บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1597 เมืองจรดบูรพา
บทที่ 1597 เมืองจรดบูรพา
ฟ่าว!
หนึ่งร่างวูบไหวต่อเนื่อง เคลื่อนย้ายผ่านจักรวาลระยับดาว
ดาวทุคตินีลโลหิต ที่ตั้งของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต… เฉินซีครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบถึงทุกข้อมูลเกี่ยวกับนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตที่ตนทราบ
ชั่วครู่ต่อมา เขาก็อดยิ้มขำไม่ได้ หนนี้ ข้ามุ่งหน้าสู่นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตเพื่อทำธุระที่ถูกฝากฝังมา ไม่ได้จะไปออกศึก เหตุใดต้องคิดมากด้วย?
แต่พริบตาต่อมา คิ้วของเฉินซีก็ขมวดแน่น แล้วหลังทำธุระที่เถี่ยคุนฝากฝังเสร็จสิ้น ข้าจะไปที่ใดดี?
ก่อนเฉินซีมายังแดนเทพโบราณ เฉินซีมีจุดประสงค์อันกระจ่างยิ่งอยู่ในใจ คือการหาพ่อแม่ของตนให้พบ ก่อนจะรวมตัวกับศิษย์พี่ชายหญิงจากนิกายตน
นอกจากนั้น ตอนที่เฉินหลิงจวินและจั่วชิวเสวี่ยจากไป พวกเขายังเคยบอกเฉินซีว่า ขอเพียงดูแลชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากให้ดี เขาก็จะอาศัยเบาะแสจากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากมาพบพวกตนได้ที่แดนเทพโบราณ
ทว่าเฉินซีกลับรู้สึกจนใจ เพราะนอกจากอักษรโบราณเก้าตัวอันคลุมเครือ เขาก็ไม่สามารถทำความเข้าใจเบาะแสใด ๆ ได้จากชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากเลย
อักษรโบราณเก้าตัว? เฉินซีพลันบังเกิดความคิด เบาะแสคงไม่ได้ซ่อนในหมู่พวกมันหรอกกระมัง?
ยามเขาผนวกชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่เจ็ดและแปด หนึ่งแผนภาพลึกลับปรากฏขึ้นจากพื้นผิวชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลาก อักษรลึกลับเรืองประกายวูบไหวเบื้องบน เฉินซีพยายามเต็มที่ ทว่าสุดท้ายก็พออ่านเก้าอักษรโบราณออก ซึ่งก็คือ ‘荒’ ‘墟’ ‘神’ ‘古’ ‘帝’ ‘域’ ‘纪’ ‘主’ ‘极’ ตามลำดับ
เฉินซีพยายามคะเนความหมายของอักษรเหล่านี้ แต่ไม่ว่าจะเรียงเช่นไร เก้าอักษรนี้ก็ดูไม่เหมือนประโยคใดเลย ดังนั้นยามกาลเวลาผ่านไป เขาจึงลืมเรื่องนี้เสียสนิท
เมื่อย้อนนึกได้ เขาก็พบเงื่อนงำอำพราง บางทีอักษรโบราณทั้งเก้าอาจสื่อถึงชื่อสถานที่บางแห่งในแดนเทพโบราณ!
แต่อึดใจต่อมา เขาก็ส่ายหน้า เนื่องจากมีเบาะแสน้อยเกินไป จึงไม่อาจทำความเข้าใจมากกว่านี้ได้เลย
แดนเทพโบราณมีเอกภพเกินพันแห่ง และเอกภพมสิหิมก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น บางทีข้าอาจต้องไปสืบ ณ สถานที่อันรุ่งเรืองพลุกพล่านที่สุดในแดนเทพโบราณ ต่อให้ไม่อาจหาเบาะแสใด แต่ระหว่างนั้น ข้าก็น่าจะไถ่ถามที่อยู่ของศิษย์พี่ชายหญิงของข้าได้… เฉินซีครุ่นคิดลึกล้ำ เท่าที่เขาสนใจ หากหาศิษย์พี่ชายหญิงของพบ พวกเขาก็อาจจะพอชี้แนะได้บ้าง
ในเมื่อนิกายอำนาจเทวะโด่งดังในแดนเทพโบราณอยู่แล้ว เช่นนั้น ข้าก็คิดว่าเขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวาคงไม่น้อยหน้ากว่ากัน ขอเพียงข้ามีข้อมูลเพียงพอ ก็อาจได้พบศิษย์พี่ชายหญิงจริง ๆ ความคิดของเฉินซียิ่งใสกระจ่างขึ้นยามไตร่ตรองเรื่องทั้งหมดนี้ ถูกต้อง แดนเทพโบราณสุดแสนกว้างใหญ่ หากพึ่งเพียงตนเองค้นหาก็มีประสิทธิภาพจำกัด แต่หากได้ความช่วยเหลือจากเขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวา เช่นนั้นข้าก็แน่ใจในความสำเร็จได้มากขึ้น….
