บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1589 ความโกลาหลห้วงมิติ
บทที่ 1589 ความโกลาหลห้วงมิติ
ฟึ่บ!
ฟึ่บ!
พื้นที่มิติตรงหน้าผันบิดเบี้ยวและผันผวนด้วยความรวดเร็ว มันกลายเป็นแสงหลากสีที่ดูงดงามและพร่างพราว
กระนั้นเฉินซีก็ไม่มีอารมณ์จะมาเฝ้าชื่นชมความงามเหล่านั้น ชายหนุ่มกำลังหลบหนีปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างว่องไว พลางคำนวณหนทางทั้งหมดภายในหัวเพื่อจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้า
บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลน่ากลัวถึงเพียงนี้เลยหรือ?
อย่างไรเสีย ไม่ว่าเทวารู้แจ้งโลกาจะมีความแข็งแกร่งและพลังที่ท้าทายสวรรค์เพียงไร แต่เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลแล้ว ก็มีเพียงความตายที่รออยู่เท่านั้น
สำหรับขอบเขตการบ่มเพาะนั้น เมื่อการบ่มเพาะของคนคนหนึ่งบรรลุสู่สภาวะซึ่งกลับไปยังเส้นทางแห่งบรรพกาลแล้ว มหาเต๋าทั้งหลายของเขาก็จะกลับไปสู่จุดกำเนิดของมัน เพียงคิดถึงการมีอยู่เหล่านั้นแม้ครั้งเดียวก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่ได้มหาศาล แม้แต่ความแข็งแกร่งก็เพียงพอจะสร้างโลกขึ้นมาได้ทั้งใบ กระทั่งความโกรธแค้นก็เป็นดั่งเพลิงผลาญที่ทำลายล้างโลกา คำว่าน่าสะพรึงกลัวนั้น ไม่อาจเพียงพอที่จะใช้นิยามถึงมันได้เลย
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงทำได้เพียงหลบหนีเท่านั้น จริงอยู่ที่เขาไม่ต้องการสิ่งใดไปกว่าการได้ฆ่านาง แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับในความห่างชั้นนี้
เพราะนี่คือความเป็นจริง!
แม้ว่าเฉินซีจะสามารถฉีกข้อจำกัดในด้านขอบเขตและบดขยี้เหล่าเทวารู้แจ้งวิญญาณได้ ทว่าสำหรับขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลนั้น ก็ยังอยู่เหนือกว่าเขาไปไกลมาก ด้วยความห่างชั้นนี้ ไม่มีความแข็งแกร่งในด้านอื่นใดที่เพียงพอจะนำมาชดเชย
แม้นหากเฉินซีได้ครอบครองขวานผานกู่ สมบัติล้ำค่าอันดับหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางความโกลาหลแห่งสามภพ ก็ไม่แน่ว่าจะรับมือกับพลังของนางได้
เหตุผลนั้นง่ายมาก ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบันของเขา มันไม่เพียงพอที่จะดึงพลังอันฉกาจของขวานผานกู่ออกมาได้ หากจะกล่าวให้เห็นภาพ เขาในยามนี้ไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยที่กำลังถืออาวุธอันไร้เทียมทาน ต่อให้อาวุธนั้นจะเยี่ยมยอดเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้มันทรงอานุภาพได้เท่ากับการที่ปล่อยให้มันอยู่ในมือของผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่ง
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เสียงกัมปนาทของกระแสมิติหวีดหวิวภายในโสตประสาทขณะที่ร่างสูงใหญ่ก้าวไปข้างหน้า ในที่สุดเขาก็หนีออกมาจากดาวดวงนี้และสู่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ขอบเขต
ในตอนนี้ เฉินซีได้กลายไปลำแสงที่เคลื่อนผ่านอวกาศกว้างไกล เขาเดินทางไปเพื่อสำรวจดวงดาวดวงแล้วดวงเล่าอย่างไร้จุดหมาย
