บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1598 ผู้ที่เหยียดหยามผู้อื่นจะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน
- Home
- บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
- บทที่ 1598 ผู้ที่เหยียดหยามผู้อื่นจะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน
บทที่ 1598 ผู้ที่เหยียดหยามผู้อื่นจะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน
…………….
บทที่ 1598 ผู้ที่เหยียดหยามผู้อื่นจะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน
เมืองจรดบูรพาได้ชื่อมาจากคำกล่าวที่ว่าปราณม่วงมาจากทางทิศตะวันออก
เมืองนี้ตั้งอยู่ใกล้กับฐานที่มั่นของกองกำลังอันดับหนึ่งในดาราจักรศิลาหยก ซึ่งคือนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต ทั้งยังเต็มไปด้วยความคึกคัก เจริญรุ่งเรือง วิจิตรงดงาม และน่าตื่นตาตื่นใจ
ทุก ๆ ปี ผู้บ่มเพาะจากดวงดาวต่าง ๆ ในดาราจักรศิลาหยก จะนำผู้เยาว์ในเผ่าของพวกเขามาที่นี่ ด้วยความหวังว่าจะได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต และดูเหมือนมันได้กลายเป็นสรวงสวรรค์แห่งการบ่มเพาะในหัวใจของผู้บ่มเพาะในดาราจักรศิลาหยกทุกผู้คน
เฉินซีย่ำเดินอยู่ในเมืองเพียงลำพัง และตระหนักชัดเจนว่าอำนาจและอิทธิพลของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตนั้นยิ่งใหญ่เพียงใดในดาราจักรศิลาหยก ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด หัวข้อสนทนาทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตทั้งสิ้น
นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตสามารถกล่าวได้ว่ามีค่าควรแก่ชื่อเสียง เนื่องจากมันสามารถเป็นเจ้าเหนือจักรวาลได้ เฉินซีทอดถอนใจยาวแรง
แต่ในเวลาต่อมา เขาก็ระงับความคิดและเริ่มค้นหาเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับเถี่ยอวิ๋นผิง
…
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในที่สุดเฉินซีก็ ‘พบ’ ศิษย์ของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต หลังจากสอบถามอยู่เนิ่นนาน แม้เขาจะดูเหมือนเพิ่ง ‘พบ’ ศิษย์คนนี้ แต่จริง ๆ แล้วเฉินซีได้ค้นหาด้วยประสาทสัมผัสอยู่ตลอดเวลา และเฉินซีก็ยืนยันตัวตนของบุคคลนี้ผ่านเนื้อหาของการสนทนาที่ได้ยิน
เป็นชายหนุ่มผิวคล้ำท่าทางมั่นคง และนั่งอยู่ริมหน้าต่าง พลางรินสุราองุ่นใส่จอกแล้วกระดกดื่ม
“สหายเต๋า ข้าขอถามอะไรเจ้าหน่อยได้หรือไม่?” เฉินซีเดินไปข้างหน้า และนั่งตรงหน้าชายหนุ่มพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ในขณะที่กล่าวก็แผ่พุ่งกลิ่นอายออกมาเล็กน้อย แน่นอนว่าชายหนุ่มเริ่มขมวดคิ้ว แต่เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของกลิ่นอายนี้ คิ้วเข้มก็เลิกขึ้นทันที สีหน้าก็ไม่มีความอดทนอีกต่อไป
“ผู้อาวุโส ท่านต้องการสิ่งใด?” ชายหนุ่มกล่าวอย่างใจเย็น นี่คือเขตแดนของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต และแม้ว่าการบ่มเพาะของบุคคลนี้จะน่าเกรงขาม แต่เขาก็หาได้หวาดกลัวไม่ เพราะนี่คือความมั่นใจที่ศิษย์ทุกคนของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตมี
“ข้าแค่อยากสอบถามถึงใครบางคน” ขณะที่กล่าว เฉินซีก็บอกชื่อของเถี่ยอวิ๋นผิงให้อีกฝ่ายฟัง
“เถี่ยอวิ๋นผิง?” ชายคนนั้นขมวดคิ้วด้วยสีหน้างุนงง และครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ตอนที่เฉินซีจวนจะผิดหวัง ชายคนนั้นก็กล่าวขึ้นทันที “ข้าจำได้แล้ว ดูเหมือนว่านางจะเป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้าร่วมฝ่ายนอกเมื่อไม่นานมานี้ และพรสวรรค์โดยกำเนิดก็ธรรมดามาก นางบ่มเพาะมาหลายร้อยปี แต่แทบจะไม่ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาเลย”
เฉินซีดูครุ่นคิด จากคำอธิบายของชายหนุ่มคนนี้ ก็ยืนยันได้ทันทีว่า นี่คือคนที่เขากำลังมองหาอย่างแน่นอน เพราะเถี่ยคุนเคยบอกเฉินซีว่า พรสวรรค์โดยกำเนิดของหลานสาวเขาไม่ดีนัก
“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอถามสหายเต๋า ไม่ทราบตอนนี้นางอยู่ที่ใด?” ขณะที่กล่าว เฉินซีก็ดันถุงเก็บของไปให้อีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ
อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นกลับเผยท่าทางระวังตัวแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโส นี่หมายความว่าอันใด?”
