตุที่น่าตื่นตาไม่น้อย
ห้องโถงศักดิ์สิทธิ์อันสูงตระหง่านตั้งอยู่เบื้องหน้าอุโมงค์มิติ เหมือนปิดทางเข้าอุโมงค์มิตินั้นไว้
อีกทั้งยังมีทวยเทพคอยเดินตรวจตราพื้นที่หน้าห้องโถงศักดิ์สิทธิ์ ดูจะมีการคุ้มกันแน่นหนาทีเดียว
ทางผ่านนี้ถูกคุ้มกันไว้ด้วยคนจากนิกายอำนาจเทวะ มันเป็นทางเดียวที่จะนำไปสู่เอกภพมสิหิมจากแดนโลกาวินาศได้!
“แข็งขันกันเข้าไว้! อาจารย์ป้าเยี่ยกำลังจะมาตรวจตราที่นี่แล้ว หากนางเห็นข้อผิดพลาดใด พวกเจ้าก็คงจะรู้ผลลัพธ์ดี!” ชายแก่ชุดดำปรากฏอยู่หน้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์ กวาดสายตามองรอบกายก่อนร้องสั่งศิษย์ที่เดินตรวจตราเสียงเข้ม
ศิษย์ที่เดินตรวจตราจึงไม่กล้าเหลาะแหละ แข็งขันเดินตรวจตราด้วยหน้าตาโหดเหี้ยมขึ้นมาทันใด แม้แต่แมลงตัวหนึ่งบินผ่านก็คงต้องถูกลากออกไปหรือไม่ก็ถูกสังหารทิ้งเสียตรงนั้น
พร้อมกันนั้นยังมีพวกที่อยู่ด่านนอกห่างออกไปร้อยลี้จากตำหนักศักดิ์สิทธิ์อีก ตรงนั้นมีศิษย์นิกายอำนาจเทวะคอยป้องกันอยู่สิบหกคนด้วยกัน
ในตอนนั้นมีคนต่อแถวอยู่ตรงด่านนอกแถวหนึ่ง กำลังรอตรวจตัวตนและจ่ายผลึกศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้สามารถผ่านไปได้อย่างปลอดภัย