การซ่อนตัวดาวดวงนั้นอันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากมันมีพื้นที่เล็กเกินไปเสียจนง่ายก็การพบตัว ทว่าดาราจักรนั้นต่างออกไป มันประกอบไปด้วยดวงดาว หมอกดวงดาว หมู่ดาว และสายธารดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระจายตัวกันอย่างหนาแน่น… ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งรอยแยกมิติและหลุมดำก็สามารถเก็บซ่อนดวงวิญญาณเอาไว้ได้ เรียกได้ว่ามันไม่เพียงแต่ซับซ้อน หากยังอันตรายมากอีกด้วย
ในความคิดของผู้บ่มเพาะนั้น การสัญจรไปมาอย่างอิสระในดาราจักรเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความกล้าอย่างมาก เพราะนอกจากสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอันตรายแล้ว การหลงทางก็เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับดาราจักรอันกว้างไกลนี้
ตอนนี้เอง ดาราจักรอันไร้ขอบเขตได้กลายเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมต่อการหลบหนีของเฉินซี มันเป็นเหมือนกับเขาวงกตที่ซับซ้อน ทว่ามันก็นำอันตรายมาสู่ตนได้ในขณะเดียวกัน อย่างไรแล้ว มันก็เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การซ่อนตัวอย่างมาก
…
กระนั้น ความประมาทเพียงนิดก็ทำให้เขาเผลอประเมินความน่าสะพรึงกลัวของเยี่ยเหยียนต่ำเกินไป
ไม่นานหลังหลังจากเข้าสู่ดาราจักรผาขจี ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวที่กระจายไปทั่ว มันพล่านไปทั่วกายราวถูกราดรดด้วยน้ำเย็นจัด
“เฉินซี หากเจ้ายังเอาแต่เล่นอยู่เช่นนี้ ข้าก็ยินดีจะไล่บดขยี้เจ้าไปจนถึงปลายทาง อย่างไรชีวิตของเจ้าก็อยู่ในกำมือของแล้ว หลบหนีไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา” เสียงอันอ่อนโยนซึ่งเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจดังก้องในโสตประสาท ฉับพลันนั้น แหวนทองแดงสีดำสนิทที่หมุนวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็ฝ่าอากาศพุ่งตรงมายังที่ที่เขากำลังยืนอยู่
แหวนนั้นเหมือนกับฝนดาวตกพร่างพราว มันฉีกกระชากความมืดมิดของดาราจักรให้ขาดสะบั้น ก่อนจะโจมเฉินซีด้วยเปลวไฟที่เปล่งประกายด้วยความศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในใจผู้คน!
มันเร็วมาก!
เร็วเกินไป!
เร็วขนาดที่ว่ายังไม่ทันที่เสียงจากประโยคสุดท้ายของเยี่ยเหยียนจะมาถึง แหวนทองแดงนั่นก็พุ่งมาถึงตัวของเฉินซีแล้ว
ทันใดนั้น ม่านตาของเฉินซีหรี่ลง พลังศักดิ์สิทธิ์ที่เขาสั่งสมมาเป็นเวลานานแผ่ซ่านไปทั้งร่างกาย ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มตะโกนออกมาเสียงดังก่อนจะใช้เหรียญทองแดงโปรยสมบัติเพื่อต้านการโจมตีจากอีกฝ่าย
ตู้ม!
เสียงของการปะทะกันครั้งใหญ่กึกก้องไปทั้งแผ่นฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ความผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวกวาดกลืนบริเวณโดยรอบ ส่งผลให้ดวงดาวที่รกร้างกว่าสิบดวงในบริเวณใกล้เคียงสั่นสะเทือน ราวกับว่าพวกมันกำลังร่วงหล่นและระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ!
นี่คือดาราจักรแห่งแดนเทพโบราณ ภายใต้การห่อหุ้มด้วยกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ดวงดาวแต่ละดวงในที่แห่งนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง มันห่างชั้นเกินกว่าที่ดาวดวงใดในสามภพจะเทียมทัน ทว่าบัดนี้ภาพของดวงดาวที่กำลังพังพินาศเนื่องจากการปะทะของพลังทั้งสองกลับกำลังอุบัติขึ้น!
โครม!
