บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1588 ตราคำสั่งวงจรดารา
บทที่ 1588 ตราคำสั่งวงจรดารา
จูต่งถิงเบิกตาโตแทบถลน ยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น
ศึกเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นแท้ ๆ….
ทั้งศัตรูยังเป็นแค่เทวารู้แจ้งโลกา….
ใครจะคิดว่าเรื่องจะกลับตาลปัตรเช่นนี้ได้?
ใครจะคาดถึงว่าเทวารู้แจ้งโลกาที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรกลับมีเต๋าแห่งกระบี่ขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ มีพลังต่อสู้สูงส่งถึงขั้นข้ามขอบเขตเข้ารับมือกับเทวารู้แจ้งวิญญาณได้ และยังมีสมบัติวิญญาณธรรมชาติ รวมถึงเหรียญทองแดงโปรยสมบัติอีก?
เป็นเพราะเหตุนี้จูต่งถิงถึงได้รู้สึกพิศวงงงงวย ไม่เชื่อกับสิ่งที่ตนเห็น
เขารู้แล้วว่าตนเองรับมือไม่ไหว!
นับตั้งแต่เด็ก เขาก็เติบโตมาภายใต้ความคุ้มครองของผู้อาวุโสภายในสำนัก มีฐานะเป็นที่เคารพนับถือ ถึงตอนนี้เส้นทางการบ่มเพาะพลังก็ราบรื่นประสบความสำเร็จมาโดยตลอด มีหรือจะต้องเจอเรื่องแบบนี้?
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกอับอายนัก นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสถึงการที่ไม่มีใครคอยคุ้มครอง ต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง สุดท้ายเขากลับน่าสมเพชเช่นนี้
ตู้ม!
เขายังไม่ทันได้หลุดจากอารมณ์คับข้องหมองใจ ก็มีพลังผันผวนอันน่าสะพรึงพัดออกมา ทำเอาฟ้าถล่มบดขยี้ทุกสิ่งอย่างให้กลายเป็นผุยผง
เมื่อมันกระจายตัวมาถึงเขา จูต่งถิงก็รู้สึกราวกับถูกค้อนยักษ์ทุบ ร่างถูกดีดกระเด็นไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ กระแทกลงพื้นอีกทีห่างออกไปถึงพันลี้ในสภาพดูไม่ได้ สีหน้าเขาซีดขาว มุมปากและจมูกมีเลือดอาบ ดูน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
“นี่ข้ากำลังจะตายงั้นหรือ? ไม่สิ ข้าจะตายได้อย่างไร? เพิ่งมีชีวิตอยู่มาเท่านี้เอง!!” จูต่งถิงกู่ร้องอยู่ในใจ ความหวาดกลัวกลืนกินเข้าถึงจิต
ศิษย์นิสัยเสียของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตถึงกับจะร้องไห้อยู่รอมร่อ!
“คุณชาย รีบหนีเร็วเข้า!” เสียงร้องแหลมของโม่ลี่โฉวดังขึ้นจากใจกลางดินและฝุ่นควัน
“ใช่แล้ว ทำไมข้าถึงไม่หนีกันนะ? ต้องหนีแล้ว! ข้าต้องกลับไปยังนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต แล้วพาท่านบรรพชนมาแก้แค้นให้ข้า! ข้าจะหั่นไอ้เด็กนี่เป็นชิ้น ๆ เผากระดูกมันแล้วกระจายเถ้ามันเสีย!” ตอนนี้จูต่งถิงเหมือนเจอขอนไม้ให้เกาะ แม้ทั่วร่างจะสั่นสะท้าน จิตใจคิดอะไรฟุ้งซ่าน แต่ก็ยังลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วหนีไปอย่างรวดเร็ว
เสียงตู้มดังขึ้นที่ด้านหลัง เสียงกรีดร้องโหยหวนของโม่ลี่โฉวหยุดลงทันใด
จูต่งถิงไม่สนสักนิด ตอนนี้ได้หัวข้อคิดอย่างเดียวคือเรื่องหนี! หากเขาสามารถหนีไปถึงเมืองนภาสูญตาได้ก็จะปลอดภัย
เพราะที่นั่นมีศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตจำนวนมากประจำการอยู่ ถึงขั้นมีบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลนิกายอำนาจเทวะอยู่ที่นั่นด้วย!
แต่ทันใดนั้นเอง จูต่งถิงก็ต้องหยุดชะงักแล้วเผยสีหน้าตื่นตกใจ จากนั้นก็ร้องเสียงสิ้นหวังออกมา แขนขาเขาอ่อนแรงแทบร่วงลงกับพื้น
เพราะมีร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า ร่างนั้นถือกระบี่ไว้ในมือขวา ส่วนมือซ้ายถือศีรษะโชกเลือดไว้ในมือ
ศีรษะนั่นคือโม่ลี่โฉว! คนที่ถือมันย่อมเป็นเฉินซี!
