บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1596 เติมเต็มหนึ่งความปรารถนา
บทที่ 1596 เติมเต็มหนึ่งความปรารถนา
หือ? หยานฉีซิงและคณะต่างตะลึง หยุดการเคลื่อนไหวกันทันที
พรึ่บ!
ทันใดนั้น ตาข่ายใหญ่ปากนั้นก็คลุมลงมายังหนอนดาวเรืองแสงทุกตัวที่พุ่งเข้ามา บังคับจองจำพวกมันไว้อย่างเงียบเชียบ
ฮึ่ม! ฮึ่ม! ฮึ่ม!
หนอนจำนวนมหาศาลดิ้นพล่านอย่างรุนแรง ทว่าล้วนไม่ประสบผล ตาข่ายใหญ่หดรวบ ขยี้วิญญาณของพวกมันทั้งปวงเป็นผุยผง เหลือเพียงซากศพไร้วิญญาณ
หยานฉีซิงและคณะต่างตกตะลึงพรึงเพริดยามเห็นเช่นนี้ นั่นคือฝูงหนอนดาวเรืองแสงซึ่งดุร้าย เกรี้ยวกราดยากรับมืออย่างยิ่ง ทว่ายามนี้ พวกมันกลับถูกตาข่ายใหญ่จับกำจัดลงอย่างง่ายดาย!
หากไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตน พวกเขาคงไม่กล้าเชื่อกันเป็นแน่
ขณะนี้เอง หนึ่งร่างสูงปรากฏขึ้น แล้วเก็บตาข่ายใหญ่นั้นไป ก่อนจะเอื้อมมือคว้าเหล่าซากหนอนดาวเรืองแสงไปเช่นกัน
คนผู้นี้ย่อมเป็นเฉินซี หลังจากที่เขาลุล่วงในธุระ ร่างสูงใหญ่ก็วูบไหว ใช้ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ครอบลงสู่อีกฝั่งอีกครั้งหนึ่ง
ฮึ่ม! ฮึ่ม! ฮึ่ม!
หนอนดาวเรืองแสงซึ่งแห่กันตามหลังมาสังเกตเห็นนานแล้วว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี และคิดจะหนี ทว่าขณะนั้นเอง ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ก็ครอบลงมาแล้ว
เสียงแผดร้องโหยหวนดังระงมจากฝูงหนอน ทว่ามันก็แปรเป็นความเงียบสงัดเช่นป่าช้าอย่างรวดเร็ว
ณ จุดนี้ ฝูงหนอนดาวเรืองแสงซึ่งปรากฏขึ้นล้อมโจมตีอย่างกะทันหันก็ถูกกวาดล้างไปสิ้น ไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไวเกินไป นับแต่ยามที่เฉินซีใช้ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์จนกำจัดหนอนดาวเรืองแสงเหล่านั้นไปได้ด้วยสองกระบวนท่า ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
ดังนั้นยามหยานฉีซิงและคณะฟื้นจากความตกตะลึง ทั่วทิศก็คืนความสงบแล้ว
แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจคืนสติได้ในชั่วกาลอันสั้น สีหน้าของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความตกใจ ไม่อาจคาดคิดได้เลยว่าฝูงหนอนดาวเรืองแสงจะถูกกำจัดลงได้ง่าย ๆ เช่นนี้….
“ข้าหยานฉีซิงจากนิกายกลยุทธ์ ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยเหลือ” หยานฉีซิงสูดหายใจลึก ๆ กุมกำปั้นคารวะเฉินซีซึ่งยืนอยู่ไกล ๆ
สายตาของเขาเฉียบแหลมยิ่ง ตระหนักชัดเจนว่าฝูงหนอนดาวเรืองแสงไม่ได้อ่อนแอ แต่เป็นฝีมือชายหนุ่มผู้นี้ต่างหากที่ร้ายกาจเกินไป!
