บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1577 อินทรีทองคำเทวะ
บทที่ 1577 อินทรีทองคำเทวะ
หากมีใครสักคนสังเกตอย่างถี่ถ้วน คนผู้นั้นก็คงจะพบว่านิกายอำนาจเทวะนั้นได้สร้างปราการป้องกันบนเส้นทางนี้มากถึงสามชั้น
ชั้นแรกคือด่านหน้าซึ่งอยู่ห่างจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์ราวร้อยลี้ มันได้รับการป้องกันโดยศิษย์ทั้งสิบหกคนของนิกายอำนาจเทวะ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหน้าที่ทำการตรวจตราผู้คนที่สัญจรไปมา รวมถึงเรียกเอาผลึกศักดิ์สิทธิ์จากพวกเขา
ชั้นที่สองตั้งอยู่ที่ด้านหน้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์ มันได้รับการปกป้องโดยกลุ่มศิษย์ที่กำลังทำหน้าที่ลาดตระเวน ความรับผิดชอบหลักของพวกเขาคือ การสกัดกั้นผู้บุกรุกและจัดการกับสถานการณ์เร่งด่วนที่ไม่คาดฝัน
ชั้นที่สามคือตัวของตำหนักศักดิ์สิทธิ์เอง ที่นั่นมีเทวารู้แจ้งวิญญาณมากกว่าสามคน ทั้งยังมีศิษย์ชั้นสูงจำนวนมากอาศัยอยู่ด้านในตลอดทั้งปี
เหล่านี้คือด่านป้องกันทั้งสามชั้นที่นิกายอำนาจเทวะได้วางไว้ในแดนโลกาวินาศ พวกมันไม่มีจุดบอดเลยแม้แต่น้อย
หากพิจารณาในแง่จำนวน ก็นับว่ามีศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะอยู่ที่นี่มากกว่าร้อยคน จริงอยู่ที่จำนวนของมันดูน้อยเมื่อเทียบกับระดับของการต่อสู้ แต่การมีอยู่ของเทวารู้แจ้งวิญญาณก็ทำให้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถต่อต้านกองกำลังนี้ได้
เมื่อนึกถึงสรรพกำลังและอิทธิพลของนิกายอำนาจเทวะ แน่นอนว่าไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์คนใดในแดนเทพโบราณกล้าที่จะสร้างปัญหาที่นี่
และหากคิดรวมกับบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลที่ลาดตระเวนทั่วพื้นที่ตลอดทั้งปีแล้วละก็ พลังของพวกเขาก็เหมือนจะน่าสะพรึงกลัวยิ่ง
ตอนนี้เอง ผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังต่อแถวที่หน้าด่านแรก พวกเขากำลังรอยืนยันตัวตนและจ่ายผลึกศักดิ์สิทธิ์เป็นค่าผ่านทางสำหรับเข้าไปในอุโมงค์มิติเพื่อกลับไปยังเอกภพมสิหิม
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้มาจากเอกภพมสิหิมแน่นอน หากเป็นเพียงทวยเทพจากภพเบื้องล่างซึ่งถูกกวาดต้อนมายังแดนโลกาวินาศ พวกเขาไม่มีทางที่จะกล้าเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้ได้เลย
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะนิกายอำนาจเทวะมีแนวปฏิบัติเดียวต่อผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มาจากภพเบื้องล่าง นั่นคือจับพวกเขาทั้งหมดมาเป็นทาส และส่งไปยังพื้นที่ห่างไกลไร้คนรู้จัก เพื่อทำงานรับใช้นิกายอำนาจเทวะ
เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ก็ย่อมหมายความว่าพวกเขาอยู่ห่างจากความตายเพียงคืบ เนื่องจากพื้นที่ห่างไกลเหล่านั้นเต็มไปด้วยความอันตรายเกินกว่าจะมีผู้ใดเสี่ยงชีวิต!
“หึ ๆ! เจ้าได้ยินข่าวมาบ้างหรือไม่? เห็นว่าตอนนี้นายน้อยสามแห่งตระกูลอี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต ทั้ง ๆ ที่เส้นทางกำลังจะปิดแล้ว แต่กลับไร้วี่แววของเขา หรือนายน้อยสามจะตายไปแล้วจริง ๆ?”