เมื่อเห็นดังนี้ จูต่งถิงก็แทบสิ้นสติ พลังในร่างตีกันจนวุ่นวาย กลัวจนใบหน้าบิดเบี้ยวผิดรูปไปหมด
โม่ลี่โฉวผู้อยู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณกลับถูกสังหารทิ้งได้ง่ายดายนัก! อีกทั้งยังตายตกไปในน้ำมือของเทวารู้แจ้งโลกาอีก….
เขาจะยอมรับได้อย่างไร?
แท้จริงแล้วจูต่งถิงไม่รู้เลยว่าเฉินซีมีอำนาจถึงขั้นที่สามารถสังหารลุงเก้าตระกูลอี้เมื่อครั้งอยู่แดนโลกาวินาศมาแล้ว ลุงเก้าเป็นยอดฝีมือขั้นสูงในหมู่เทวารู้แจ้งวิญญาณ ทั้งยังมีฝีมือแก่กล้ากว่าโม่ลี่โฉวไม่รู้กี่เท่า
หากเฉินซีสังหารโม่ลี่โฉวไม่ได้ก็แปลกแล้ว
“ได้โปรด… ขอล่ะ… อย่าสังหารข้าเลย…. หากไว้ชีวิตข้า ข้ายอมมอบทุกอย่างให้เลยก็ยังได้ ปู่ของข้าเป็น ผู้อาวุโสระดับสูงนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต จูกังซาน หากเจ้าสังหารข้าไปคงยุ่งยาก ข้าขอล่ะ….” จูต่งถิงกลับทรุดตัวลงกับพื้นดังตุบ อ้อนวอนขอร้องเสียงโหยหวน
หลายปีที่เขาใช้เวลาบ่มเพาะพลังมา เฉินซีเคยเห็นคนกลัวตายมาก็มาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอผู้ที่กลัวตายมากขนาดนี้
แต่อย่างไรก็ยังเปลี่ยนใจเฉินซีไม่ได้ เขาไม่คิดเสียเวลาสักนิดด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มเงื้อมือขึ้น
จากนั้นซัดกระบี่ลงมา
ศีรษะหนึ่งกระเด็นขึ้นฟ้า พร้อมด้วยโลหิตสาดกระเซ็น
จากนั้น เฉินซีก็เริ่มเก็บกวาดสนามรบด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เผยความเมตตาปรานีสักนิด ในใจไร้ความลังเลแม้เพียงหน่อยเดียว
นับตั้งแต่ที่อีกฝ่ายไล่ล่าคิดสังหารเขา เฉินซีก็เกิดจิตสังหารต่อพวกเขาแล้ว
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความแค้นอะไรกันมาก แต่กลับมาหาเรื่องเขาอยู่ร่ำไป หมายสังหารเขาอยู่เรื่อย นับว่าเกินขีดจำกัดความอดทนของเฉินซีไปแล้ว
เขาไม่ใช่คนที่ฆ่าคนอื่นไปเรื่อย แต่หากอีกฝ่ายมาหาเรื่องก่อน เขาก็ไม่รังเกียจจะลงมือปลิดชีพให้โดยเร็ว
…
คนพวกนี้มีสมบัติมากมายไม่ใช่เล่น รวมทั้งหมดแล้วมีมากถึงหนึ่งหมื่นหกพันผลึกศักดิ์สิทธิ์ ยังมีสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ห้าชิ้นทีเดียว… หลังเก็บกวาดเสร็จสิ้นแล้ว มุมปากเฉินซีก็มีรอยยิ้มพึงพอใจ จากนั้นสายตาก็เคลื่อนมองตราคำสั่งในมือ
ตราคำสั่งนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ มีลักษณะโปร่งแสงไร้สิ่งอื่นใด ภายในฝังไว้ด้วยผังค่ายกลยันต์อักขระห้วงมิติอันสลับซับซ้อน โดยมันเรียกว่าตราคำสั่งวงจรดารา เป็นสมบัติที่ต้องใช้ในการเคลื่อนผ่านค่ายกลเคลื่อนมิติดารา
ตัวอย่างเช่น ในเอกภพมสิหิมมีจักรวาลอยู่ทั้งหมดสามพันแห่ง และดาราจักรผาขจีนั้นเต็มไปด้วยดวงดาราอีกว่าแสนดวง หากไร้ค่ายกลเคลื่อนมิติดาราประจำอยู่ เมื่อเคลื่อนย้ายมิติผ่านสถานที่เหล่านี้คงหลงทางได้ง่าย
