บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1582 เมืองนภาสูญตา
บทที่ 1582 เมืองนภาสูญตา
…………….
บทที่ 1582 เมืองนภาสูญตา
เฉินซีไม่รู้เลยว่าหลังจากเขาไปไม่นาน ยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตก็มาถึงที่นั่นแล้วออกตามหาเขาทุกแห่งหน
ตอนนี้เขาพาชายสองคนจากบนเขามาด้วย นามว่ามู่โถวกับไจ่จือ การเคลื่อนที่ของเขาในตอนนี้นับว่าไม่ช้าไม่เร็ว
ที่นี่คือเอกภพมสิหิม! คือแดนเทพโบราณในตำนาน!
ระหว่างที่เหินร่างมาที่นี่ เฉินซีก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าฟ้าดินเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์หนาแน่น เทียบกันแล้ว แดนโลกาวินาศนับว่าเป็นแดนรกร้างไร้ซึ่งชีวิตชีวาใด
เขาสัมผัสพลังศักดิ์สิทธิ์ที่พวยพุ่งเข้าสู่ร่างในทุกจังหวะหายใจ เข้าเติมเต็มทุกส่วนของจักรวาลในร่าง ความรู้สึกสบายใจให้ความรู้สึกดียิ่ง เหมือนได้กินโสมเข้าไป ทำให้ทุกรูขุมขนรู้สึกสะอาดใสสงบสุข
ที่นี่คือแดนเทพโบราณ ไม่แปลกที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความนิรันดร์อันเป็นที่สถิตของทวยเทพ แค่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในฟ้าดินที่นี่ที่อื่นก็เทียบไม่ติดแล้ว…. เฉินซีถอนใจ พร้อมกันนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ากฎแห่งเต๋าสวรรค์ที่ปกคลุมเหนือฟ้านั้นสมบูรณ์ ไร้ที่ติ และกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง กฎแห่งเต๋าสวรรค์ถึงกับเทียบไม่ติด แดนโลกาวินาศก็เทียบไม่ได้
เมื่ออยู่ด้านในแล้ว เฉินซีรู้สึกได้ว่าเขาสามารถหาหนทางที่แท้จริงแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้ที่แดนเทพโบราณเท่านั้น!
ความแตกต่างในแดนเทพโบราณไม่ใช่เพียงพลังศักดิ์สิทธิ์และกฎแห่งเต๋าสวรรค์เท่านั้น เฉินซียังสังเกตว่าภูเขา แม่น้ำ ธารน้ำ และทุกสิ่งอย่างในที่นี้ล้วนแต่มีกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์และพลังบัญชาอยู่
กระทั่งห้วงเวลาและห้วงมิติและภูมิศาสตร์…. ทุกอย่างที่นี่ดูมีความมั่นคงสูงมาก มีความยิ่งใหญ่ แล้วมีความมหัศจรรย์ยิ่ง ที่สำคัญคือพวกมันปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความเป็นนิรันดร์ออกมา
ไม่ว่าจะเป็นอายุขัยหรือความเฉลียวฉลาดของสิ่งมีชีวิตที่นี่ ก็ล้วนเหนือกว่าใครอื่น
เหมือนเช่นมู่โถวกับไจ่จือที่ติดตามข้างกายเขา แม้จะยังเด็กและยังไม่ได้บ่มเพาะพลัง แต่ทั้งพลังและแก่นพลังทั้งยังจิตวิญญาณภายในร่างก็มีพลังสูง ร่างกายก็ไม่เหมือนใครเช่นกัน หากสองคนนี้ไปอยู่ในสามภพ ก็คงเป็นยอดฝีมือในการบ่มเพาะพลังเป็นแน่
แต่ชายหนุ่มเช่นพวกเขาหาได้ไม่ยากในแดนเทพโบราณ นับเป็นพวกที่ธรรมดาที่สุดด้วยซ้ำ
เฉินซีได้แต่ถอนหายใจ ต่างโลกก็ต่างสิ่งมีชีวิต ยิ่งเป็นโลกที่สูงส่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายความว่าร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่นั่นก็จะมีความโดดเด่นไม่เหมือนใครกว่า
ซึ่งนี่เป็นความแตกต่างภายใน เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่สิ่งที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงได้
พูดง่าย ๆ คือ บางคนเกิดมาก็ได้แต่อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ยากจนแร้นแค้น ส่วนบางคนก็เกิดมาอยู่บนยอดสูงสุดของวงสังคม!
