บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1579 อันตรายปรากฏไม่หยุดหย่อน
บทที่ 1579 อันตรายปรากฏไม่หยุดหย่อน
มิติถูกอำนาจนิ้วอันรวดเร็วเยี่ยงกระบี่แทงทะลวง เผยเสียงโหยหวนกรีดแหลมเจียนทะลวงแก้วหูเฉินซีแหลกร้าว
ระหว่างซ่างกวนจินเหิงและเฉินซีห่างกันเพียงสามฉื่อ ขณะนี้ยามซ่างกวนจินเหิงจู่โจมกะทันหัน พลังดุดันที่เผยจึงชวนตะลึงถึงขีดสุด
นั่นคือเทวารู้แจ้งวิญญาณ!
ยิ่งกว่านั้น มันยังเป็นการจู่โจมเฉียบพลัน อย่าว่าแต่เทวารู้แจ้งโลกาเลย กระทั่งเทวารู้แจ้งวิญญาณยังไม่มีทางรับการโจมตีนี้ได้
ชั่วขณะนั้น ประหนึ่งกาลเวลาหยุดไหล
ฉู่เถิงและชิวเหลียนจวงต่างตะลึงเล็กน้อย เหมือนมิคาดคิดเลยว่าจู่ ๆ ซ่างกวนจินเหิงจะโจมตีอินไฮว่คง จึงมิอาจเข้าหยุดได้ทันกาล
ม่ายตาของเฉินซีหดตัว ใบหน้าในหมวกไม้ไผ่ของเขาปรากฏเค้าเย็นเยือก เส้นขนทั่วกายตั้งชัน สัมผัสภัยคุกคามถึงตาย
ทว่าสุดท้ายเขาก็มิได้ลงมือ ทำเพียงยืนนิ่งกับที่ นอกจากนั้นม่านตาซึ่งหดตัวลงเล็กน้อยยังฟื้นสู่สภาพปกติ มองไปยังซ่างกวนจินเหิงอย่างไร้อารมณ์
หืม? ซ่างกวนจินเหิงขมวดคิ้ว ในชั่วลมหายใจที่ปลายนิ้วกำลังจะสัมผัสคอของเฉินซีนั้นเอง ร่างของเขาก็พลันวูบไหว หวนกลับไปยังจุดเดิมที่ตนเคยยืน
ขณะเดียวกัน จิตสังหารอันพลุ่งพล่านดุดันก็หดหายเยี่ยงกระแสธารคืนทะเล ถูกสยบหายสิ้น
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินเชื่อลง และจนสรรพสิ่งปิดฉากยามนี้ มิติก็เลิกกำสรวล จิตสังหารหยุดพลุ่งพล่าน ทุกสิ่งเหมือนหวนคืนสู่ปกติ
หากคนธรรมดามาอยู่ที่นี่ คงคิดไปว่าตนแค่หูตาหลอนไปเท่านั้น
ทว่าเฉินซีไม่ใช่คนธรรมดา ชายหนุ่มมองซ่างกวนจินเหิงอย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซ่างกวน นี่หมายความเช่นไร?” เขาเอ่ยเสียงเค้นลอดไรฟัน เจือจิตสังหารเย็นเยือก
ขณะเดียวกัน หัวใจและความคิดอันเกร็งเครียดก็ผ่อนคลายตนอย่างสมบูรณ์ ยามนี้เอง เขาจึงสังเกตพบว่าหลังของตนชุ่มโชกด้วยชั้นเหงื่อเย็นเฉียบ
สรรพสิ่งที่บังเกิดในพริบตานี้ไม่แตกต่างจากการเดินทางผ่านความเป็นความตายสำหรับเฉินซี อันตรายสุดขั้ว
ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบัน ย่อมสามารถหลบการโจมตีนี้ได้ แต่หากทำเช่นนั้น มันก็เท่ากับเผยตัวตน เพราะถึงอย่างไร เขาในตอนนี้คืออินไฮว่คง แต่เขาไม่ได้บ่มเพาะเต๋าแห่งภัยพิบัติ ดังนั้นทันทีที่ลงมือ ก็จะเท่ากับเปิดโปงตนเอง
ดังนั้นในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ชายหนุ่มจึงเดิมพันว่าซ่างกวนจินเหิงน่าจะกำลังทดสอบตน!