แม้เขาจะรู้ตั้งแต่แรกเห็นแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้อยู่เพียงในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณก็ตาม แต่เขาก็ไม่กล้าประเมินคนผู้นี้ต่ำแต่อย่างใด เพราะถึงอย่างไร หากให้เขามาเผชิญหน้าวงล้อมฝูงหนอนดาวเรืองแสงนี้ กระทั่งตัวเองจะรอดชีวิตหรือไม่ ก็ยังมิอาจประกันด้วยซ้ำ
นี่คือความต่างชั้นระหว่างพวกเขา และหยานฉีซิงก็จำต้องยอมรับ
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ” ขณะเดียวกัน คนอื่น ๆ ก็ฟื้นจากความตะลึงแล้วเช่นกัน พวกเขาประสานกำปั้นคารวะเฉินซีตาม ๆ กัน ทว่านอกจากความขอบคุณ สายตาที่ลอบมองมายังเจือความฉงนสงสัย
จะให้ทำเช่นไรได้ รูปลักษณ์ของเฉินซีอ่อนวัยเกินไปจริงแท้ ท่าทางสงบเงียบเฉยชา ดูไม่เหมือนตัวตนยิ่งใหญ่ ทำให้พวกเขาอกรู้สึกใคร่รู้ไม่ได้ ว่าคนผู้นี้บรรลุเรื่องทั้งปวงได้เช่นไร
เฉินซีเก็บซากหนอนดาวเรืองแสงเหล่านั้นไป แล้วจึงกุมกำปั้นกล่าว “ข้าเพียงผ่านทางมา ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลย มิต้องพูดถึงมันหรอก”
เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นท่าทีถ่อมตัวของเฉินซี หยานฉีซิงก็อดถอนหายใจโล่งอกอยู่ในใจไม่ได้ ก่อนจะแย้มยิ้มแล้วคุยเล่นอย่างเป็นมิตร “สหายเต๋า เจ้าจะไปไหนหรือ?”
“บอกตามตรง การมาที่นี่ของข้าเป็นเพราะจะหาสำนักเพื่อแสวงโอกาสให้ผู้น้อยสองคนของข้าบ่มเพาะ” เฉินซีตอบยิ้ม ๆ
หยานฉีซิงบังเกิดความเข้าใจขึ้นในอก เหมือนจะจมในภวังค์ความคิด ขณะกล่าวกับเฉินซี “หากสหายเต๋าไม่ถือสา ก็ให้ผู้น้อยทั้งสองข้างกายมาฝึกฝนที่นิกายกลยุทธ์กับข้าได้”
“ใช่เลย นิกายกลยุทธ์ของข้าเป็นกองกำลังชั้นหนึ่งในดาราจักรผาขจี มีวิชาล้ำลึกมากมาย ต้องเป็นที่พอใจของผู้อาวุโสได้แน่” คนอื่น ๆ พากันกล่าวสนับสนุนจากด้านข้าง ท่าทางกระตือรือร้นไม่น้อย
เฉินซีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “นี่ดูจะไม่เหมาะสมกระมัง”
หยานฉีซิงหัวเราะร่า “สหายเต๋าพูดอะไรกัน? หากมิใช่เจ้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือเมื่อครู่ เราก็คงประสบเคราะห์กันไปแล้ว ยามนี้แค่ให้ผู้น้อยสองคนเข้าฝึกฝนในนิกาย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ข้าหยานฉีซิงย่อมสามารถตัดสินใจได้”
ในเมื่อพูดออกมาขนาดนี้ เฉินซีย่อมไม่ปฏิเสธ
