บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1578 กลโกงซึ่งหน้า
บทที่ 1578 กลโกงซึ่งหน้า
ศิษย์นิกายอำนาจเทวะทั้งสี่ไม่คาดคิดเลยว่า ขณะที่พวกตนไม่อาจหาศิษย์พี่เว่ยพบ จะได้มาพบศิษย์พี่ใหญ่อินไฮว่คงแทน
“ศิษย์พี่ใหญ่” แต่พริบตาต่อมา พวกเขาก็ชะงักเท้าก้มหัวคารวะกันทันที
พรึ่บ!
“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่?” อินไฮว่คงซึ่งก็คือเฉินซีจำแลงกายสวมอาภรณ์ดำ หมวกไม้ไผ่สาน เต็มไปด้วยบรรยากาศหดหู่พุ่งมาหาอย่างรวดเร็ว กล่าวขึ้นเสียงเย็น
“ศิษย์พี่ใหญ่ เรากำลังหาศิษย์พี่เว่ยกันอยู่ขอรับ ก่อนหน้านี้อินทรีทองคำเทวะของศิษย์พี่เว่ยหลงทาง ศิษย์พี่เว่ยเลยออกตามหา แต่ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ศิษย์พี่เว่ยก็ยังไม่กลับมา เราเป็นห่วง ก็เลย…” หนึ่งในนั้นรีบร้อนอธิบาย
ก่อนจะทันพูดจบ เฉินซีก็แค่นเสียงเย็นขัดจังหวะ “ฮึ! พวกเจ้านี่ไร้ระเบียบกันเสียจริง เหมือนจะกินดีอยู่ดีกันเกินไปในแดนโลกาวินาศแล้วกระมัง!”
เสียงของเขานุ่มนวลทว่าแหบพร่า เผยความเย็นเยียบเสียดกระดูก
ร่างของศิษย์ทั้งสี่สั่นสะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยน บ่นอุบในใจว่า พวกเขาทราบดีว่าศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้ไร้ปรานี โหดเหี้ยม เย็นชาไร้หัวใจมาตลอด และไม่ชอบยามศิษย์นิกายฝืนกฎ
“ช่างมันเถอะ ข้าต้องไปทำธุระด่วนที่เอกภพมสิหิม ดังนั้นหนนี้พวกเจ้ารอดไป!” เฉินซีโบกมือ ก่อนจะหันกายไหวร่างจากไปไกล
ศิษย์ทั้งสี่มองหน้ากัน ก่อนจะพากันผ่อนหายใจโล่งอกแล้วรีบตาม ‘อินไฮว่คง’ ไป
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมาถึงแดนโลกาวินาศยามใดขอรับ? ไยจึงไม่แจ้งเราล่วงหน้ากัน? เราจะได้ไปรับท่านไงขอรับ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องชายหญิงคนอื่น ๆ ในสามภพอยู่ดีหรือไม่ขอรับ? ฮ่า ๆ! ข้าว่าสามภพอยู่ในบงการเบ็ดเสร็จของศิษย์พี่ใหญ่แล้วแน่ ๆ เสร็จนิกายอำนาจเทวะเราล่ะ”
“ใช่เลย ด้วยฝีมือศิษย์พี่ใหญ่ มีหรือเขาจะทำเช่นนี้มิได้?”
ระหว่างทาง ศิษย์นิกายอำนาจเทวะทั้งสี่ต่างเหมือนเด็กน้อยผู้เชื่อฟัง ติดตามเฉินซีไปตลอดทางพร้อมรอยยิ้มประจบประแจง
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีอดทอดถอนใจไม่ได้ว่าอินไฮว่คงผู้นี้อหังการในนิกายอำนาจเทวะจริง ๆ
ก่อนหน้านี้ เขาวางแผนจับตัวอินทรีทองคำเทวะ ใช้มันเป็นเหยื่อฆ่าศิษย์พี่เว่ยผู้นั้น แล้วสืบหาทุกสิ่งที่เขาต้องการทราบจากความทรงจำของศิษย์พี่เว่ย
เช่นสถานะของอินไฮว่คงในนิกายอำนาจเทวะ วิธีการพูด วิสัยกระทำการ และอื่น ๆ
แม้พวกเขาจะสงสัย แต่ก็ไม่อาจหาพิรุธได้แม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไร เขาก็ใช้ผิวไร้ลักษณ์ของเผ่าหน้ากากหนังพฤกษาอยู่ กระทั่งบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลยังไม่อาจจับได้
ไม่นานนัก คณะของเฉินซีก็มาถึงค่าย
เมื่อเห็น ‘ศิษย์พี่ใหญ่อินไฮว่คง’ ของพวกตนมาถึง ศิษย์ซึ่งประจำในค่ายต่างกระสับกระส่าย เผยสีหน้าประหลาดใจไม่อยากเชื่อ แต่ก็เผยเค้าความยำเกรงอยู่ในที
พวกเขาเองก็ตะลึงไม่ต่างกัน เหตุใดจู่ ๆ ศิษย์พี่ใหญ่จึงมาในยามนี้?
