บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1590 การรู้แจ้งถึงเต๋าหนึ่งปี
บทที่ 1590 การรู้แจ้งถึงเต๋าหนึ่งปี
อุกกาบาตกรีดพุ่งลงมา ประหนึ่งเปลวเพลิงโปรยปรายสู่จักรวาลพร่างพราวอันมืดมิดไร้ขอบเขต
ร่างของเฉินซีนอนแผ่บนอุกกาบาต ปกคลุมด้วยแสงเจิดจรัส ประกอบกับสัจธรรมที่เขาใช้อักขระผนึกเต๋าอำพรางพลังชีวิตของตน จึงยากที่ผู้อื่นจะสังเกตเห็น
เพราะเหตุนี้เอง เมื่อครู่เขาจึงพ้นการตรวจจับจากเจตจำนงของเยี่ยเหยียนมาได้
อึ้ก~ อึ้ก~
หยาดโลหิตซึมเป็นสายจากมุมปากของเฉินซี ขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาค่อย ๆ ซีดลง ก่อนหน้านี้ ยามเขาซ่อนอยู่ในมิติอันวุ่นวาย การโจมตีโดยใช้แหวนทองแดงสีดำของเยี่ยเหยียนกระทบถึงเขา ทำให้บาดเจ็บสาหัส
นังคนสมควรตายนั่น! สักวันข้าจะให้นางมาลิ้มรสชาติเช่นนี้บ้าง! เฉินซีเข่นเขี้ยว นับแต่เขาเริ่มบ่มเพาะจนบัดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกไล่ตามอย่างต่อเนื่อง ร่ายระบำบนคมมีด หยอกเล่นกับอันตรายทุกขณะ
เปรี้ยง!
ไม่นานนัก อุกกาบาตก็ชนเข้ากับดาวร้างแห่งหนึ่ง สร้างหลุมมหึมากินพื้นที่แสนลี้
แรงกระแทกอันน่าสะพรึงกลัวทำให้ดาวร้างแห่งนี้สั่นสะท้านรุนแรง ก่อนจะเบี่ยงหลุดจากวงโคจรเดิมไป
ฟิ่ว!
ร่างของเฉินซีวูบไหว ฉวยโอกาสก่อนการกระแทกนี้หลบเลี่ยงไปไกล
สงสัยจริงว่ายามนี้ ข้าอยู่ส่วนใดในดาราจักรผาขจี…. ชายหนุ่มยืนท่ามกลางความว่างเปล่า สายตากวาดมองทั่วทิศ แต่ก็สังเกตเห็นว่าแม้มีหมู่ดาวรายล้อมเต็มไปหมด แต่พวกมันกลับเย็นเฉียบไร้ร่องรอยชีวิตใด ๆ กล่าวคือ ดวงดาราทั้งหลายต่างร้างชีวิต ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ อยู่อาศัย
เมื่อรวมกับสัจธรรมที่เขาไม่มีผังดารา เฉินซีก็ไม่อาจทราบที่อยู่ของตน
วูบ!
ทันใดนั้นเอง คลื่น ‘เจตจำนง’ อันน่าสะพรึงกลัวสายหนึ่งก็พุ่งออกมาเยี่ยงคลื่นกระเพื่อมจากเบื้องลึกแห่งจักรวาล ถูกอักขระผนึกเต๋าจับไว้ได้ในทันที
เยี่ยเหยียน!