“อย่าเข้าใจผิด สหายเต๋า ข้าเป็นสหายกับปู่ของเถี่ยอวิ๋นผิง ข้าเพิ่งกลับมาและผ่านสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นข้าจึงตั้งใจจะไปเยี่ยมนางในนามท่านปู่ของนาง” เฉินซียิ้มพลางอธิบาย
ตอนนี้ชายคนนั้นคลายความระวังลงเล็กน้อย และจ้องมองไปที่ถุงเก็บของอย่างเหม่อลอย เมื่อเขาเห็นจำนวนผลึกศักดิ์สิทธิ์ภายในนั้นอย่างชัดเจน ร่องรอยของความยินดีก็แผ่กระจายไปทั่วหว่างคิ้ว จากนั้นจึงกระแอมและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ท่านก็เป็นผู้อาวุโสของศิษย์น้องเถี่ย ไม่ต้องกังวล ข้าจะสอบถามที่อยู่ของศิษย์น้องเถี่ยให้แน่นอน”
ขณะที่กล่าว คนผู้นั้นก็หยิบตราคำสั่งสีม่วงออกมา จากนั้นจึงส่งกระแสจิตเข้าไปข้างใน ไม่นานนักตราคำสั่งก็สั่นสะท้าน จากนั้นก็กวาดตามอง แล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโส ท่านมาถูกเวลาแล้ว ปัจจุบันศิษย์น้องเถี่ยอยู่ในเมือง ตามข้ามา ข้าจะพาท่านไปหานางเอง”
เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณ”
…
ณ ศาลาธารม่วง
นี่คือฐานที่มั่นของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต ภายในเมืองจรดบูรพา
เมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่ภายใต้การนำของศิษย์ของนิกาย ยังไม่ทันได้ก้าวผ่านประตูหน้า เขาก็ได้ยินเสียงโต้แย้งดังมาจากภายใน
“ศิษย์น้องเถี่ย ข้าไว้หน้าเจ้ามามากพอแล้ว หากเจ้าอยากเข้าร่วมในการชุมนุมล่าดารา เจ้าก็ต้องแสร้งเป็น ‘ทาสเทพ’ ของศิษย์น้องลู่เท่านั้น แน่นอน เจ้าแค่สวมบทบาท และไม่ใช่ทาสเทพจริง ๆ เสียหน่อย แต่หากเจ้าไม่เต็มใจ เช่นนั้นก็โปรดออกไปด้วย” ชายในเสื้อคลุมสีเงินกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสอยู่ในห้องโถงชั้นหนึ่ง
ตรงหน้าเขามีสตรีสองคนยืนอยู่ คนหนึ่งสวมเสื้อผ้าสีดำล้วน เอวเพรียวบาง ดูน่ารักและมีเสน่ห์ ทั้งยังค่อนข้างงดงาม คางเชิดสูง ในขณะที่ท่าทางที่เย่อหยิ่งแผ่ขยายไปทั่วหว่างคิ้ว เหมือนนกยูงที่ภาคภูมิใจ
สตรีอีกคนสวมชุดเรียบง่าย มวยผมอย่างเรียบร้อย มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม และท่าทางที่อ่อนโยนแฝงแววดื้อรั้น
“หญิงสาวในชุดเรียบง่ายนั้นคือศิษย์น้องเถี่ย” ชายที่ยืนอยู่ข้างเฉินซีพูดพลางพยักพเยิดไปทางกลุ่มคนด้านใน และทำท่าจะก้าวเข้าไปในศาลา แต่เฉินซีกลับหยุดเขาไว้