อันที่จริง การช่วยเหลือคณะของหยานฉีซิงครั้งนี้ เฉินซีย่อมมีเจตนาแอบแฝงอยู่ เพราะเขากังวลว่าจะส่งมู่โถวและไจ่จือเข้าสู่นิกายกลยุทธ์อย่างราบรื่นได้อย่างไร แล้วบังเอิญฝูงหนอนดาวเรืองแสงก็โผล่มา สร้างโอกาสอันดีเลิศพอดิบพอดี
ขณะนี้คำตอบของหยานฉีซิงย่อมเติมเต็มจุดประสงค์ของเฉินซี
เฉินซีเริ่มเดินทางร่วมกับคณะของหยานฉีซิง มุ่งหน้าสู่ที่ตั้งของนิกายกลยุทธ์ ดาวละอองหยกในทันที
…
ระหว่างทาง เฉินซีก็บอกเรื่องนี้แก่มู่โถวและไจ่จือ แนะนำชายหนุ่มทั้งสองกับคณะของหยานฉีซิง
อันที่จริง มู่โถวและไจ่จือก็เคยได้ยินชื่อเสียงของนิกายกลยุทธ์มากันแล้ว เมื่อทราบว่าพวกตนจะได้เข้าร่วมนิกายใหญ่เช่นนี้ ทั้งสองพลันตื่นเต้นยินดีและประทับใจจนไม่รู้จะขอบคุณเฉินซีเช่นไร
ขณะนี้ หากเฉินซีมีสิ่งใดให้พวกเขาช่วยเหลือ พวกเขาคงไม่ลังเลที่จะตอบรับ
ในที่สุดเฉินซีก็ผ่อนหายใจโล่งอกยอมเห็นเหตุทั้งหมดนี้ เขาพาเด็กทั้งสองออกจากป่าเขา และยามนี้เมื่อเห็นทั้งสองได้เติมเต็มความฝัน ได้เข้าบ่มเพาะที่นิกายกลยุทธ์ ในใจจึงรู้สึกตื้นตันไม่น้อย
ทว่าพริบตาต่อมา เฉินซีก็สังเกตเห็นว่ามู่โถวกับไจ่จือดูสงบเสงี่ยมยิ่งในหมู่ผู้เยาว์คนอื่น ๆ จากนิกายกลยุทธ์ ทั้งสองไม่กล้าปริปาก ขณะที่คนอื่น ๆ เสวนากันอย่างสนุกสนาน
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีตระหนักหนึ่งปัญหาเฉียบพลัน ท้ายที่สุดที่มาของมู่โถวและไจ่จือก็แร้นแค้นเกินไป ยิ่งกว่านั้น หนุ่มสาวเหล่านี้เป็นผู้บ่มเพาะ ขณะที่มู่โถวและไจ่จือยังไม่บรรลุสู่วิถีการบ่มเพาะเลย จึงมีความต่างชั้นมหาศาลระหว่างพวกเขา
ต่อให้มู่โถวและไจ่จือจะเข้าไปบ่มเพาะในนิกายกลยุทธ์ได้ในภายหน้า แต่จากลักษณะนิสัยซื่อ ๆ ไม่ทันคน จะต้องถูกรังแกเป็นแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินซีก็เรียกหยานฉีซิงมาข้างกาย ส่งกระเป๋าสัมภาระใบหนึ่งให้อีกฝ่ายทันที ก่อนจะกล่าวว่า “สหายเต๋า ผู้น้อยทั้งสองของข้าเป็นคนซื่อตรง ไม่รู้ความเป็นไปในโลกหล้า โปรดดูแลพวกเขาให้ดีขณะเข้าไปฝึกฝนในนิกายของเจ้าด้วย อย่าให้พวกเขาเดินทางผิด”
หยานฉีซิงปฏิเสธซ้ำ ๆ แต่ก็ไม่อาจขัดเฉินซีได้อยู่ดี จึงรับมันไว้
เฉินซีเห็นเช่นนี้ก็แย้มยิ้ม ก่อนจะหันกายเดินไปยังเหล่าศิษย์จากนิกายกลยุทธ์
หยานฉีซิงลอบชำเลืองเข้าไปในกระเป๋าสัมภาระ และพบว่าในนั้นมีผลึกศักดิ์สิทธิ์ถึงสามพันชิ้น สมบัติวิญญาณประดิษฐ์อีกห้าชิ้น ทำให้หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำระรัวทันที อู้ฟู่เสียจริง!