ร่างของเฉินซีสั่นสะท้าน ม่านพลังสีเขียวอ่อนปรากฏรอบ ๆ ตัว ก่อนจะแตกสลายพร้อมกับเสียงกัมปนาท
มันคือชุดเกราะที่เขาซื้อมาจากพิมานหยาดหยก ตามคำอธิบายของเสี่ยวเอ๋อร์ มันสามารถต้านทานการโจมตีที่เต็มรูปแบบของเทวารู้แจ้งวิญญาณได้ ทว่าตอนนี้มันกลับแตกสลายไม่ต่างจากกระดาษแผ่นบางโดยการโจมตีของบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล และกลายเป็นเพียงวัตถุอ่อนแอชิ้นหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การป้องกันของมันก็ช่วยลดทอนผลกระทบที่อาจจะเกิดกับเฉินซีไปได้มาก เขาอาศัยกำลังที่เหลือเพื่อพุ่งไปสู่ดาราจักรอันกว้างไกลอีกครั้ง
“หืม? ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้ตระเตรียมของเล่นมากมายมารับมือข้านะ น่าเสียดาย หากเจ้ามีเกราะวิญญาณบรรพกาล ซึ่งอยู่ในอันดับหกของสามภพแล้วละก็ บางทีเจ้าอาจจะดิ้นรนได้นานขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย การที่เจ้าพึ่งพาขยะเช่นนี้ไม่มีทางจะพลิกสถานการณ์ได้หรอกนะ” เยี่ยเหยียนที่อยู่ไกลออกไปชะงัก นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไพเราะขณะที่ไล่ตามเฉินซีไปแบบติด ๆ
“เลิกพูดไร้สาระเสียที ในเมื่อเก่งนักก็รีบมาฆ่าข้าเลยสิ!”
ตึง!
ภายใต้เสียงที่เรียบเฉยของเฉินซี ร่างสูงใหญ่พลันเปล่งประกายไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะกลายเป็นคุนเผิงขนาดมหึมาด้วยความรวดเร็ว เสียงคำรามกึกก้องดังขึ้นพร้อมกับปีกที่สยายบดบังไปทั้งผืนฟ้า ความเร็วของเขาขณะที่พุ่งตัวออกไปในระยะไกลมากขึ้นถึงเท่าตัว
วิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิง!
มันเป็นวิชาที่ถูกสร้างขึ้นโดยคุนเผิง สัตว์อสูรบรรพกาลที่มีความดุร้ายเป็นอันดับหนึ่ง! ไม่จะการโจมตีหรือเคลื่อนไหว ก็ถือได้ว่าน่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก
ไม่เพียงเท่านั้น เหล่าคุนเผิงในช่วงยุคบรรพกาลยังถูกกล่าวขวัญว่าสามารถแปลงร่างเป็นปลาได้หากลงไปอยู่ในห้วงสมุทร ทั้งยังสามารถกลืนกินน้ำทั้งหมดนั้นได้ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ และหากโผล่พ้นจากผืนน้ำมาแล้ว ร่างก็จะกลายเป็นนกที่โผบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและเที่ยวท่องไปในดาราจักรกว้างไกลประหนึ่งเพียงย่ำย่างบนแผ่นดิน!