เฉินซีตัดสินใจทันที ว่าเมื่อเขาบรรลุภารกิจที่เถี่ยคุนฝากฝังเมื่อใด เขาจะเริ่มหาเบาะแสของเขาเทพพยากรณ์และตำหนักเต๋าหนี่หวา เพราะหากทำเช่นนี้ ก็จะสามารถเลี่ยงอันตรายมหาศาลจากนิกายอำนาจเทวะได้
เพราะถึงอย่างไร เฉินซีก็ยังไม่ลืมคำพูดของเยี่ยเหยียนที่ทิ้งไว้ก่อนหนีไปในครานั้น
แดนเทพโบราณมีทวยเทพมากมาย ยิ่งเอกภพเรืองโรจน์ จำนวนยอดฝีมือที่ประจำอยู่ยิ่งมหาศาล ด้วยการบ่มเพาะปัจจุบันของข้า แม้จะสามารถติดอันดับเก้าสิบเก้าในเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณ ข้าก็ยังต่ำชั้นกว่าขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลอยู่หนึ่งขอบเขต… หลังยืนยันจุดประสงค์ของตนได้ เฉินซีก็เริ่มพินิจตนเอง เมื่อมีจุดหมาย ย่อมต้องมีความสามารถกระทำให้สัมฤทธิ์ และความแข็งแกร่งของเขาก็เป็นข้อกำหนดเริ่มแรกในการตัดสินทุกสิ่ง
ในด้านเต๋าแห่งกระบี่ ข้าเหยียบย่างขึ้นสู่ขอบเขตจักรพรรดิกระบี่แล้ว หากคิดพัฒนาต่อไป ก็ได้แต่ต้องค่อย ๆ สั่งสมขัดเกลา คงไม่อาจบรรลุสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น
ในด้านการบ่มเพาะ ข้าก็เพิ่งบรรลุขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ นี่เป็นขอบเขตบ่มเพาะใหม่เอี่ยม จึงน่าจะต้องใช้เวลาและความพยายามมหาศาลกว่าจะขัดเกลาได้สมบูรณ์
ในด้านเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของข้า เหยียบย่างสู่ขั้นต้นแล้ว ยังคงห่างไกลขั้นสูงอยู่ไม่น้อย นอกจากนั้น การบ่มเพาะเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยังสั่งสมตามกาลเวลาไม่ได้เลย ขึ้นกับความเข้าใจและโอกาสทั้งสิ้น มันไม่แน่นอนเกินไป เช่นนั้น ข้าก็ไม่อาจทุ่มความพยายามกับมัน ณ ขณะนี้เช่นกัน
…
เฉินซีค่อย ๆ วิเคราะห์ตนเอง ด้วยท่าทีเยือกเย็น หากเทวารู้แจ้งวิญญาณคนอื่นมาอยู่ที่นี่ และทราบว่าความแข็งแกร่งทั้งหมดของเฉินซีเป็นเช่นไร เทวารู้แจ้งวิญญาณคนนั้นคงอิจฉาจนคลั่งตายเป็นแน่
เหตุผลมิใช่ใดอื่น นอกจากเขาโดดเด่นเกินไป!
ในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ ด้วยความแข็งแกร่งที่เฉินซีมีในยามนี้ เขาก็ถือเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานได้แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาเพิ่งบรรลุถึงขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ แต่กลับติดอันดับเก้าสิบเก้าบนเทียบอันดับรู้แจ้งวิญญาณแล้ว หากข่าวนี้ถูกแพร่งพราย ทั่วแดนเทพโบราณคงสั่นสะท้านแน่แท้
ทว่าเห็นได้ชัดว่าเฉินซีไม่ได้พอใจกับเรื่องทั้งหมดนี้เลย
บางทีอาจเป็นเพราะความคาดหวังต่อตนเองเข้มงวดเกินไป จนความสำเร็จทุกสิ่งที่เขามีในปัจจุบันหามีเรื่องของโชคมาเกี่ยวข้องไม่
หลังครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท้ายที่สุด เฉินซีก็มุ่งสายตามาเพ่งเล็งการขัดเกลาของยันต์ศัสตรา และพัฒนาวิธีการต่อสู้ของตน
อำนาจปัจจุบันของยันต์ศัสตราพอเรียกได้ว่าสูงกว่าสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ทั่วไปนิดหน่อย และในขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกา มันเพียงพอให้เฉินซีได้เปรียบอย่างเด่นชัดในการต่อสู้ ทว่าหลังจากที่เขาพัฒนามาสู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ อำนาจของยันต์ศัสตราก็เผยเค้าไม่อาจตามความแข็งแกร่งของเฉินซีทันอย่างเบาบาง
ขณะนี้ เฉินซีตระหนักชัดเจนแล้วว่าคุณภาพของสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ก็ถูกจำแนกอย่างรัดกุมยิ่ง โดยคร่าว ๆ แล้ว พวกมันถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับสามขั้น
สรุปโดยรวมได้ว่าสมบัติวิญญาณประดิษฐ์ระดับหนึ่ง สอง และสามเรียกรวมกันเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น สมบัติวิญญาณประดิษฐ์ระดับสี่ ห้า และหกเรียกรวมกันเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลาง ขณะที่สมบัติวิญญาณประดิษฐ์ระดับเจ็ด แปด และเก้าเรียกรวมกันเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูง
ในหมู่พวกมัน พลังของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงระดับเก้าย่อมแข็งแกร่งที่สุด
ยกตัวอย่าง ยันต์ศัสตราของเฉินซีแข็งแกร่งกว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นระดับสามเพียงนิดหน่อย แต่ยังอ่อนแอกว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางระดับสี่
ควรค่ากล่าวถึงว่า ยามสมบัติศักดิ์สิทธิ์ระดับแตกต่างกันถูกใช้ในมือทวยเทพต่างขอบเขตการบ่มเพาะ ก็เผยอำนาจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
เช่นขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาสามารถดึงอำนาจสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นได้เต็มที่ แต่หากให้พวกเขาใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลาง แม้จะสำแดงพลังร้ายกาจ แต่ก็แสนยากที่จะดึงอำนาจออกมาได้อย่างเต็มที่
แน่นอน นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ หากเทวารู้แจ้งโลกาใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางสักชิ้น ต่อให้จะดึงอำนาจของมันออกมาได้เพียงเจ็ดหรือแปดส่วน ก็เพียงพอให้เทวารู้แจ้งโลกาผู้นั้นบดขยี้เทวารู้แจ้งโลกาคนอื่น ๆ ที่ใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นได้แล้ว
ทว่าทั้งหมดนี้กล่าวถึงเพียงในด้านของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ ยังมีด้านอื่น ๆ อีกมากมายที่ต้องพิจารณาในศึกโดยแท้จริง เช่นการบ่มเพาะ ประสบการณ์การต่อสู้ การบ่มเพาะเต๋าศักดิ์สิทธิ์… ทุกด้านล้วนมีผลกระทบต่ออำนาจต่อสู้ทั้งสิ้น
เฉินซีในขณะนี้ตั้งใจขัดเกลายันต์ศัสตราขึ้นหนึ่งขั้น และเช่นนั้น อำนาจของยันต์ศัสตราก็จะตามสมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางระดับหกทัน หรืออาจก้าวข้ามด้วยซ้ำไป เพราะถึงอย่างไร นี่ก็คือยันต์ศัสตรา มันย่อมมีจุดแข็งและเอกลักษณ์ของมันเอง
ส่วนสมบัติวิญญาณธรรมชาตินั้นไม่มีการจัดระดับ แยกแยะกันจากอำนาจเพียงเท่านั้น
โชคยังดี เฉินซีมีสมบัติวิญญาณธรรมชาติอันร้ายกาจยิ่งสองชิ้น ทำให้เขารอดพ้นจากสถานการณ์ตั้งรับฝ่ายเดียวเพราะสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของตนอ่อนแอเกินไปได้
นอกจากขัดเกลาของยันต์ศัสตรา เฉินซีให้ความสำคัญสูงสุดกับปัญหาการเปลี่ยนวิธีต่อสู้ของตน
การเปลี่ยนวิธีต่อสู้ไม่ได้หมายความว่าเขาคิดจะทิ้งเต๋าแห่งกระบี่ เต๋าแห่งยันต์อักขระ และสารพัดวิชาที่ใช้ในศึกก่อนหน้านี้ แต่กลับกัน มันคือการเปลี่ยนวิธีใช้พลังศักดิ์สิทธิ์และเต๋าศักดิ์สิทธิ์ขณะใช้เต๋าแห่งกระบี่และเต๋าแห่งยันต์อักขระต่างหาก!