แล้วมันจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร?
คือโชคชะตาอย่างไรล่ะ!
เป็นเพราะมู่โถวกับไจ่จือถึงทำให้เฉินซีเข้าใจความจริงข้อนี้ แดนเทพโบราณไม่ได้มีแต่เทพ แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นเช่นกัน
สิ่งที่ต่างกันคือจะบ่มเพาะพลังหรือไม่เท่านั้น!
…
“จะบอกว่านี่คือดาราจักรผาขจีหรือ?” ระหว่างการเดินทาง ตอนที่เฉินซีจากมู่โถวว่าที่นี่คือดาราจักรผาขจี เขาก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
ดาราจักรผาขจีเป็นหนึ่งในสามพันจักรวาลของเอกภพมสิหิม กองกำลังใหญ่ที่สุดที่ควบคุมจักรวาลนี้คือนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตอันเลื่องชื่อ
นับเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง เฉินซีถอนใจ สมัยอยู่ในแดนโลกาวินาศ เถี่ยคุนเคยฝากฝังเรื่องหนึ่งกับเขา นั่นคือให้เขามอบกระเป๋าสัมภาระให้หลานสาวของเขา เถี่ยอวิ๋นผิง ส่วนสถานที่พำนักของนางนั้นก็คือนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตแห่งดาราจักรผาขจีนั่นเอง
แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากเข้าเอกภพมสิหิมมา เขาจะมาถึงดาราจักรผาขจีก่อนด้วยความบังเอิญ
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ถือโอกาสนี้ทำคำขอของเถี่ยคุนให้สำเร็จเพื่อทดแทนบุญคุณระหว่างเราไปเลยก็ดี
จากนั้น เฉินซีจึงถามเกี่ยวกับดาราจักรผาขจี
โชคไม่ดีที่เฉินซีต้องผิดหวัง มู่โถวกับไจ่จือเป็นแค่เด็กบนเขา นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้ออกจากหมู่บ้าน ดังนั้นจึงไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับดาราจักรผาขจีมากนัก
แต่เฉินซีก็ยังได้รู้จากพวกเขาว่าตอนนี้ทุกคนอยู่บนดาวที่เรียกว่าดาวพฤกษ์บูรพา
มีดาวอีกกว่าแสนดวงที่เหมือนกับดาวพฤกษ์บูรพานี้ ซึ่งสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ภายในดาราจักรผาขจีแห่งนี้!
ซึ่งมีจำนวนมากจนเฉินซีต้องประหลาดใจ
แต่ก่อนเขาเข้าใจว่ามีภูมิภาคประมาณพันแห่งในแดนเทพโบราณ โดยแต่ละภาคก็จะมีจักรวาลอยู่ไม่กี่ร้อยหรือไม่กี่พันแห่งเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น เอกภพมสิหิมมีจักรวาลอยู่สามพันแห่ง ซึ่งดาราจักรผาขจีก็เป็นหนึ่งในนั้น
แต่ตอนนี้ ในดาราจักรผาขจีก็มีดวงดาวมากกว่าแสนดวงซึ่งสามารถอาศัยอยู่ได้ เมื่อรวมจำนวนเข้าด้วยกันแล้ว เฉินซีก็ได้แต่ถอนหายใจ แดนเทพโบราณช่างกว้างใหญ่ไพศาล… เกินจินตนาการจริง!
ราวกับว่าแดนเทพโบราณเป็นมหาสมุทร จักรวาลทั้งหลายเป็นคลื่นที่พัดซัดสาด และดาราที่กระจายตัวอยู่ในจักรวาลเป็นเหมือนเหมือนฟองคลื่น….