“สหายเต๋า โปรดรอสักครู่ อีกสองคนคือใครหรือ?” เฉินซีถามอย่างสงสัย
“โอ้ นั่นคือศิษย์พี่เสี่ยวเทียนหลง อัจฉริยะที่โดดเด่นจากศิษย์ฝ่ายใน และครอบครองการบ่มเพาะที่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ เขามีชื่อเสียงเลื่องลือ และได้รับการยกย่องจากผู้อาวุโสของนิกาย ส่วนอีกคนคือศิษย์น้องลู่เยี่ยน นางเป็นศิษย์ฝ่ายนอกเหมือนกับศิษย์น้องเถี่ยอวิ๋นผิง และเพิ่งเข้าร่วมกับฝ่ายนอกได้ไม่นาน แต่พรสวรรค์และร่างกายโดยกำเนิดมีความโดดเด่นอย่างยิ่ง”
ชายคนนั้นกล่าวอย่างมั่นใจ แววตาที่จดจ้องลู่เยี่ยนนั่นแฝงด้วยความเสน่หาเสี้ยวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าลู่เยี่ยนค่อนข้างโดดเด่นในหมู่ศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต และได้รับความชื่นชมอย่างลึกซึ้งจากบรรดาศิษย์ชาย
ในขณะเดียวกัน เถี่ยอวิ๋นผิงก็ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สีหน้าลังเลอย่างมาก “ศิษย์พี่เสี่ยว ถ้า… ถ้าข้าตกลงที่จะแสร้งเป็นทาสเทพของศิษย์พี่ลู่ แล้วเมื่อการชุมนุมล่าดาราสิ้นสุดลง ข้าจะสามารถ…”
ก่อนที่จะกล่าวจบ นางก็ถูกลู่เยี่ยนขัดจังหวะ “หยุดฝันกลางวัน รางวัลทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าเลย” น้ำเสียงของนางเย็นชา ไม่แยแส และเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
“ทำไม?” เถี่ยอวิ๋นผิงไม่สามารถเข้าใจสิ่งนี้ได้
“เจ้าถามข้าทำไมหรือ?” ลู่เยี่ยนเชิดคางขึ้นสูงและมองไปที่เถี่ยอวิ๋นผิง พลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องเถี่ย ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์ของดาราจักรทั้งสามพันแห่งภายในเอกภพมสิหิมจะมารวมตัวกันในระหว่างการชุมนุมล่าดารา และข้าก็เมตตาพอที่จะพาเจ้าไปที่นั่นเพื่อเป็นสักขีพยาน แต่เจ้ากลับยังโลภในสิ่งที่เจ้าไม่ควรครอบครอง เจ้าไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยหรือ?”
นางหยุดครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจเบา ๆ “ศิษย์น้องเถี่ย คนเราต้องพอใจในสิ่งที่ตนมี เพราะการได้คืบจะเอาศอกนั้นเป็นสิ่งไม่ควรพึงกระทำ”
เถี่ยอวิ๋นผิงโกรธจนหน้าแดงก่ำ “ศิษย์พี่ลู่ ท่านอาจารย์หวังถังได้เตรียมการสำหรับโอกาสนี้ และมันไม่เกี่ยวข้องกับท่านเลย!”