และผลสุดท้ายก็ชี้ชัดว่าเขาชนะ
ดังนั้นเฉินซีจึงระบายโทสะอย่างตรงไปตรงมา เพราะเขาคืออินไฮว่คง ศิษย์เอกชั้นยอดของนิกายอำนาจเทวะ แม้การบ่มเพาะจะด้อยกว่า แต่สถานะกลับสูงส่งกว่าเทวารู้แจ้งวิญญาณทั้งสามเล็กน้อย
ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติให้โมโห และต้องเผยโทสะออกมาในยามนี้
จริงเช่นนั้น ยามได้ยินเฉินซีตั้งคำถามกับซ่างกวนจินเหิง ฉู่เถิงและชิวเหลียนจวงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน สายตาที่มองไปยังซ่างกวนจินเหิงเผยความไม่ชอบใจน้อย ๆ
สถานะของอินไฮว่คงทำให้พวกเขารู้สึกยำเกรงเล็กน้อย แต่ซ่างกวนจินเหิงกลับทดสอบอินไฮว่คงเช่นนี้ หากเจ้านิกายรู้เข้า คงลงโทษซ่างกวนจินเหิงอย่างแน่นอน แล้วพวกเขาก็ไม่พ้นติดร่างแหไปด้วย นี่จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
แน่นอน แม้ในใจของพวกเขาจะเดือดดาล แต่ก็ไม่ได้ตั้งคำถามใด ๆ เพราะพวกเขาเองก็สงสัยว่าเหตุใดซ่างกวนจินเหิงจึงทำเช่นนี้ หรือจะเกิดความผิดปกติใดขึ้นกับอินไฮว่คงที่ยืนอยู่ตรงหน้าหรือ?
“ศิษย์น้องอินอภัยด้วย ข้าได้ยินมาว่าไม่กี่วันก่อนมีสมาชิกเผ่าหน้ากากหนังพฤกษาบางคนถูกสังหารในพื้นที่ล่า เลยเป็นกังวลว่าจะมีผู้ปลอมตัวเป็นคนของเรา พยายามแทรกซึมออกไปน่ะ” ซ่างกวนจินเหิงกุมกำปั้นขอขมา ทว่าสายตายังคงพินิจพิเคราะห์เฉินซีอย่างละเอียด หัวใจยังคงมีความเคลือบแคลง
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีตะลึงอยู่ในใจ และตระหนักดีว่าแม้ชายหนุ่มสะพายกระบี่ผู้นี้จะมีลำดับอาวุโสต่ำกว่าฉู่เถิงและชิวเหลียนจวง แต่ความสามารถและความรอบคอบเหนือชั้นกว่าอีกสองคนนัก
เผ่าหน้ากากหนังพฤกษา?
ฉู่เถิงและชิวเหลียนจวงพลันประจักษ์แจ้งยามได้ยินเช่นนี้ และเข้าใจทันทีว่าเหตุใดซ่างกวนจินเหิงจึงทำเช่นนั้น
“จินเหิง ข้าว่าเจ้าระแวงเกินไปนะ” ฉู่เถิงส่ายหัว “ลองคิดดู หากมิใช่อินไฮว่คง เขาหรือจะยืนนิ่งรอความตายมาหา?”
“ความสามารถของเผ่าหน้ากากหนังพฤกษาเหนือธรรมดาจริง ๆ และข้าก็รู้สึกว่าการกระทำของจินเหิงก็ไม่ได้ผิด แต่มันบุ่มบ่ามเกินไป อย่างน้อยที่สุด สู้เราตั้งคำถามสักพักก่อนลงมือจะดีกว่า” ชิวเหลียนจวงเอ่ย
“อะไร? พวกเจ้าสงสัยในตัวตนของข้าหรือ?” สีหน้าของเฉินซีดำคล้ำ พลิกฝ่ามือของตน
ฮึ่ม!
เหรียญทองแดงสีทองจรัสลอยเด่นปรากฏโฉม หมุนวนไม่สิ้นสุดพลางแผ่อำนาจกดดันร้ายแรง
เหรียญทองแดงโปรยสมบัติ!