แดนเทพโบราณมีขนาดใหญ่มาก ไม่รู้ว่าท่านแม่กับท่านพ่อตอนนี้อยู่ที่ไหน ศิษย์พี่ชายหญิงจากเขาเทพพยากรณ์อีกเล่า? พอมาถึงแดนเทพโบราณแล้วพวกเขาไปไหนกัน? หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เฉินซีก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเก็บความคิดกลับไป
ตอนนี้บาดแผลเขาฟื้นฟูมาได้แค่สามในสิบส่วน พลังบ่มเพาะแทบไม่พอให้สู้ด้วยซ้ำ อีกทั้งหากศัตรูแกร่งกว่าขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาเขาก็ไร้โอกาสชนะ
เช่นนี้แล้ว เฉินซีจึงได้แต่หลบซ่อนให้แผลหายดีก่อน เมื่อพลังกลับคืนสู่จุดสูงสุด ไม่แน่ว่าคงได้เดินทางไปนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต ทำเรื่องที่เถี่ยคุนฝากฝังไว้ว่าให้มอบของให้หลานสาวนามเถี่ยอวิ๋นผิงเสียที
…
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปก็เริ่มเห็นเค้าลางเมืองใหญ่ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าไกล เมื่อมองแล้วเหมือนเงาอสูรโบราณแห่งใต้หล้า ปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณออกมา
“เมืองนภาสูญตา!
“นี่ต้องเป็นเมืองนภาสูญตาแน่!”
มู่โถวกับไจ่จือร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น บนใบหน้ามีความตื่นเต้นและความคาดหวัง
เฉินซีเห็นแล้วก็รู้ว่าสองคนนี้เพิ่งเคยออกจากหมู่บ้านมา จุดมุ่งหมายของทั้งสองคือการเข้าเมืองนภาสูญตาและแลกผลึกศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็หาอาจารย์สอนบ่มเพาะพลังเต๋าศักดิ์สิทธิ์
ทันใดนั้นเฉินซีก็เลิกคิ้วขึ้น หยุดการเคลื่อนไหว ก่อนจะส่งกระเป๋าสัมภาระให้มู่โถว “ในนี้มีผลึกศักดิ์สิทธิ์อยู่ห้าชิ้น และก็มีเขาอสูรตัวนั้นอยู่ เราลากันตรงนี้ล่ะ”
ชายหนุ่มทั้งสองชะงักไป แยกกันตั้งแต่ยังไม่ทันได้เข้าเมือง มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ?
“รีบรับไปสิ เดี๋ยวจะสายเอา” เฉินซีทอดสายตามองไปไกล ในจังหวะนั้นเหมือนพบปัญหาบางอย่าง รีบยัดกระเป๋าสัมภาระใส่มือมู่โถวก่อนสะบัดแขนเสื้อส่งชายหนุ่มทั้งสองถึงพื้น
“พวกเจ้าระวังตัวด้วย” พูดจบ เฉินซีก็แวบร่างกรีดผ่านฟ้าไป
“พี่มู่โถว เกิดอะไรขึ้นหรือ? เหตุใดผู้อาวุโสท่านนั้นถึงดูเร่งรีบจัง?” ไจ่จือถามด้วยความสงสัย
“คงจะสังเกตเห็นอะไรเข้ากระมัง” มู่โถวตั้งสติกลับมาได้ จากนั้นก็เก็บกระเป๋าสัมภาระไปแล้วกวาดสายตามองรอบข้าง “เราเองก็รีบไปเถอะ”
พูดแล้วเขาก็คว้ามือไจ่จือไว้แล้วพุ่งเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว
เกือบเค่อหนึ่งให้หลัง ชายหนุ่มทั้งสองก็มาถึงนอกเมืองนภาสูญตาได้อย่างปลอดภัย แต่ก็สังเกตเห็นว่าบรรยากาศรอบเมืองดูเจือจิตสังหาร ข้อจำกัดทั้งหลายบนกำแพงเมืองถูกเปิดใช้ ในขณะที่มีคนสวมเกราะเดินตรวจตราอยู่รอบ ๆ ล้วนมีสีหน้าน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
แต่กลับมีแผ่นแสงหนึ่งลอยขึ้นกลางอากาศ ณ ศูนย์กลางทางเข้าเมือง เผยให้เห็นภาพร่างสูงของคนผู้หนึ่ง
“พวกแกทั้งหลายที่จะเข้าเมืองแหกตาดูให้ดี หากเคยเห็นคนผู้นี้และให้ข้อมูลเกี่ยวกับเขาได้ จะได้รับผลึกศักดิ์สิทธิ์ร้อยชิ้น!” ชายร่างแกร่งและดุร้ายตะโกนเสียงดังอยู่หน้าทางเข้าเมือง
“เขาเป็นใครกัน? แล้วเขาไปล่วงเกินนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตได้อย่างไร?”