แต่หากมีตราคำสั่งวงจรดาราแล้ว หากดาวดวงนั้นมีค่ายกลเคลื่อนมิติดาราอยู่ ก็สามารถใช้ตรานี้เพื่อเคลื่อนที่ได้ตามใจอยาก
ส่วนผู้บ่มเพาะที่ไม่มีตราคำสั่งก็สามารถใช้ค่ายกลได้เช่นกัน แต่ทุกครั้งที่เคลื่อนมิติก็ต้องจ่ายราคาสูง นับว่าไม่คุ้มเลยสักนิด
สิ่งที่ควรกล่าวถึงก็คือความประณีตของตราคำสั่งวงจรดารานั้นมักอยู่ในความควบคุมมหาอำนาจอันดับหนึ่งของจักรวาล ยิ่งไปกว่านั้น ตราคำสั่งวงจรดาราที่พวกเขามีก็สามารถใช้ได้เฉพาะในจักรวาลของตนเองเท่านั้น
ตามที่เขาว่ากันมา ยังมีตราคำสั่งแดนเทพโบราณที่สามารถทำให้คลื่นมิติระหว่างเอกภพได้ มีชื่อเรียกว่าตราคำสั่งชีพจรเอกภพ แต่มันก็หายากมาก คนธรรมดาแทบไม่มีโอกาสได้พบเจอเลยด้วยซ้ำ
ด้วยตราคำสั่งวงจรดารานี้ ข้าก็ไม่ต้องปวดหัวหาทางไปนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตแล้ว… เฉินซีเก็บตราคำสั่งอย่างระมัดระวัง มันเป็นสมบัติล้ำค่านัก เพราะอย่างน้อยเขาก็ใช้มันในค่ายกลเคลื่อนมิติบนดาวต่าง ๆ ในดาราจักรผาขจีได้
แต่ในจังหวะนั้นเอง ความระแวดระวังก็ผุดขึ้นในใจเฉินซี ร่างเขาตึงเครียดขึ้นมาทันที จากนั้นสายตาก็พลันเคลื่อนไปยังที่ไกลรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด
“มาถึงแล้วไม่แสดงตัวออกมาเลยเล่า?” สิ้นน้ำเสียงเรียบเรื่อยเฉื่อยชา เฉินซีก็บีบยันต์ศัสตราแน่น ร่างสูงใหญ่คล้ายคันธนูที่โก่งจนสุด เตรียมยิงศรออกไปได้ทุกเมื่อ
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ จะดูออกก็ยากเย็นนัก คงจะมีผิวไร้ลักษณ์แห่งเผ่าหน้ากากหนังพฤกษากระมัง?” เงาร่างสีแดงวาดผ่านมาอย่างรวดเร็ว นางขยับข้อมือเพียงนิด ก็นอนเอาหลังพิงอากาศอยู่เช่นนั้นได้ ดวงตาคู่งามขุ่นมัว ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าประณีตเป็นพิเศษ และผมสีดำสนิทที่ปลิวไสวอยู่เบื้องหลัง ตรงหน้าอกคือก้อนหิมะขาวเย้ายวนตา ทั้งยังมีมีรูปร่างเพรียวบางและสง่างาม ร่างกายเต็มไปด้วยเสน่ห์หาใครเทียม ราวกับโฉมสะคราญคนหนึ่ง
ศิษย์นิกายอำนาจเทวะ เยี่ยเหยียน!
“เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย” เฉินซีดูไม่ตกใจเท่าไหร่ แต่นัยน์ตาล้ำลึกกลับเผยแววสังหารเยือกเย็น หากตอนนี้ไม่ยึดหลักเหตุผลไว้ก่อนเขาคงสังหารนางไปนานแล้ว
“แน่นอนสิว่าต้องเป็นข้า หากไม่ใช่ข้าเจ้าก็คงหนีไปได้อีกครั้ง” เยี่ยเหยียนหัวเราะ ริมฝีปากสีแดงเย้ายวนเผยอออกเล็กน้อย น้ำเสียงดูอ่อนโยนไพเราะเสนาะหู
“แน่ใจหรือว่าจะกักข้าไว้ที่นี่ได้?” เฉินซีเยาะเย้ย
“ข้าก็ไม่ได้กะจะกักเจ้าไว้ที่นี่ จะสังหารเจ้าทิ้งเดี๋ยวนี้ล่ะ ไม่เช่นนั้นต่อไปคงนอนไม่หลับเป็นแน่” เยี่ยเหยียนกะพริบตาหยอกล้อ แต่คำพูดคำจากลับน่ากลัวจับใจ
ตู้ม!