ทันใดนั้น สีหน้าของฉู่เถิง ชิวเหลียนจวง และกระทั่งซ่างกวนจินเหิงยังแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาอดเผยเค้าความยำเกรงระคนโลภตาร้อนซึ่งปกปิดไว้อย่างแนบเนียนยิ่งออกมาไม่ได้
นี่คือสมบัติล้ำค่าในปกครองของเจ้านิกาย พวกเขาจะไม่รู้จักมันได้อย่างไร? เพราะเหตุนี้เอง จึงสิ้นความเคลือบแคลงต่อตัวตนของเฉินซีทันที
“ไฮว่คงอย่าโกรธเลย เราแค่ระวังไว้ก่อน เพราะถึงอย่างไร ยามนี้เมื่อทางเชื่อมกำลังจะปิดตัว สถานการณ์ในแดนโลกาวินาศจึงไม่ดีนัก เพื่อป้องกันไม่ให้ยอดฝีมือจากภพเบื้องล่างเข้าสู่ทางเชื่อม เราจึงต้องเพิ่มความระวัง” ฉู่เถิงรีบร้อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! การกระทำอย่างรอบคอบไม่ผิดจริง ๆ แต่เล็งโจมตีข้านี่มากไปหน่อยกระมัง! หรือพวกเจ้าคิดไปว่าตำแหน่งศิษย์เอกชั้นยอดของข้าเป็นเครื่องประดับ?” เฉินซีเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งสำรวมใจ นำเหรียญทองแดงโปรยสมบัติกลับไปพลางชำเลืองคนทั้งสามอย่างเย็นเยียบ
“ไม่เลย ไม่เลย” พวกเขารีบกุมกำปั้นตอบ
“ไฮว่คง มิใช่เจ้ามีเรื่องด่วนต้องทำหรือ? เรามิกล้ารั้งเจ้าไว้ต่อแล้ว เราจะเปิดทางเข้าทางเชื่อมส่งเจ้าไปเดี๋ยวนี้แหละ หวังว่าเจ้าจะเห็นแก่ความจริงใจของเราที่ปกป้องทางเชื่อมของนิกาย อย่าพูดเรื่องนี้กับเจ้านิกายอีกเลยนะ” ชิวเหลียนจวงเอ่ยปาก นางเข้าใจนิสัยไร้ปรานีของอินไฮว่คงดีที่สุด จึงรู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกนางจะล่วงเกินเขาอย่างสมบูรณ์
“ใช่ ๆ ศิษย์น้องหญิงชิวพูดถูก” ฉู่เถิงรีบร้อนสนองรับ
มีเพียงซ่างกวนจินเหิงที่ยืนเงียบอยู่ด้านข้าง คิ้วขมวดแน่นหากัน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
ขณะพูดคุย ฉู่เถิงและชิวเหลียนจวงต่างลงมือพร้อมเพรียง พวกเขามาที่ประตูสำริดอันตั้งตระหง่านท้ายตำหนัก ปกคลุมด้วยยันต์อันเข้าใจยากยิ่ง ทั้งสองมายืนหน้าประตู สองมือใช้เคล็ดวิชา เพียงครู่สั้น ๆ ถัดมา ประตูก็เปิดออกด้วยเสียงครืนสนั่น
“อาจารย์อาฉู่ อาจารย์อาชิว ข้าขอตัวลา” เฉินซีเดินเข้ามา กุมกำปั้นคารวะ และมิสนใจซ่างกวนจินเหิงอีกราวยังแค้นเคืองไม่หาย
เหตุการณ์นี้ทำให้ฉู่เถิงและชิวเหลียนจวงทอดถอนใจอยู่ในอก อินไฮว่คงผู้นี้เจ้าคิดเจ้าแค้นจริง ๆ สงสัยนักว่าเหตุใดเจ้านิกายจึงให้เขาเป็นศิษย์เอกชั้นยอด
ขณะเดียวกัน เฉินซีเดินผ่านประตูสำริด มุ่งหน้าตรงสู่อุโมงค์มิติอันทอดผ่านเวหา
ไม่คาดเลยว่าหนนี้จะราบรื่นนัก… เฉินซีผ่อนหายใจโล่งอก อดทอดถอนใจยามนึกถึงแนวป้องกันอันแน่นหนาทั้งสามที่พบระหว่างทางไม่ได้ ผิวไร้ลักษณ์ของเผ่าหน้ากากหนังพฤกษาควรค่าเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันล้ำเลิศ ความสามารถจำแลงกายอันแยบยลดุจของจริงนี้กล่าวได้ว่าท้าทายสวรรค์จริง ๆ
“ช้าก่อน!” ทว่าก่อนเฉินซีจะได้ผ่อนคลาย หนึ่งเสียงแผ่วเบารื่นโสตก็ดังขึ้นจากเบื้องหลัง
เสียงนี้แตกต่างจากเสียงของฉู่เถิงและคณะโดยสมบูรณ์ ผู้พูดนั้นย่อมเป็นคนอื่น ฟังดูสุดแสนเสนาะหู แต่กลับกึกก้องเยี่ยงระฆังลั่น สะท้านดวงจิตเฉินซีเสียจนสั่นคลอน ความคิดอื้ออึงไร้สิ้นสุด ยิ่งกว่านั้นร่างของเขายังเผยเค้าชะงักงัน
แย่แล้ว! เฉินซีพึมพำในใจ เพียงอำนาจในเสียงยังทำให้เขาบังเกิดความกลัวอย่างไม่อาจบรรยาย เผยชัดเจนว่าคนผู้นี้มีการบ่มเพาะร้ายกาจเพียงใด
พริบตานั้น เฉินซีไม่กล้าลังเล โคจรการบ่มเพาะทั่วกาย ไหวร่างพุ่งสู่อุโมงค์มิติทันที
“ศิษย์หลานไฮว่คง ข้าเห็นเจ้าโตมาแต่น้อย แม้ระดับอาวุโสของข้าจะสูงกว่าเจ้านิดหน่อย เราก็เหมือนเป็นพี่น้องกัน ในเมื่อพี่สาวเจ้าเรียก ไยจึงไม่มาพบข้า แล้วหนีจากไปอย่างรวดเร็วเสียแทนเล่า?” เสียงนุ่มนวลเสนาะหูนั้นกึกก้องที่ข้างหูเขาอีกครั้ง ทุกถ้อยคำดุจอัสนีสนั่นลั่น สะท้านแก้วหูของเฉินซีเสียจนเจียนแหลก ดวงจิตสั่นสะท้านไร้จุดจบ กระทั่งแก่นโลหิตทั่วกายยังเดือดพล่านไม่จบสิ้น
เฉินซีอดตะลึงไม่ได้ สตรีผู้นี้มีการบ่มเพาะขอบเขตใดกันแน่? หรือนางจะเป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล เยี่ยเหยียนผู้นั้น?