ทั้งหมดนี้ขึ้นกับการใช้งานยันต์เทวะอนันต์
ปัจจุบัน ยันต์เทวะอันลึกลับและโอฬารนี้อยู่ ณ ใจกลางจักรวาลในตัวเฉินซี กลายเป็นแก่นยามบ่มเพาะ ควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์ และใช้กฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเขา
แต่จนบัดนี้ การใช้ยันต์เทวะอนันต์ก็ยังทำได้เพียงผิวเผิน แม้อำนาจที่ดึงออกมาได้จะร้ายกาจ แต่ก็ยังห่างไกลเกินดึงอำนาจจริง
จากการประมาณการของเฉินซี หากเขาสามารถทำให้ยันต์เทวะอนันต์ใช้พลังกฎเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งลม สายฟ้า มิติและเวลาได้ขณะที่เขาเคลื่อนย้ายมิติ ก็จะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของการเคลื่อนย้ายมิติให้ได้อย่างสุดขั้ว
เช่นยามที่เขาใช้เต๋าแห่งกระบี่ออกท่าโจมตีอันดุร้ายที่สุด ทลายเบญจธาตุ เขาก็สามารถให้ยันต์เทวะอนันต์ก่อเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งทอง แล้วอำนาจที่สำแดง อย่างน้อยก็จะแข็งแกร่งกว่าอดีตหนึ่งส่วนได้!
แม้จะเป็นเพียงหนึ่งส่วน แต่มันมักตัดสินชะตายามสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างสูสี
สรุปคือ จากความต้องการอันหลากหลายในศึก และจากกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่มี ชายหนุ่มสามารถใช้ยันต์เทวะอนันต์เป็นตัวเชื่อมโยงพวกมันเข้าหากันได้ และจะยิ่งเผยอำนาจแข็งแกร่งกว่าเดิม!
เหตุที่เฉินซีอยากทำการทดสอบเช่นนี้ก็เพราะว่า เขาบรรลุเงื่อนไขขั้นต้น มีกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์อันแตกต่างกันอยู่สิบข้อ กระทั่งมียันต์เทวะอนันต์และเต๋าแห่งยันต์อักขระที่ใช้ควบคุมพวกมัน เขาจึงสามารถใช้กฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้ตามต้องการ
ขณะเดียวกัน ทวยเทพคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วบรรลุกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น ต่อให้พวกเขาบรรลุกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์มากกว่านั้นได้ ก็ไม่มียันต์เทวะอนันต์ไว้สั่งการกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ดังนั้น พวกเขาจึงแตกต่างจากเฉินซี ไม่มีทางเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ได้ตามใจชอบเลย
…
ขณะเหินผ่านจักรวาลพร่างดาวตลอดทาง เฉินซีได้พยายามอนุมานเรื่องเกี่ยวกับการขัดเกลายันต์ศัสตราและการเปลี่ยนวิธีต่อสู้เสมอมา จึงไม่ได้สังเกตการเปลี่ยนผ่านแห่งกาล
หกชั่วยามให้หลัง หนึ่งดวงดาวที่แผ่ปราณสีม่วงปรากฏขึ้นไกล ๆ ทำให้เฉินซีฟื้นจากภวังค์ความคิดอันลึกล้ำทันที
ดาวทุคตินีลโลหิต!
เฉินซีเทียบกับแผนที่ดวงดาว ท้ายที่สุดก็ยืนยันได้ว่านี่คือดาวที่ตั้งของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตจริง ๆ
ไร้ความลังเลใด ๆ ร่างของเฉินซีวูบไหว แปรเปลี่ยนลักษณ์เป็นชายหนุ่มหน้าตาดาษดื่นผู้หนึ่ง ก่อนจะเข้าสู่ดาวทุคตินีลโลหิตอย่างรวดเร็ว
ดาวทุคตินีลโลหิตกว้างขวางอย่างยิ่ง ดูเหมือนโลกกว้างใบหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็ใหญ่กว่าแดนภวังค์ทมิฬในสามภพมากนัก บนดาวทุคตินีลโลหิตมีบ้านเมืองหนาแน่นเช่นไม้ในป่า ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมหนาแน่น และยังมีทวยเทพให้เห็นทั่วไปหมด ดูจะรุ่งเรืองพลุกพล่านยิ่งนัก
หนึ่งก้านธูปถัดมา
เมืองจรดบูรพา
เฉินซีมือไพล่หลัง พลางเดินช้า ๆ บนถนนในเมืองอันพลุกพล่าน สายตาของเขากวาดมองไปไกล และสังเกตหนึ่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันตั้งตระหง่านสู่ชั้นเมฆา ปกคลุมด้วยรัศมีสีม่วงเรืองรองอยู่แสนไกลได้ชัดเจน
ภูเขาลูกนั้นมีชื่อว่าทุคตินีลโลหิต
เห็นได้ชัดว่ามันคือที่ตั้งนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต
ผ่านมาหลายปี ไม่รู้ว่าขณะนี้ เถี่ยอวิ๋นผิงจะยังอยู่ในนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตหรือไม่… เฉินซีเหมือนจมในภวังค์
…………….