ในความเข้าใจของพวกเขา อินไฮว่คงเป็นหนึ่งในตัวตนชั้นผู้นำที่เจ้านิกายอำนาจเทวะให้อยู่ในสามภพ รับหน้าที่สั่งการศิษย์ทั้งหลายทั่วสามภพ พวกเขาควรฉวยโอกาสของหายนะยึดสามภพมาอยู่ในอาณัติของนิกายอำนาจเทวะอยู่แท้ ๆ
เพราะเหตุนี้เอง พวกเขาจึงค่อนข้างประหลาดใจยามเห็นอินไฮว่คงมาปรากฏกายที่นี่
ทว่าแม้พวกเขาจะตกตะลึง แต่ก็ยังไม่กล้าปริปากถาม อินไฮว่คงเป็นศิษย์เอกชั้นสูง ดังนั้นแม้การบ่มเพาะจะเทียบเท่าพวกตน แต่เจ้านิกายก็ยังให้ค่าเขาอย่างยิ่ง ในด้านสถานะแล้ว จึงมิใช่คนที่ใครจะเทียบได้
ประกอบกับนิสัยมืดหมองดุร้ายและเฉียบแหลม พวกเขาจึงไม่กล้าไถ่ถามอะไรเพื่อไม่ให้อินไฮว่คงหงุดหงิดใจ
พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าการกระทำของพวกตนจะทำให้เฉินซีถอนหายใจโล่งอกอยู่ในใจ อย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่ต้องหาข้ออ้างอธิบายทุกสิ่ง
นี่แหละอำนาจ หากเฉินซีจำแลงเป็นศิษย์อันดาษดื่นสักคนของนิกายอำนาจเทวะ เขาคงไม่มีทางบรรลุผลลัพธ์เช่นนี้ได้เลย
เฉินซีผ่านค่ายไปได้อย่างไร้อุปสรรค วูบไหวสู่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปร้อยลี้อย่างราบรื่น
ไกลออกไป ชายหนุ่มเห็นอุโมงค์มิติหลากสีพาดพื้นที่เหนือท้องนภาไกลออกไป ดูเหมือนแถบผ้าอ่อนนุ่มโบกไสวกลางเวหา สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
ขอเพียงข้าเข้าไปในนั้นได้ ข้าก็จะปลอดภัย… เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ ขณะที่ในใจยิ่งทวีความระแวดระวัง
จากข้อมูลที่เขาได้มาจากความทรงจำของศิษย์พี่เว่ย ศิษย์ซึ่งเดินเวรรอบบริเวณตำหนักศักดิ์สิทธิ์แบ่งออกเป็นแปดกลุ่มย่อย แต่ละกลุ่มย่อยมีสมาชิกเก้าคน สี่กลุ่มย่อยรวมเป็นหนึ่งกลุ่มหลัก เวียนกันเดินเวรรอบตำหนักศักดิ์สิทธิ์ หากเกิดเหตุเกินคาดใด ๆ พวกเขาจะตอบสนองทันที
ความแข็งแกร่งโดยภาพรวมของศิษย์เหล่านั้นอยู่ในขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา หามีภัยคุกคามใดต่อเฉินซีไม่ สิ่งที่กระตุ้นความกลัวให้เฉินซีได้คือตัวตนซึ่งอยู่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก
ขณะนี้ มีเทวารู้แจ้งวิญญาณสามคนอยู่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนล้วนเป็นตัวตนสูงสุดผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ เสมอเหมือนกับลุงเก้าจากตระกูลอี้
หากเขาแค่เผชิญหน้าหนึ่งในนั้น เฉินซีก็มั่นใจว่ากำจัดอีกฝ่ายได้ แต่หากเป็นหนึ่งต่อสอง เขาก็ทำได้เพียงหนี
นอกจากนั้น จากข้อมูลที่เขาได้มา ในไม่ช้าจะมีบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลผู้หนึ่งออกตรวจตราที่นี่ และเขากลัวเรื่องนี้ที่สุด เพราะบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลผู้นั้นจะปรากฏตัวกะทันหันขึ้นยามใดก็ได้
นั่นคือตัวตนซึ่งน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเทวารู้แจ้งวิญญาณ เป็นผู้ที่การบ่มเพาะบรรลุการหวนคืนสู่รากเหง้า เมื่อเผชิญหน้าบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลผู้นี้เข้า เฉินซีสงสัยกระทั่งว่าโอกาสหนีของตนคงริบหรี่เต็มทน
ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่รอให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายที่สุด ในทางกลับกัน เรื่องสำคัญในยามนี้คือฉวยโอกาสไปจากสถานที่อันตรายนี้โดยเร็ว
“เอ๋ นั่นมันศิษย์พี่ใหญ่นี่นา!”