ม่านตาของเฉินซีหดตัวเฉียบพลัน ร่างของเขาวูบไหวเช่นเงามายา หลบสู่หนึ่งดาวร้างข้างตัวอย่างเงียบ ๆ ร่างของเขาขยับอยู่สองสามหน ก่อนจะหายวับไปใต้พื้นผิวดาว
ทันทีที่เฉินซีซ่อนตัวเสร็จ จุดสีแดงฉานสะดุดตาก็ทะยานผ่านจักรวาลพร่างดาวเข้ามาทางนี้ แต่ก็มิได้หยุดลงเพียงเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเพราะมีอักขระผนึกเต๋าช่วยเหลือ นางจึงไม่อาจเห็นพลังชีวิตของเฉินซี
เฮ้อ~
เนิ่นนานจากนั้น เฉินซีซึ่งซ่อนตัวลึกใต้พื้นผิวดาวจึงผ่อนหายใจโล่งอก แต่สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเกินตีความ เมื่อครู่เขาได้ยินคำอาฆาตของเยี่ยเหยียนชัดเจนมาก ดังนั้นเมื่อเห็นนางกัดไม่ปล่อยเช่นนี้ เฉินซีก็เข้าใจว่านังคนชั่วไร้ปรานีนี้คิดจะล่าจนตายไปข้าง
เหตุเช่นนี้ย่ำแย่อย่างยิ่ง!
แม้เฉินซีจะมั่นใจว่าจะใช้อักขระผนึกเต๋าซ่อนจากการตรวจจับของนางได้ เมื่อกาลผ่าน ยามนางอาละวาดทำลายหมู่ดาวใกล้เคียง เขาย่อมไม่อาจซ่อนตัวต่อไปได้
เรื่องสำคัญในขณะนี้คือ ต้องใช้เวลาฟื้นบาดแผลโดยเร็วที่สุด เมื่อนางพบข้า ข้าจะได้สามารถสู้ตายกับนางได้อีก… เฉินซีอดถอนใจไม่ได้ยามตรวจสอบบาดแผลของตน นับแต่เข้ามาในเอกภพมสิหิม เขาก็ไม่เคยฟื้นตัวสมบูรณ์ได้สักหน ต้องถูกไล่ล่าอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้รู้สึกอัดอั้นตันใจยิ่ง
เอื๊อก~
เฉินซีนำโอสถทิพย์เม็ดหนึ่งออกมากลืน กระแสความอบอุ่นทว่ารื่นเย็นสายหนึ่งหลั่งรินแผ่ซ่านทั่วกายทันใด บำรุงฟื้นฟูบาดแผลให้อย่างรวดเร็ว
โอสถนี้มีชื่อว่าโอสถเทพเบญจปราณเสนาะจินดา เขาซื้อพวกมันมาจากพิมานหยาดหยกสิบเม็ดเป็นราคาสามพันผลึกศักดิ์สิทธิ์ มีมูลค่าเทียบได้กับสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ทั่วไปเจ็ดหรือแปดชิ้น
ทว่าแม้โอสถเหล่านี้จะราคาแพง สรรพคุณของมันก็ชวนตะลึงอยู่ไม่น้อย มันสามารถฟื้นชีวิตคืนความตาย บำรุงรากฐานแห่งเต๋า ฟื้นฟูพลังศักดิ์สิทธิ์และมีสรรพคุณอัศจรรย์เหลือเชื่อในการฟื้นฟูบาดแผล
เพียงไม่นาน เฉินซีก็สัมผัสได้ว่าบาดแผลในกายกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และความรู้สึกเช่นนี้ก็ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก จากความเร็วเช่นนี้ ไม่เกินสองวัน บาดแผลจะฟื้นสมบูรณ์
ระหว่างชั่วขณะนี้ เฉินซีอำพรางพลังชีวิตของตนอย่างต่อเนื่องด้วยอักขระผนึกเต๋า ด้วยหวาดกลัวอย่างยิ่งว่าการเผยพลังชีวิตแม้เพียงเสี้ยวจะทำให้เยี่ยเหยียนสังเกตพบได้
แต่การทำเช่นนี้ก็มีข้อเสีย เขาจะไม่สามารถบ่มเพาะต่อไปได้ เพราะการบ่มเพาะจะทำให้พลังชีวิตในตัวเริ่มโคจร เชื่อมต่อกับฟ้าดิน เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าอักขระผนึกเต๋าจะแข็งแกร่งเพียงไร ก็ไม่มีทางตัดการเชื่อมต่อระหว่างพลังชีวิตของเขาและมหาเต๋าในฟ้าดินได้