ถึงอย่างนั้น วิชานี้ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะมันต้องอาศัยพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มากเกินไป หากเฉินซีมีทางเลือกอื่นแล้วละก็ แน่นอนว่าเขาจะไม่เลือกวิธีการที่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้
“วิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิง… หึ! เมื่อหลายปีก่อน ศิษย์พี่สามของเจ้า เที่ยอวิ๋นไห่ได้สังหารทายาทคุนเผิง ซึ่งทำให้จ้าวเต๋าคุนเผิงโกรธเคืองอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะฝูซี อาจารย์ของเจ้า ศิษย์พี่สามของเจ้าของคงต้องตายชดใช้ความผิดไปนานแล้ว มาบัดนี้เจ้ากลับกล้าสำแดงวิชาดังกล่าว ไม่กลัวหรืออย่างไรว่าจ้าวเต๋าคุนเผิงจะตามไล่ล่าเจ้าอีกคน?” เสียงของเยี่ยเหยียนแผ่วเบา ไม่ชัดเจนกังวานเท่าแต่ก่อน เห็นได้ชัดว่าการที่เฉินซีใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิงทำให้นางไม่อาจรักษาความได้เปรียบในด้านความเร็วอีกต่อไป เรียกว่าความเร็วของคนทั้งสองบัดนี้แทบจะกินกันไม่ลง
“จ้าวเต๋าคุนเผิง?” สิ่งนี้ทำให้เฉินซีนึกถึงเผ่าจุลบรรพกาลที่เขาเคยพบในแดนโลกาวินาศ ที่นั่นทำให้เขาได้รู้ถึงการตายของจ้าวเต๋าคุนเผิงจากปากของหญิงชราผมขาว
บัดนี้เมื่อเยี่ยเหยียนกล่าวว่าศิษย์พี่สามของเขา เที่ยอวิ๋นไห่ได้สังหารลูกหลานของจ้าวเต๋าคุนเผิงจริง ๆ และทำให้ผู้อาวุโสฝูซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกหน้าเพื่อรับรองความปลอดภัยของเขา เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ชายหนุ่มรู้สึกได้เลยว่ายอดคนทั้งหลายในแดนเทพโบราณนั่นน่าเกรงขามอย่างยิ่ง พวกเขาล้วนแต่เป็นเสือซุ่มมังกรหลับที่เร้นกายอยู่ในทุกหนแห่ง
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ที่เฉินซีเข้ามาในแดนโลกาวินาศ เขาก็ได้รู้อย่างแน่ชัดว่าจ้าวเต๋าคุนเผิงเสียชีวิตไปนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดให้เขาต้องกลัวอีกต่อไป
อีกทั้งในตอนนี้เขามีพลังของผนึกคุนเผิงที่อยู่ภายในแดนโลกาวินาศ ซึ่งนั่นก็ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเยี่ยมยอดขึ้นเช่นเดียวกัน
โครม!
แม้ว่าเยี่ยเหยียนจะไม่สามารถตามเฉินซีได้ทัน แต่แหวนทองแดงสีดำสนิทในการครอบครองของนางนั้นก็ยังมีอานุภาพมากพอที่จะโจมตีเขาได้ เห็นได้ชัดว่ามันคงจะเป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติ แน่ล่ะ ด้วยความแข็งแกร่งในการโจมตีที่ชวนตกตะลึงของมัน ไม่มีทางที่มันจะเป็นสมบัติธรรมดาอย่างอื่นไปได้
ตู้ม!
เฉินซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับมือกับมันอีกครั้ง ร่างคุนเผิงขนาดมหึมาสั่นสะท้านจวนฉีกกระชาก
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เฉินซีก็ทำลายผลึกศักดิ์สิทธิ์มากกว่าร้อยก้อนเพื่อดูดซับมันเข้าไปในร่างกายของตน ตอนนั้นชายหนุ่มหาได้สนใจไม่ว่าพลังของผลึกศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับนั้นจะรุนแรงเกินไปหรือไม่ สิ่งที่เขาทำมีเพียงแต่ดูดซับพลังของมันเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
การกระทำเช่นว่านี้เป็นอันตรายต่อเส้นลมปราณอย่างมาก มันทำให้ฐานพลังของคนคนหนึ่งเกิดความไม่เสถียร และอาจส่งผลให้คนผู้นั้นต้องทุกข์ทรมานจากการที่ลมปราณเปลี่ยนกระแสไป ทว่าในยามนี้ เฉินซีไม่มีเวลาที่จะใคร่ครวญถึงเรื่องเหล่านั้น