“ศิษย์พี่ใหญ่มาที่นี่ หรือเรื่องที่สามภพจะบรรลุแล้ว?”
“ไอ้พวกบื้อเอ๊ย ขณะนี้ทางเชื่อมสู่แดนเทพโบราณจะปิดอยู่รอมร่อ คนอย่างศิษย์พี่ใหญ่ย่อมไม่ติดหล่มน้อยอยู่แต่ในสามภพหรอก มีเพียงแดนเทพโบราณที่เขาจะพัฒนา สร้างชื่อเสียงให้ตนได้”
“แต่เหตุใดเขาจึงมาลำพังเล่า?”
“เอ่อ นั่นมิใช่สิ่งที่เราควรห่วงนะ”
เมื่อเห็นเฉินซีเข้ามาจากไกล ๆ ศิษย์นิกายอำนาจเทวะซึ่งกำลังเดินตรวจตราต่างประหลาดใจ พากันอุทานร้องเรียกเฉินซีตาม ๆ กัน
เฉินซีไม่ได้ชายตาแล บรรยากาศของเขามืดทะมึนเช่นกาลก่อน ดูประหนึ่งสายลมเย็นเยียบอันพัดโชยสู่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ช้าไม่เร็ว
ศิษย์ทั้งหลายชาชินกับเหตุนี้มานานแล้ว จึงไม่รู้สึกว่ามันแปลก
“ไฮว่คง?” ก่อนเฉินซีจะได้เข้าใกล้ตำหนักศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งเสียงลุ่มลึกดุจภูผาก็ดังขึ้น
เฉินซีขมวดคิ้วทันควัน เขายกมือกุมกำปั้นคารวะไปทางตำหนัก “อินไฮว่คงคารวะอาจารย์อาฉู่”
อาจารย์อาฉู่ผู้นี้ชื่อฉู่เถิง เป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณผู้หนึ่ง ในเชิงสถานะ เขาถือได้ว่าเป็นนักบวชผู้หนึ่งของนิกายอำนาจเทวะหากเขาอยู่ในสามภพ ทว่าในแดนโลกาวินาศหรืออาจจะในหมู่กำลังของนิกายอำนาจเทวะในแดนเทพโบราณ ฉู่เถิงถูกถือเป็นเพียงผู้อาวุโสทั่วไปเท่านั้น
“ฮ่า ๆ ๆ! เป็นไฮว่คงจริง ๆ ด้วย” พร้อมเสียงเสสรวล ชายผมสีแดงร่างอ้วนดุจลูกหนัง ท่าทางดุร้ายผู้หนึ่งก็สาวเท้ายาว ๆ ออกมาจากในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ ตั้งใจจะตบบ่าเฉินซีอย่างเอ็นดู
เฉินซีเยื้องเท้าหลบไปอย่างมีชั้นเชิง ขณะกล่าวอย่างใจเย็น “อาจารย์อาฉู่ ข้ามีเรื่องด่วนต้องทำ ตั้งใจจะมุ่งหน้าสู่แดนเทพโบราณเพื่อรายงานเจ้านิกายโดยเร็วที่สุดขอรับ”
“โอ้?” สีหน้าของฉู่เถิงนิ่งค้างไปชั่วขณะอย่างอดไม่ได้ยามมือของตนคว้าโดนเพียงลม ก่อนจะฟื้นสู่ปกติ เขาพินิจเฉินซีหัวจรดเท้า ก่อนจะถามขึ้น “เกิดเหตุไม่คาดคิดใด ๆ ในสามภพหรือ?”