ทันใดนั้นก็เกิดแรงพลังดีดออกรอบทิศ เกิดเป็นยันต์อักขระขึ้นมา พริบตาเดียวพวกมันก็เปลี่ยนเป็นข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์ล้อมกายเยี่ยเหยียนไว้
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วนัก เฉินซียังไม่ทันลงมืออะไร ข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ส่งผลให้เยี่ยเหยียนไร้เวลาตอบสนอง
“นับตั้งแต่ออกจากเมืองมา ข้าก็รู้แล้วว่าพลังที่เคลื่อนไหวอยู่ในนี้ไม่มีทางรอดพ้นสายตาเจ้าไปได้ ดังนั้นจึงวางค่ายกลนี้ไว้แต่ต้น ดังนั้นช่วยรับของขวัญชิ้นน้อยชิ้นนี้ไปด้วยเถอะ” สิ้นเสียงเรียบเรื่อยและท่าทางสุขุมนุ่มลึก ร่างสูงใหญ่ก็แวบหายไป เขาฉีกมิติเร่งรุดจากไปเต็มกำลัง
ข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์นี้มีชื่อเรียกว่าค่ายกลจักรพรรดิพิสุทธิ์ทมิฬ สร้างขึ้นจากยันต์เทวะผสานธาตุ เฉินซีวางมันไว้พร้อมกับใช้วัตถุเทวะจำนวนมากที่ซื้อมาจากพิมานหยาดหยก มีอำนาจถึงขั้นกำจัดเทวารู้แจ้งโลกาได้ และกักเทวารู้แจ้งวิญญาณได้ แต่จะทำอะไรเทวารู้แจ้งวิญญาณร้ายแรงไม่ได้
ตอนนี้เขาใช้มันรับมือกับบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอย่างเยี่ยเหยียน ย่อมกักนางไว้ได้ไม่นาน
แต่ก็ช่วยไม่ได้ เฉินซีมีทรัพยากรไม่มากพอที่จะซื้อวัตถุเทวะมาวางข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์ที่แกร่งกว่านี้ได้
แต่ถึงจะมีเงินพอ พิมานหยาดหยกก็ไม่ได้มีวัตถุเทวะที่จำเป็นมากนัก เพราะอย่างไรยิ่งข้อจำกัดศักดิ์สิทธิ์แกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้วัตถุเทวะและของล้ำค่าหายากมากขึ้นเท่านั้น
เป็นเพราะเหตุนี้เฉินซีจึงหันหลังจากไปอย่างไม่ลังเล
ตัวเขารู้ดีว่าหากประมือกับเยี่ยเหยียนซึ่งอยู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ก็นับว่ารนหาที่ตาย และเขายังไม่อยากถูกใครกระทืบได้โดยง่าย
ตู้ม!
แน่นอนว่าหลังจากเฉินซีจากไปได้ไม่นาน ค่ายกลจักรพรรดิพิสุทธิ์ทมิฬก็แยกออกมาพร้อมกับแสงตู้ม กลายเป็นฝนแสงกระจายออกรอบทิศ ก่อนจะเผยร่างเย้ายวนของเยี่ยเหยียนที่อยู่ในชุดสีแดงก้าวเดินออกมา
“ไอ้เจ้าบัดซบจ้อยร่อยนั่นหลักแหลมยิ่ง แต่ข้าทิ้งเจตจำนงกระแสหนึ่งติดร่างเขาไว้แล้ว ไหนดูสิว่าจะหนีไปได้สักกี่น้ำ!” เยี่ยเหยียนหัวเราะเสียงเบา ใบหน้าเจือแววอ่อนโยน ท่วงท่าสุขุมนุ่มลึก นางยกมือเรียวงามรวบผมที่อยู่ข้างหูขึ้นมัดเป็นทรงหางม้าที่ทิ้งตัวลงราวกับน้ำตก ดูเรียบร้อยงดงาม ทำให้ท่าทีทรงเสน่ห์ดูมีความดุดันมากขึ้น
จากนั้นชุดสีแดงก็สะบัดพลิ้ว ก่อนร่างของนางจะหายไปทันใด
“คุณชาย! ผู้อาวุโสโม่ลี่โฉว!”
“ตายแล้ว คุณชายกับผู้อาวุโสโม่ลี่โฉวไม่พ้นภัย….”
“บ้าเอ๊ย! เป็นฝีมือใครกัน!?”
หลังจากเยี่ยเหยียนจากไปได้ไม่นาน ศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตทั้งหมดก็มาถึง เสียงร้องคำรามโกรธเกรี้ยวดังขึ้นหลายระลอกกระจายไปทั่วป่าที่ตอนนี้กลายเป็นซากไปแล้ว
…………….