“ฉะนั้นเลยวางกองกำลังไว้ที่นี่เพื่อจับตัวชายหนุ่มคนนี้สินะ ชิ ชิ ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วทำอะไรไว้ถึงได้ทำให้นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตลงมือเช่นนี้”
มีหลายคนต่อแถวอยู่หน้าประตูเมือง พอเห็นประกาศจึงเอ่ยปากพูดคุยกันอย่างอดไม่ได้
มู่โถวกับไจ่จือก็เป็นหนึ่งในคนที่ต่อแถวรอเข้าเมืองเช่นกัน พอพวกเขาเห็นร่างสูงที่ปรากฏอยู่บนจอแสงก็ต้องตกตะลึงไปทันใด นั่นมัน… ผู้อาวุโสคนเมื่อครู่ไม่ใช่หรือ?
ไจ่จืออ้าปากกว้างกำลังจะพูดบางอย่าง ก็ถูกมู่โถวด้านข้างฟาดเข้าให้ จากนั้นมู่โถวก็ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วใช้สายตาบอกไจ่จือว่าไม่ควรพูด
ไจ่จือชะงักไป จากนั้นก็เข้าใจทันที จึงได้แต่เม้มปากเงียบไป
ไม่นาน ชายหนุ่มทั้งสองก็หายเข้าประตูเมืองไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ที่ต่อแถวอยู่
สหายน้อยทั้งสองนี่ไม่เลวเลย ไม่ได้มอบผลึกศักดิ์สิทธิ์เสียไปเปล่าสินะ ภายในป่าที่อยู่ห่างจากเมืองไปค่อนข้างไกล เฉินซียืนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่และส่งสายตามองอยู่
ก่อนหน้านี้ก็เพราะเขาเห็นทุกอย่างนอกประตูเมืองถึงได้หยุดฝีเท้าไป ไม่เช่นนั้นหากผลีผลามเข้าไปไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เหตุใดนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตถึงยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ หรือจะเป็นเพราะสตรีชุดแดงสั่งมา? เช่นนั้นก็คงเป็นปัญหาอยู่บ้าง…. เฉินซีมุ่นคิ้ว เผยความครุ่นคิดในนัยน์ตา
เช่นนี้ไม่ได้แล้ว ข้าต้องรีบเข้าเมืองโดยเร็ว มีแต่เข้าเมืองไปถึงจะสามารถใช้ฝูงชนหลอกตาคนอื่นได้ ทั้งยังจะได้ข้อมูลที่ต้องการอีกต่างหาก หากยังอยู่ในป่ารกร้างเช่นนี้ กลิ่นอายที่เผยออกมาระหว่างบ่มเพาะพลังคงดึงความสนใจจากคนอื่นได้แน่ เช่นนั้นอันตรายเกินไป เฉินซีหายใจเข้าแล้วก็พลิกฝ่ามือ ส่งผลให้ใจพฤกษาสามสิบหกกลีบลอยขึ้นมา
ฟึบ!
แสงศักดิ์สิทธิ์สว่างวาบ
ไม่นาน เฉินซีก็เปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าธรรมดา กลิ่นอายไม่พิเศษอะไร กลายเป็นคนที่หากคนอื่นมองมาก็จำเขาไม่ได้
จากนั้นร่างเขาก็หายไป ค่อย ๆ มุ่งหน้าตรงไปยังทางเข้าเมืองที่เต็มไปด้วยการคุ้มกันแน่นหนา