ในเมื่อบ่มเพาะไม่ได้ ก็รู้แจ้งถึงเต๋าแทนแล้วกัน เฉินซีไม่ยอมปล่อยเวลาเสียเปล่า เขามีคัมภีร์มากมายจากเขาเทพพยากรณ์ในครอบครอง ทั้งหมดนี้ ศิษย์พี่ชายหญิงทิ้งไว้ให้ เช่นประกาศิตกระบี่ขงจื๊อ วิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิงและการรู้แจ้ง รวมถึงประสบการณ์บ่มเพาะต่าง ๆ ของพวกเขา
นับแต่ยามที่ถูกเยี่ยเหยียนไล่ล่า เฉินซีก็ประจักษ์แจ้งว่าบางที การบ่มเพาะของเขาจะอยู่เหนือใครในสามภพ แต่ในแดนเทพโบราณ เขาเป็นเพียงเทพระดับล่างสุดผู้หนึ่งเท่านั้น
แม้เขาจะเจิดจรัสโดดเด่นยิ่งในสายตาผู้อื่น สามารถข้ามขอบเขตไปสังหารเทวารู้แจ้งวิญญาณอย่างลุงเก้าและโม่ลี่โฉวได้ แต่ในความเห็นของเฉินซี เขาจะจมอยู่กับความสำเร็จในอดีตต่อไปได้อย่างไร?
โดยเฉพาะเมื่อประสบการไล่ล่าของบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอย่างเยี่ยเหยียน ทำให้เขาโหยหาความแข็งแกร่งที่สูงขึ้น ปรารถนาจะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้!
…
สองวันถัดมา บาดแผลของเฉินซีฟื้นตัวสมบูรณ์
แต่เขามิได้จากไปทันที ชายหนุ่มเก็บซ่อนพลังชีวิต ขณะที่ในใจจดจ่อกับสารพัดคัมภีร์โบราณในครอบครองของตน
คัมภีร์เหล่านี้ครอบคลุมสรรพสิ่ง ทั้งหมดนี้ ศิษย์พี่ชายหญิงจากเขาเทพพยากรณ์ทิ้งไว้ให้ ประสบการณ์ที่พวกเขาจารึกไว้ในคัมภีร์เหล่านี้ล้ำค่าและกระตุ้นความคิดนัก
โดยเฉพาะเมื่อยามนี้ที่เฉินซีบรรลุขอบเขตเทวา ด้วยความสามารถในการเรียนรู้ของเขา การรู้แจ้งที่ได้รับจากคัมภีร์เหล่านี้จึงแตกต่างจากในอดีต
เพราะประสบการณ์และความเข้าใจส่วนใหญ่ในคัมภีร์เหล่านี้เป็นการเข้าใจอันพิเศษเฉพาะเกี่ยวกับการควบคุมอำนาจเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ก่อกฎเต๋าศักดิ์สิทธิ์และวิชาต่อสู้
คัมภีร์และความลึกซึ้งทั้งมวลภายในนั้นเหมือนจะครอบคลุมสารพัดการเปลี่ยนแปลงอันแตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง แต่ท้ายที่สุด พวกมันก็ใช้วิธีที่แตกต่างมาบรรจบกัน ณ เป้าหมายเดียว หวนคืนสู่เต๋าแห่งยันต์อักขระ สิ่งนี้ทำให้เฉินซีสามารถทำความเข้าใจพวกมันได้อย่างไม่ต้องพยายามมากนัก ยิ่งกว่านั้น เมื่อพึ่งทักษะอนุมานโดยอิงจากเต๋าแห่งยันต์อักขระของเขาเอง บ่อยครั้งจึงสามารถยืนยันและอธิบายความลึกซึ้งทั้งหลาย สร้างความเข้าใจของตนได้
หากอยู่ในขอบเขตราชันเซียน เฉินซีไม่มีทางเข้าใจความลึกซึ้งเหล่านี้ได้แน่นอน เหมือนพยายามมองหนึ่งสระน้ำผ่านเทือกเขา หาบุปผากลางม่านหมอก
ยิ่งเขาทำความเข้าใจได้มาก เฉินซีกระทั่งลืมการไหลแห่งเวลา ร่างเหมือนเปลี่ยนเป็นหนึ่งศิลาบนดาวร้าง เงียบกริบไร้สุ้มเสียง ทว่าหัวใจกลับกำลังผ่านการชำระพัฒนาโดยเคล็ดลึกซึ้งต่าง ๆ
เต๋าศักดิ์สิทธิ์!