“เจ้าหมายถึงอี้เทียนหรือ? ข้าเองก็ได้ยินมาเช่นกัน เหมือนว่าเขาจะรวบรวมกองกำลังจำนวนมากมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ล่าเพื่อตามหาใครบางคน คงเป็นไปไม่ได้กระมังที่คุณชายผู้มากด้วยผู้ติดตามเช่นนั้นจะพบกับอันตราย”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ? เจ้าไม่เห็นหรือว่าเขายังไม่ปรากฏตัวเลยนะ แม้แต่บรรดาผู้ติดตามก็ไม่มีมาให้เห็นแม้สักคนเดียว ข้าได้ลองถามข่าวคราวเกี่ยวกับเขาแล้ว แต่ในแดนโลกาวินาศตลอดสองสามวันมานี้ก็ไม่มีข่าวอะไรเลย อย่างกับระเหยไปในอากาศอย่างนั้นละ หากถามข้าละก็ พวกเขาคงจะ… ฮ่า ๆ ๆ พวกเจ้าเข้าใจใช่หรือไม่ว่าข้าหมายถึงอะไร”
กลุ่มที่ต่อแถวด้านหน้าด่านชั้นแรกพูดคุยกันอย่างออกรส ตลอดแถวที่ทอดยาวมีผู้คนมากหน้าหลายตา ทว่ากลับไม่มีนายน้อยสามอี้เทียนและคนของเขาเลยแม้แต่คนเดียว
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เป็นผู้คนที่มาจากเอกภพมสิหิม อีกทั้งพวกเขายังรู้จักอี้เทียน นายน้อยสามแห่งตระกูลอี้
“หากมันเป็นอย่างเจ้าว่า มันก็น่าเหลือเชื่อไปหน่อยนะ ใครกันที่สามารถทำเรื่องเช่นว่านั้นได้? เท่าที่ข้ารู้ ตระกูลอี้ได้ส่งเทวารู้แจ้งวิญญาณมาคุ้มกันนายน้อยสามโดยเฉพาะเลยนี่” ใครบางคนคล้ายจะหลงอยู่ในความคิด
“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนเจ้านั่นแหละ”
คนอื่น ๆ เริ่มพยักหน้าตามบทสนทนา พวกเขาต่างก็นึกประหลาดใจไม่ต่างกัน มันแปลกมากที่จะมีใครหรือสิ่งใดสามารถทำลายล้างกลุ่มของอี้เทียนได้อย่างราบคาบ
อีกฟากของเส้นทาง ร่างร่างหนึ่งซ่อนตัวอยู่ภายใต้ช่องเขาห่างจากหน้าด่านออกไปราวหมื่นลี้ เขาสวมเสื้อผ้าสีดำและหมวกไม้ไผ่สาน พลังชีวิตถูกอำพรางไว้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้ไม่มีผู้ใดสามารถสังเกตถึงการมีตัวตนของเขาได้เลย
แปลกนัก พวกเขายังไม่รู้ว่ากลุ่มของอี้เทียนถูกกำจัดไปแล้ว… ใบหน้าและสายตาของเฉินซีที่ซุกซ่อนภายใต้เงาของหมวกไม้ไผ่สานแฝงซึ่งความครุ่นคิด
ความผันผวนซึ่งเกิดจากการต่อสู้ครั้งนี้นับว่ารุนแรงนัก ทว่ากลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว สิ่งนี้ทำให้เฉินซีตระหนักได้อย่างหนึ่งว่าน่าจะมีใครบางคนช่วยตนกำจัดร่องรอยทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสมรภูมิแห่งนั้น
ใครกันที่ช่วยข้าไว้?
เฉินซีพลันนึกถึงลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวที่สังหารลุงเก้าในวันนั้น ทันใดนั้นภาพของเทพธิดาลึกลับนางนั้นก็ปรากฏขึ้นในห้วงคำนึง
หรือทั้งหมดนี้จะเป็นฝีมือของนาง?