ขณะเสวนา ทั้งสองก็เดินข้างกันเข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์
ตำหนักศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้กว้างขวางยิ่งนัก มีเสาศิลาหนาตระหง่านสามสิบหกต้นยืนค้ำ ยิ่งกว่านั้น ยังมีฟูกสำหรับนั่งสมาธิกางอยู่ที่ข้างโถงในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนั้นก็ไร้สิ่งใดในโถง ดูเรียบง่ายอย่างยิ่ง
“เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นจริง ๆ ขอรับ” เฉินซีพยักหน้าขณะลอบชำเลืองมองทุกสิ่งในโถง
คาดไว้แล้วเชียว โถงนี้เป็นข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์ในตัวมันเอง หากถูกกระตุ้น พลังน่าจะเหนือยิ่งกว่าค่ายกลล่าตะวัน… โชคยังดีที่ข้าแฝงตนเป็นอินไฮว่คงยามนี้ หาไม่ แค่ด่านนี้ก็เพียงพอสกัดข้าได้แล้ว เฉินซีคิดในใจ นี่ไม่ได้หมายความว่ามหาค่ายกลจะสกัดเขาอยู่ แต่ทันทีที่ปะทะกับกองกำลังของนิกายอำนาจเทวะตรง ๆ มหาค่ายกลนี้ย่อมกลายเป็นอุปสรรคสกัดเฉินซีไว้ที่นี่ ถึงยามนั้น ต่อให้จะทะลวงค่ายกลได้ แต่ก็ยังต้องถูกกำลังของนิกายอำนาจเทวะล้อมไว้อยู่ดี
“เกิดอะไรขึ้นในสามภพ?”
“โอ้? มันเกิดอะไรขึ้นกัน จึงต้องไปพบเจ้านิกายด้วยตนเอง?”
ขณะเดียวกัน อีกสองเสียงก็ดังขึ้นจากในโถง พร้อมกันนั้น คลื่นพลังก็สั่นไหวบนอากาศ ร่างของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีปรากฏขึ้น
ฝ่ายบุรุษสวมอาภรณ์ม่วง ท่าทางสง่างามไม่ธรรมดา สะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้บนหลัง ดูมาดมั่นผ่อนคลาย ขณะที่ฝ่ายสตรีสวมชุดกระโปรงแขนเสื้อกว้างสีขาวเช่นปุยเมฆ สีหน้าเรียบเฉยเย็นชาและเคร่งขรึม ให้บรรยากาศกดดัน
“ศิษย์พี่ซ่างกวน อาจารย์อาชิว” เฉินซีกุมกำปั้นคำนับอีกครั้งเมื่อเห็นทั้งสอง พวกเขามีนามว่าซ่างกวนจินเหิงและชิวเหลียนจวง เป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณทั้งคู่
เมื่อรวมฉู่เถิงจากเมื่อครู่เข้าไป พวกเขาทั้งสามก็คือตัวตนอันแข็งแกร่งสูงสุดของนิกายอำนาจเทวะซึ่งพิทักษ์อยู่ที่นี่
ขณะนี้ หัวใจของเฉินซีตื่นตัวอย่างยิ่ง แต่ภายนอกยังคงรักษาความสำรวมไว้ ยังดูมืดมนดุร้าย ขณะที่ใบหน้าซ่อนอยู่ในเงาของหมวกไม้ไผ่
“เรื่องนี้คลุมเครืออย่างยิ่ง ข้าไม่กล้าเปิดเผยแก่พวกท่านจนกว่าจะได้คำตอบจากเจ้านิกาย หวังว่าจะอภัยให้ข้าด้วย” เฉินซีเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลทว่าแหบพร่า
พวกเขาทั้งสามได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว
โดยเฉพาะชายหนุ่มชุดม่วงซ่างกวนจินเหิง เขาหรี่ตาลงพินิจเฉินซีหัวจรดเท้าอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพลันเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม “สารเลว! เจ้ายังคิดใช้หน้ากากหลอกเราอีกหรือ? แสดงตัวออกมาเสีย!”
พร้อมกันนั้น ร่างของเขาก็วูบไหว บีบนิ้วเป็นทรงกระบี่ เสือกแทงเข้าใส่หน้าของเฉินซี กระแสลมจากกระบวนท่านี้ดุดันร้ายกาจถึงขีดสุด
…………….