มหาเต๋าแห่งทวยเทพ มันสูงส่ง ลึกล้ำ และไม่ชัดเจน นับแต่บรรพกาลจนยามนี้ ถือได้ว่าไม่มีใครเลยที่สามารถแยกแยะอธิบายเส้นทางสู่เต๋านี้ได้อย่างชัดเจน
กล่าวคือ ในหมู่ทวยเทพนับแต่บรรพกาล ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงไร พวกเขาล้วนแต่ไม่กล้าพูดว่าตนมาถึงปลายทางสู่เต๋าศักดิ์สิทธิ์แล้วจริง ๆ
สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นเส้นทางไร้ขอบเขต แต่กลับดึงดูดทวยเทพมาสำรวจ
สิ่งใดคือจุดจบของมหาเต๋าแห่งทวยเทพ?
มีเส้นทางสู่เต๋าเหนือมหาเต๋าแห่งทวยเทพอยู่อีกหรือไม่?
นี่คือสิ่งที่ทวยเทพทั้งหลายต่างโหยหาใคร่รู้ในใจ
ขณะนี้เฉินซีเหยียบย่างบนเส้นทางสายนี้แล้ว ชายหนุ่มทอดสายตามองสู่ท้องนภาอันไพศาลยิ่งกว่า หนึ่งเส้นทางสู่เต๋าอันไกลยิ่งกว่า และกระทั่งความแข็งแกร่งอันสูงส่งกว่านี้
ยิ่งกว่านั้น เขายังสังเกตเห็นความไม่เพียงพอของตนเองด้วย
ไม่เพียงพอหมายถึงยังมีความเป็นไปได้ในการพัฒนา ดังนั้นเฉินซีจึงไม่คิด ไม่กล้า และไม่ยอมหยุด ชายหนุ่มไม่ได้ทำเพื่อมหาเต๋า เป็นการกระทำแค่เพื่อความรับผิดชอบบนบ่าตนเท่านั้น
…
เวลาเคลื่อนผ่านดุจกระสวย ไม่ทันไรหนึ่งปีก็ผ่านพ้น
อายุขัยของทวยเทพไร้ขอบเขต ถือได้ว่าเป็นอนันต์ ดังนั้นหนึ่งปีจึงหามีความหมายไม่สำหรับพวกเขา มันเหมือนหนึ่งชั่วดีดนิ้ว ไม่ได้สร้างคลื่นมรสุมยิ่งใหญ่ใด ๆ
วันนี้หยาดฝนพลันพร่างพรมลงจากฟ้า
สองสามเดือนต่อจากนั้น หนึ่งเมล็ดพืชก็ปรากฏขึ้นบนพื้นดินอันแร้นแค้น หนึ่งต้นกล้าอ่อนเขียวขจีงอกเงย โอนเอนสุดบอบบางกลางสายลมยามเติบโต และค่อย ๆ ทวีความแข็งแกร่ง โปรยเมล็ดพันธุ์ไปทั่วพื้น
หลังจากนั้น สีเขียวขจีก็ขยายวงบนพื้นดิน กลายเป็นหนึ่งประกายแสงบนดาวร้างดวงนี้
ขณะนี้เองที่เฉินซีผู้รู้แจ้งถึงเต๋า ทำความเข้าใจทักษะวิชาต่าง ๆ ใต้พื้นผิวดาวลืมตาตื่น เผยดวงตาลึกลับเรืองประกาย
ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้ว เพียงหนึ่งความคิด ชั้นพืชพันธุ์เขียวชอุ่มบนพื้นก็เหี่ยวแห้งสลายเป็นเถ้า ลบเลือนร่องรอยไปสิ้น ทำให้ดวงดาวนี้กลับมาร้างแล้งอีกครั้ง
พลังชีวิตของข้าเกือบถูกเปิดเผย เกือบนำหายนะมาเสียแล้ว ดีที่เยี่ยเหยียนไม่ได้สังเกตเห็นข้า… เฉินซีผ่อนหายใจโล่งอก