ขณะเดียวกัน เขาก็เห็นเฉินซีส่งกระเป๋าสัมภาระใบแล้วใบเล่าให้เหล่าหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ตาม ๆ กัน และในกระเป๋าสัมภาระเหล่านั้น แต่ละใบมีผลึกศักดิ์สิทธิ์สามร้อยชิ้น! ยิ่งกว่านั้น เหตุผลที่เฉินซีมอบพวกมันให้ก็เพราะอยากให้ดูแลมู่โถวกับไจ่จือดี ๆ เพราะหากเด็กทั้งสองถูกรังแกในนิกาย จะได้มีผู้ช่วยเหลือมู่โถวและไจ่จือ
เพราะถึงอย่างไร หยานฉีซิงก็เป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณคนหนึ่ง ไม่มีทางคอยดูแลมู่โถวและไจ่จือได้ตลอด ขณะที่หนุ่มสาวเหล่านี้แตกต่างออกไป ในฐานะศิษย์ซึ่งเข้าร่วมนิกายมานานกว่า หากมีใครคิดรังแกมู่โถวและไจ่จือในการดูแลของคนเหล่านี้ก็ต้องคิดหนัก
หลังกระทำเรื่องทั้งหมด เฉินซีก็เรียกมู่โถวกับไจ่จือมาหาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะฝากฝังสั่งการ บอกว่าหากพบเรื่องร้ายแรงใด ๆ ก็ควรไปพบหยานฉีซิง แต่หากเป็นเรื่องเล็กทั่วไป ให้ไปหาหนุ่มสาวเหล่านั้น แน่นอนเรื่องสำคัญที่สุดคือ พวกเขาต้องตั้งใจบ่มเพาะอย่าได้เกียจคร้าน จึงจะสร้างจุดยืนอันมั่นคงเป็นของตนในนิกายกลยุทธ์ได้
มู่โถวและไจ่จือสังเกตเห็นเรื่องทั้งหมด และถือเฉินซีเป็นญาติผู้ใหญ่ของตนเองมานานแล้ว ชายหนุ่มทั้งสองจึงสุดแสนตื้นตัน ตั้งใจคุกเข่าโขกหัวให้เฉินซีกันทันที แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหยุดไว้
“การตั้งใจพากเพียรเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับข้า อย่าลืมปณิธานของเจ้า ที่ว่าหลังจากประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะ ก็จะกลับหมู่บ้านไปช่วยญาติมิตร” เฉินซีกล่าวยิ้ม ๆ กับมู่โถวและไจ่จือ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองตนเองและเฉินฮ่าวสมัยยังเยาว์ หัวใจเปี่ยมความรู้สึกมากมายปนเป
“อื้อ เราจะทำเช่นนั้นแน่!” ชายหนุ่มทั้งสองพยักหน้าแรง ๆ
ในการเดินทางต่อจากนั้น เฉินซีสังเกตเห็นชัดเจนว่าทัศนคติของหนุ่มสาวคนอื่น ๆ ต่อมู่โถวและไจ่จือเป็นมิตรกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด จึงอดคลี่ยิ้มไม่ได้
ทรัพย์สมบัติอาจไม่ได้ทรงพลังครอบจักรวาล แต่บางครั้งมันก็มีความสามารถอัศจรรย์ในการพัฒนาความสัมพันธ์ เหมือนเช่นสิ่งที่เกิดในขณะนี้
“สหายเต๋า นี่คือแผนที่ดวงดาว” ขณะเดียวกัน หยานฉีซิงส่งแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้เฉินซี