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะอนุมานถึงเทพธิดาผู้นั้น เพราะนอกจากเถี่ยคุนและท่านยายจากเผ่าจุลบรรพกาลแล้ว คนเดียวที่เขาได้รู้จักในแดนโลกาวินาศก็คือเทพธิดานางนั้นผู้เดียว
แน่นอนว่ามีเพียงเทพธิดาจากเอกภพสมุทรทักษิณาเท่านั้นที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้!
แต่ทำไมนางถึงต้องแอบช่วยข้าอย่างลับ ๆ ด้วยเล่า?
เฉินซีไม่อาจล่วงรู้คำตอบ สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงส่ายหน้าเพื่อสลัดความคิดนั้นออกไป ด้วยไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มก็จะขอทดความเมตตานี้เอาไว้ในใจ
…
ผ่านไปเนิ่นนาน เฉินซียังคงซ่อนตัวและสังเกตการณ์แนวป้องกันที่สามของนิกายอำนาจเทวะอย่างเงียบเชียบ เขาดักฟังการสนทนาของคนเหล่านั้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง
อย่างเช่น ชื่อของศิษย์นิกายอำนาจเทวะที่กำลังเฝ้าแนวป้องกัน กระบวนการที่พวกเขาใช้ในการป้อวกันตัวตน จำนวนผลึกศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาเรียกรับ เป็นต้น
ข้อมูลเหล่านี้ค่อนข้างดูกระจัดกระจายอย่างมาก แต่สำหรับเฉินซีที่กำลังปลอมตัวเป็นอินไฮว่คง ศิษย์ชั้นยอดของนิกายอำนาจเทวะ พวกมันล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาจำเป็นต้องรู้
อย่างไรแล้ว ตอนนี้เขาก็คืออินไฮว่คง ศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะ ดังนั้นจะพลาดแม้แต่ก้าวเดียวไม่ได้
เมื่อม่านแห่งรัตติกาลถูกกางออก ดวงตาของเฉินซีที่ไร้การเคลื่อนไหวประหนึ่งซากผีแห้งตายก็พลันหรี่แคบลง ในที่สุดโอกาสของเขาก็มาถึงแล้ว!
…
วี๊ด!
เสียงร้องเล็กแหลมของอินทรีกังวานกลางหมู่เมฆ หลังจากนั้นอินทรีทองคำเทวะซึ่งคล้ายว่าทั้งตัวของมันจะฉาบไปด้วยทองอร่ามก็สยายปีกกว้างซึ่งกินพื้นที่ราวสิบจั้ง ก่อนจะบินผ่าผืนฟ้าจะว่อนวนอยู่เช่นนั้นอย่างไม่พักเหนื่อยอ่อน
พวกมันเป็นอสูรบินเทวะที่ศิษย์ของนิกายอำนาจเทวะเลี้ยงไว้ โดยจะปล่อยให้มันได้ออกบินอย่างอิสระทุก ๆ สามชั่วยาม
ทันใดนั้น อินทรีทองคำเทวะตัวนี้ก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นถึงบางอย่าง มันส่งเสียงร้องดังกังวานก่อนจะโฉบลงไปเบื้องล่าง กรงเล็บที่แหลมคมราวใบมีดของมันกางออกขณะที่พุ่งการโจมตีไปยังช่องเขา
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็ตกอยู่ใต้ความเงียบงัน นับตั้งแต่อินทรีทองคำเทวะโฉบตัวลงมา เสียงของมันก็กลืนหายไปราวกับว่ามันได้สูญสลายไปจากโลกนี้แล้ว
“เอ๊ะ? ศิษย์พี่เว่ย ทำไมเจ้าเสี่ยวจินของท่านจึงหยุดร้องไปแล้วล่ะ?” ศิษย์คนหนึ่งในปราการชั้นแรกถามถึงด้วยความงุนงง