ระหว่างทำความเข้าใจตลอดหนึ่งปีนี้ ความเข้าใจของเขาต่อเต๋าศักดิ์สิทธิ์มีการคืบหน้า กฎเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่มีก็ถูกก่อขึ้นอีกขั้น และไม่กี่เดือนก่อน เขาก็บังเกิดแรงบันดาลใจกะทันหัน พบเค้าการเคลื่อนขอบเขต ทว่าฝืนตนไม่ทำเช่นนั้นในท้ายที่สุด
เนื่องด้วยการโคจรพลังชีวิตในขณะนั้น จึงเกิดชีวิตก่อตัวบนพื้นผิว กลายเป็นหย่อมหญ้าเขียวขจี
ไม่เลว! แม้ข้าจะไม่ได้บ่มเพาะ แต่ความคืบหน้าของข้าในกฎเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ทำให้การบ่มเพาะของข้ารับประโยชน์ไปไม่ธรรมดา เมื่อเขาตรวจสอบสภาพการเปลี่ยนแปลงในกาย เค้าความปลาบปลื้มก็ปรากฏในใจเฉินซี ชายหนุ่มตระหนักชัดเจนว่าขอเพียงโคจรพลังชีวิตต่อไป ไม่ช้า เขาก็จะสามารถบรรลุขึ้นสู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณได้!
นี่กล่าวได้ว่าเป็นโชคในคราวเคราะห์ ภายใต้แรงกดดันของเยี่ยเหยียน เฉินซีได้พัฒนาศักยภาพของตนอย่างไร้จุดจบ และการบ่มเพาะก็พัฒนาอย่างชัดเจนเช่นกัน
แต่ยังห่างไกลเกินพอ!
เฉินซีตระหนักชัดเจน ว่าแม้ตนจะพัฒนา เยี่ยเหยียนก็เป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ความต่างชั้นระหว่างทั้งสองยังคงมหาศาล ไม่อาจถมทับได้แม้แต่น้อย
สัจธรรมนี้ทำให้เฉินซีค่อนข้างอึดอัดใจ ไม่ต้องพูดก็ทราบได้ว่าการล่วงเกินตัวตนน่าสะพรึงกลัวอันมีการบ่มเพาะเหนือกว่าตนมาก และถูกอีกฝ่ายไล่ล่าไม่จบสิ้น เป็นเรื่องอับโชคอย่างยิ่ง
ถึงขนาดที่ว่า หากเทวารู้แจ้งโลกาผู้อื่นมาอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา คงยอมทิ้งชีวิตกันไปนานแล้ว กล่าวได้ว่าเป็นโชคของเฉินซีที่รอดชีวิตมาได้จนบัดนี้
หือ? ทันใดนั้น สังหรณ์อันตรายสุดขั้วพลันปรากฏในใจ ทำให้เส้นขนทั่วร่างลุกชัน รู้สึกครั่นคร้ามยิ่งนัก
แย่แล้ว! ชายหนุ่มรีบร้อนลุกขึ้น แล้วพุ่งออกจากพื้นสู่ในทันที
เปรี้ยง!
ทันทีที่หนีออกมาพ้น ดาวร้างที่เคยอยู่พลันแหลกสลายเป็นผุยผง มิติอยู่ถูกแยกเป็นหุบเหวมหึมา ส่ายไหวอย่างบ้าคลั่ง
เฉินซีสูดปาก หากข้าหนีช้ากว่านี้แม้สักนิด มิใช่ว่าข้าก็ต้องถูกป่นเป็นผงเหมือนดาวดวงนั้นหรือ?
…………….