ด้วยความช่วยเหลือของผลึกศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายของเขาพลันระเบิดรัศมีเจิดจรัสออกมาอีกครั้ง ส่งผลให้ทิ้งห่างจากเยี่ยเหยียนไปไกลมาก
“ไอ้สารเลวนั้นมากกลอุบายเสียเหลือเกิน” คิ้วคู่งามของเยี่ยเหยียนเลิกขึ้น เห็นชัดถึงร่องรอยของความอดทนที่ขาดผึ่ง
นางไม่ได้โกรธ เพียงแต่นึกหน่ายระอาเท่านั้น
“หือ?” สีหน้าของเยี่ยเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ครั้นเมื่อนางใช้วิชาลับ ร่างสีแดงก็คล้ายกำลังมอดไหม้ ก่อนจะโผทะยานออกไปพร้อมกับเสียงคำราม
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็หยุดอยู่เบื้องหน้าห้วงมิติซึ่งขนัดแน่นไปด้วยความโกลาหล คิ้วเรียวเลิกขึ้นขณะที่ส่งเจตจำนงออกไปเบื้องหน้า หากสุดท้ายที่ได้มากลับมีเพียงความว่างเปล่า
“แปลกนัก พลังชีวิตของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย หรือว่าเขาจะตายอยู่ภายใต้กระแสความโกลาหลเหล่านี้?” เยี่ยเหยียนกวาดมองออกไปยังความโกลาหลแห่งห้วงมิติเบื้องหน้า
มันเป็นห้วงมิติกว้างใหญ่ราวล้านลี้ที่พังทลาย ภายในนั้น อุกกาบาตจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังหมุนวน ท่ามกลางความวิบัติเหล่านั้น เสียงหวีดหวิวดังขึ้นเป็นระยะ พวกมันเป็นเหมือนกระแสน้ำวนที่น่าสะพรึงกลัวและน่าอัศจรรย์
“หึ! ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะตายเช่นนั้น!” ทันใดนั้น แสงอันไร้ปรานีก็ฉายวาบในดวงตาของเยี่ยเหยียน นางสร้างผนึกขึ้นบนฝ่ามือ แหวนทองแดงสีดำสนิทส่งเสียงอื้ออึงขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์กระจายออกมา ก่อนที่มันจะพุ่งชนเข้ากับความโกลาหลของมิติอันกว้างไกล
ตึง!
ในชั่วขณะหนึ่ง ความโกลาหลแห่งห้วงมิติซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่าล้านลี้ก็ระเบิดอย่างรุนแรง มันเหมือนกับแอ่งโคลนซึ่งตกอยู่ภายใต้ความปั่นป่วนที่กวาดกระจายไปยังบริเวณโดยรอบ
อีกด้านหนึ่ง อุกกาบาตจำนวนมากที่อยู่ภายในนั้นพลันแตกออกและกระจายไปในทุกทิศทาง
มันให้ความรู้สึกคล้ายกับดอกไม้ไฟขนาดมหึมาที่ปะทุขึ้นกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว แม้จะงดงามอลังการ หากก็แฝงเร้นไปด้วยอันตรายร้ายแรง
ในที่สุดฝุ่นละอองก็กระจายออกไป กระนั้นมันก็ยังไม่อาจทำให้เยี่ยเหยียนสัมผัสได้ถึงร่องรอยของเฉินซีได้
สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าพิลาสโฉมหาใดเปรียบของนางแต่งแต้มไปด้วยความผิดหวังในทันที “ทั้งที่ข้าทิ้งเจตจำนงไว้บนตัวของเขาแล้วแท้ ๆ เหตุใดความสามารถในการรับรู้ถึงตัวตนของข้าจึงถูกตัดขาดเช่นนี้? แบบนี้ ข้าก็ไม่อาจตรวจจับพลังชีวิตของเขาได้อีกแล้วสิ”
เยี่ยเหยียนยืนครุ่นคิดอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดนางก็ทำได้เพียงกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิดใจ
นางไม่ได้สังเกตเลยว่าหลังจากที่ตนทำลายล้างความโกลาหลในห้วงมิติก่อนหน้านี้ เงาที่จับทางได้ยากก็ปรากฏตัวขึ้นบนอุกกาบาตลูกหนึ่งที่ถูกระเบิดออกไป
“ไอ้สารเลวเอ๊ย! ข้าไม่มีวันให้อภัยเจ้าแน่! ไม่ว่าเจ้าจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ข้าก็จะตามไล่ล่าเจ้าไปทุกแห่งหน!” เยี่ยเหยียนคำรามลั่น คล้ายว่านางต้องการจะระบายความเคียดแค้นในใจออกมา
ทว่าสุดท้ายก็ไม่มีคำตอบใดที่ส่งกลับมาหานาง