“ฮ่า ๆ! เจ้าอสูรบินนั่นชอบบินไปมั่วซั่ว สงสัยมันคงจะถูกจับกินไปซะแล้วละ” ศิษย์คนหนึ่งพูดติดตลกทั้งเสียงขบขัน
“หุบปากไปเลย!” ศิษย์ผู้มีเส้นผมสีเขียวและสวมอาภรณ์สีเทาคนหนึ่งจ้องมองไปยังเจ้าของมุกตลกร้ายเมื่อครู่ด้วยความไม่พอใจ เขามองขึ้นไปยังท้องฟ้าไกลทั้งคิ้วขมวด ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด ก็ไม่อาจสงบใจได้เลย “พวกเจ้า ข้าว่าจะลองไปดูมันเสียหน่อย”
“เอาสิ ท่านไปเถอะ”
ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าศิษย์พี่เว่ยผู้นี้รักและใส่ใจเจ้าอินทรีทองคำเทวะตัวนั้นเพียงใด
ศิษย์พี่เว่ยพยักหน้าเมื่อได้ยินเสียงเห็นพ้อง เขาจากไปอย่างเร่งรีบ
ไม่นานนักก็มาถึงช่องเขา สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ด้วยรู้สึกขบขันระคนขุ่นเคือง ให้ตายเถอะ เจ้าอินทรีของเขากำลังนอนส่งเสียงกรนคร่อก ๆ น้ำลายกองมหึมาไหลออกมาจากปากยาวเป็นสาย
“เสี่ยวจิน! ตื่นเดี๋ยวนี้!” ศิษย์พี่เว่ยตวาดเสียงดัง ทว่าเจ้านกนั่นกลับไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย ทำเอาสีหน้าของผู้เป็นนายถึงกับผลัดสีเข้าด้วยความโกรธ เขาขบกรามเบา ๆ ขณะพุ่งตัวลงไป “เจ้าตัวขี้เกียจเอ๊ย! นี่ข้าตามใจเจ้ามากไปใช่ไหมจึงได้ทำตัวเหลวไหลเช่นนี้!”
ขณะที่พูด เขาก็ฟาดฝ่ามือลงไปยังเสี่ยวจิน
ฉับพลันนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ คนผู้นั้นเอามือปิดปากเขาไว้ข้างหนึ่ง ในขณะที่อีกข้างถือกระบี่มาจ่อเข้าที่ลำคอ เจตจำนงกระบี่ที่แหลมคมและไร้เทียมทานบนใบมีดทำเอาเขาถึงกับขนลุกเกรียว
รูม่านตาของศิษย์พี่เว่ยเบิกกว้าง ร่างกายแข็งทื่อ เขาในตอนนี้ทั้งตกใจปนโมโหสุดขีด แน่ละ มีหรือที่จะดูไม่ออกว่านี่เป็นการซุ่มโจมตีที่มีการตระเตรียมการไว้อย่างดี
ผ่านไปเพียงครู่เขาก็ระเบิดหัวเราะเยือกเย็น บ้าเอ๊ย! ใครมันบ้าถึงขนาดกล้ามาซุ่มโจมตีข้าในถิ่นของนิกายอำนาจเทวะ? เห็นทีคงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ
ตามความรู้สึกของศิษย์พี่เว่ย คนที่ลอบโจมตีจะต้องเป็นเหยื่อจากภพเบื้องล่างอย่างแน่นอน เป้าหมายคงไม่ใช่ใดอื่นหากเป็นการบังคับให้พาผ่านอุโมงค์มิติไป
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ศิษย์พี่เว่ยจึงค่อนข้างจะมีอาการสงบนิ่ง เขาเตรียมคำพูดไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ว่าคนผู้นี้จะร้องขออะไรก็ตาม เขาจะยอมทำตามที่ว่ามาทั้งหมด และหลังจากที่เจ้าคนโง่งมนี่เดินเข้ามาในหลุมพราง แน่นอนว่าอีกฝ่ายจะต้องชดใช้ราคาในสิ่งที่ทำลงไปอย่างสาสม!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้กลับเกินกว่าความคาดหมายของเขาไปมาก
พรวด!