จากข้อมูลที่เฉินซีได้มาก่อนหน้านี้ มีข้อมูลเกี่ยวกับบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลผู้หนึ่งซึ่งจะมาตรวจตราที่นี่ในไม่ช้า และบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลผู้นั้นมีนามว่าเยี่ยเหยียน นางงดงามอย่างยิ่ง ทว่านิสัยกลับแปรปรวนตามอารมณ์ สังหารคนไม่กะพริบตา ทำให้ศิษย์นิกายอำนาจเทวะทั้งหลายซึ่งพิทักษ์ทางเชื่อมนี้กลัวนางจับขั้วหัวใจ
หากเป็นนางจริง ๆ สถานการณ์ก็แย่แล้ว!
ความคิดเหล่านี้วาบขึ้นในใจเฉินซี ทว่าการเคลื่อนไหวหาเชื่องช้าไม่ ขณะนี้เขาไม่คิดซ่อนตัวตนอีกต่อไป ร่างสูงใหญ่ทะยานเช่นเส้นแสงอยู่ภายในอุโมงค์มิติ
วูบ! วูบ!
อุโมงค์มิติหลากสีนี้เหมือนทางเดินอันสุดยาวไกล รอบทิศปกคลุมด้วยชั้นมิติหลากสี สุกสกาวลึกล้ำ
การเคลื่อนย้ายมิติทำที่นี่ไม่ได้เลย เพราะเขาอยู่ในทางเชื่อมมิติอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งเดียวที่เฉินซีทำได้คือพุ่งทะยานสุดกำลัง!
ขอเพียงบุกสู่สุดทางเชื่อมได้ เขาก็จะไปถึงเอกภพมสิหิม!
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ใช่ศิษย์หลานไฮว่คงของข้า เจ้าโง่พวกนี้มีตาไร้แววกันจริง ๆ แค่แยกแยะตัวตนของเจ้ายังทำไม่ได้ ยังดีที่ข้ามาเร็วกว่าที่ควรเล็กน้อย มิเช่นนั้นเจ้าคงหลุดรอดไปได้จริง ๆ ในหนนี้ เจ้าหนู….” เสียงรำพึงแผ่วเบาของนางตามติดเฉินซีราวผีร้าย ระเบิดสนั่นในโสต พลุ่งพล่านในหัวใจ ทำให้ใบหน้าซีดขาว รู้สึกอยากกระอักเลือดนัก
ไยแค่เสียงของสตรีสมควรตายผู้นี้จึงน่ากลัวนัก? เฉินซีกัดฟันขณะที่ดวงตาเผยประกายเด็ดเดี่ยว ทั้งพลัง แก่นแท้ และวิญญาณทั่วร่างเหมือนลุกโชนในเตาเผา ทั่วร่างเรืองรองโรจน์รุ่ง เพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง
“เอ๋? หรือเจ้าคิดว่าจะหนีข้าพ้นจริง ๆ?” สตรีผู้นั้นเหมือนประหลาดใจ แต่ก็เหมือนล้อเลียนเฉินซีว่ามั่นใจเกินตัว
ตู้ม!
ขณะเดียวกัน อำนาจศักดิ์สิทธิ์น่าสะพรึงกลัวยิ่งสายหนึ่งก็พลันพุ่งตามเฉินซีด้วยความเร็วเกินตรวจจับ แล้วฟาดลงมาใส่เขา
…………….