“ขอบคุณสหายเต๋า” เฉินซีกุมกำปั้น ระหว่างทางก่อนหน้านี้ เขาเคยพูดว่าตั้งใจจะมุ่งหน้าสู่ดาวทุคตินีลโลหิต ที่ตั้งของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตเพื่อหาคนผู้หนึ่ง แต่ไม่รู้จะไปที่นั่นได้อย่างไร หยานฉีซิงจึงคัดลอกแผนที่ดวงดาวที่ตนมีให้ทันที
หยานฉีซิงหัวเราะร่า “สหายเต๋าเกรงใจไปแล้ว”
“อาจารย์อา เรามาถึงดาวละอองหยกแล้ว!” ทันใดนั้น ศิษย์ผู้น้อยคนหนึ่งของนิกายกลยุทธ์ก็ตะโกนมาจากข้าง ๆ
คนอื่น ๆ ที่ได้ยินเช่นนี้ต่างก็ตื่นเต้น
เฉินซีเบนสายตามองตาม และเห็นดวงดาวสีหยกปรากฏขึ้นแสนไกลในจักรวาลพร่างดาว ดูเหมือนหยกบริสุทธิ์อันเรืองรองด้วยพลังชีวิต
“มู่โถว ไจ่จือ เราจะแยกทางกันตรงนี้นะ” เฉินซีหันไปมองเด็กหนุ่มทั้งสองข้างกายตน
“ผู้อาวุโส…” ทั้งสองอิดออดใจเล็กน้อย
“บ่มเพาะอย่างสบายใจเถิด ภายหน้าเราจะได้หวนพานพบ” เฉินซียิ้มบาง
เช้ง!
ทันใดนั้น เขาก็ชักกระบี่จากฝัก เหวี่ยงมันเบา ๆ ไปทางจักรวาลพร่างดาวอันห่างไกล
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เดิมทีดาวร้างร้อยกว่าดวงล่องลอยกลางอวกาศบริเวณนั้น ทว่าในตอนนี้พวกมันทั้งหมดล้วนถูกหนึ่งปราณกระบี่ผ่าเป็นสองเสี่ยง ก่อนจะพังทลายเป็นผุยผง สลายไปในพลัน
ทุกผู้เห็นเช่นนี้ต่างขวัญผวา ตกตะลึงกับพลังกระบี่ของเฉินซี ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังงุนงงด้วยว่าเขาทำเช่นนั้นเพื่อการใด
มีเพียงหยานฉีซิงที่เปลือกตากระตุก ตระหนักชัดเจนว่าเฉินซีทำเช่นนี้เพื่อเตือนพวกเขา ชายหนุ่มทั้งสองที่ติดตามพวกเขามาต้องไม่เกิดเหตุเลวร้ายใด ๆ หาไม่ ต้องสนองกระบี่ใบมือเขาแน่!
นี่เรียกว่าใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง และหยานฉีซิงก็ประจักษ์เข้าใจ
“ทุกท่าน ข้าขอตัวลา ไว้พบกันใหม่” เฉินซีกุมกำปั้น แล้วร่างสูงใหญ่ก็วูบไหวหายลับไป
ศิษย์คนอื่น ๆ ต่างเห็นด้วยอย่างลึกซึ้ง
“อาจารย์อา ท่านคิดว่าผู้อาวุโสท่านนั้นคือมหาเทวาวิญญาณคนใหม่หรือไม่เจ้าคะ?” ทันใดนั้น ศิษย์หญิงคนหนึ่งก็ถามขึ้นมาอย่างเหม่อลอย
หัวใจของหยานฉีซิงสั่นสะท้าน แต่ภายนอกเขาทำเพียงโบกมือกล่าว “ไม่ต้องเดาตัวตนของเขาหรอก เรากลับสำนักกันดีกว่า”
ขณะเดียวกัน เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องดูแลมู่โถวและไจ่จือให้ดี เพราะในภายหน้า เขาอาจสามารถสร้างสัมพันธ์กับตัวตนผู้มีศักยภาพของมหาเทวาวิญญาณผ่านเด็กหนุ่มทั้งสองได้
แน่นอน เงื่อนไขแรกก็คือ เด็กหนุ่มคนนั้นต้องเป็นมหาเทวาวิญญาณคนใหม่
เป็นไปได้หรือ?
หยานฉีซิงรู้สึกชอบกลว่าเป็นไปได้สุด ๆ เลย!