ศิษย์พี่เว่ยรู้สึกว่าคอของตนพลันเย็นวาบ เขาไม่มีแม้เวลาจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวด การมองเห็นมืดดับลงก่อนจะสูญเสียความรู้สึกทั้งหมดไปในที่สุด
กระทั่งช่วงก่อนที่วิญญาณจะดับสูญ เขาก็ยังไม่หายจากอาการตกใจ แน่ละ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใครทำการในลักษณะที่ต่างออกไปเช่นนี้…
“คุณชาย เหตุใดท่านจึงฆ่าเขาละเจ้าคะ?” อาเหลียงอดถามขึ้นไม่ได้
“สิ่งที่เขาบอกข้าอาจจะไม่ใช่ความจริง บังเอิญว่าข้ามีเคล็ดวิชาในการอ่านใจ และนั่นก็เพียงพอที่จะค้นหาคำตอบที่ข้าต้องการจากภายในวิญญาณได้แล้ว” ภายใต้เสียงเรียบขรึม เฉินซีวางศพของศิษย์พี่เว่ยลงบนพื้น ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะดำเนินการในขั้นต่อไป
…
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
“เอ… ศิษย์พี่เว่ยออกไปนานเกินไปแล้ว ทำไมเขาถึงยังไม่กลับมาอีก?” ใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ด่านหน้าเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
“พวกเจ้าทั้งสี่คนตามไปดูหน่อยก็แล้วกัน ในตอนนี้ทุกคนในแดนโลกาวินาศต่างก็รู้ดีว่าเส้นทางกำลังจะถูกปิดลง ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่แปลกถ้าหากจะมีใครสักคนสิ้นไร้ไม้ตอกและหันมาทำบางอย่างที่สิ้นคิด” ชายชราในชุดสีเทาตัดสินใจ พลางออกคำสั่งเสียงทุ้ม
ศิษย์ทั้งสี่คนของนิกายอำนาจเทวะออกไปตามคำสั่งในทันที พวกเขาเริ่มออกค้นหาจากระยะไกล
ภายใต้ม่านสีดำสนิทของท้องฟ้ายามราตรี ในขณะที่ระดมกำลังค้นหา ท่าทางของพวกเขาก็ต่างเคร่งเครียดและเคืองแค้น ดวงตาเหล่านั้นฉาบไปด้วยความระแวดระวัง
ไม่นานพวกเขาก็ไปถึงช่องเขาแห่งนั้น อย่างไรก็ตาม ร่างของอินทรีทองคำเทวะและศิษย์พี่เว่ยก็ได้อันตรธานจากที่นั่นนานแล้ว ไม่มีแม้แต่ร่องรอยรัศมีหลงเหลืออยู่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาสี่คนจึงไม่สามารถค้นหาศิษย์พี่เว่ยได้พบ
“น่าแปลก ศิษย์พี่เว่ยหายไปไหนของเขากันแน่?”
“ข้าว่าเจ้าอสูรบินจอมตะกละนั่นคงจะยังไม่อิ่ม ก็เลยร่อนไปทั่วเพื่อหาเหยื่อที่อื่นกระมัง ส่วนศิษย์พี่เว่ยก็คงจะตามมันไป”
“นั่นสิ เหมือนเรื่องเช่นนี้จะเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นเราควรจะมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ล่าเพื่อตามหาเขาดีหรือไม่?”
“ช่างเถอะน่า กลับกันดีกว่า หากพรุ่งนี้เช้าศิษย์พี่เว่ยยังไม่กลับมา ค่อยออกไปตามหาก็ยังไม่สาย”
“ใช่ ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า”
พวกเขาทั้งสี่คนหารือกันถึงเรื่องนี้ ก่อนจะตัดสินใจหันหลังเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังที่เก่า
ขวับ!
ตอนนั้นเอง ด้านหลังพลันเกิดคลื่นของมิติผันผวนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้ายามราตรีที่กว้างใหญ่
พวกเขาทั้งสี่สัมผัสถึงมันได้ทันที จึงหันกลับมามองด้วยความรวดเร็วพร้อมกับตั้งท่าเพื่อรอการต่อสู้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้นอย่างชัดเจน ทั้งสี่พลันชะงักไปเล็กน้อย ศิษย์พี่ใหญ่? นี่เขามาทำอะไรที่นี่?
…………….