ลู่เยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น กล่าวอย่างเย็นชา “เอาละ ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนั้น งั้นอย่าได้มากับพวกเราเลย อันที่จริงแค่ข้าพูดเพียงคำเดียว ผู้คนมากมายก็เต็มใจจะไปกับข้าเพื่อคว้าโอกาสดังกล่าวแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสาวน้อยโง่เขลาที่มีความสามารถดาษดื่นอย่างเจ้าเลยสักนิด”
เมื่อกล่าวจบ นางก็แสยะยิ้มเยาะเย้ยเถี่ยอวิ๋นผิงอย่างตรงไปตรงมา เถี่ยอวิ๋นผิงผงะตะลึงลาน และรู้สึกโกรธจัดจนสั่นเทาไปทั้งตัว วาจาของลู่เยี่ยนเหมือนกับเข็มพิษที่ทิ่มแทงหัวใจ ทั้งยังทำให้นางเสียใจจนถึงจุดที่ไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าหันหลังกลับและหนีไป
“เอาละ ศิษย์น้องลู่เป็นคนตรงไปตรงมา เลยขุ่นเคืองกับการกระทำของเจ้า” เสี่ยวเทียนหลงยิ้มให้ลู่เยี่ยน ก่อนที่จะหุบยิ้มโดยไว ยามมองเถี่ยอวิ๋นผิงอย่างไม่แยแส “ถ้าเจ้ารู้สึกเสียใจจริง ๆ เช่นนั้นก็จงออกไป อย่างไรก็ตาม ข้าขอเตือนเจ้าก่อน อย่าได้เสียใจกับการตัดสินใจในภายหลัง ศิษย์น้องเถี่ย” คำกล่าวของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่เหนือกว่า และดูเหมือนเถี่ยอวิ๋นผิงควรยอมรับโอกาสที่เขามอบให้อย่างซาบซึ้ง และถ้าไม่ทำเช่นนั้น นางจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
“ข้า…” เถี่ยอวิ๋นผิง พยายามดิ้นรนอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่นางจะกัดฟันและกล่าวเน้นทีละคำ “ข้าปฏิเสธ!”
สาวน้อยที่มีภูมิหลังธรรมดา และมีความสามารถโดยกำเนิดปานกลาง ทั้งยังไม่เคยได้ยินข่าวคราวจากญาติเพียงคนเดียวของนางเลยจนกระทั่งตอนนี้
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่านางจะต้องทิ้งศักดิ์ศรีและปณิธาน!
“เจ้า…” ลู่เยี่ยนตกตะลึง และเผยสีหน้าเย็นชาขณะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประเสริฐ ประเสริฐยิ่ง ศิษย์น้องเถี่ยช่างกล้าหาญ แต่น่าเสียดายที่ความกล้าไม่อาจชดเชยพรสวรรค์ที่ดาษดื่นของเจ้าได้”
เสี่ยวเทียนหลงขมวดคิ้วเช่นกัน แล้วแค่นเสียงเย็นด้วยความไม่พอใจ ก่อนที่จะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เราจะไม่รบกวนเจ้าแล้ว จริงสิศิษย์น้องเถี่ย ข้าต้องเตือนเจ้าไว้ก่อน ว่าอย่าได้หวังว่าใครก็ตามในนิกายจะพาเจ้าเข้าร่วมการชุมนุมล่าดารา”
ทันใดนั้น เถี่ยอวิ๋นผิงก็เหมือนถูกฟ้าผ่าเข้าอย่างจัง ใบหน้าสวยซีดเผือด ในขณะที่ดวงตาหรี่ลง นางทราบอย่างชัดเจนว่าเมื่อเสี่ยวเทียนหลงกล่าวออกมาเช่นนี้ แม้ว่าคนอื่นเต็มใจพานางไปด้วย บุคคลนั้นก็คงไม่กล้าขัดต่อเจตจำนงของเสี่ยวเทียนหลง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง โอกาสที่นางได้รับมาด้วยความยากลำบาก กำลังจะเลือนหายไปในพริบตา!
ท้ายที่สุด เถี่ยอวิ๋นผิงก็เม้มริมฝีปากแน่น พลันหันหลังกลับและออกจากศาลาธารม่วงด้วยสีหน้าขุ่นเคือง แววตาคับข้องใจ และดูเลื่อนลอยคล้ายสูญเสียจิตวิญญาณไป
เมื่อสาวน้อยเดินผ่านเฉินซี ชายคนนั้นกำลังจะเรียกนางให้ แต่กลับถูกเฉินซีหยุดไว้เสียก่อน
“สหายเต๋า ขอบคุณเจ้ามาก ข้าคงต้องขอตัวลา” เฉินซียิ้มให้ชายคนนั้น ขณะที่กล่าว เขาได้ประทับตราเจตจำนงของตนไว้บนตัวเถี่ยอวิ๋นผิง เพื่อที่จะได้ตามหานางได้ง่ายขึ้น
“ผู้อาวุโส ศิษย์พี่เสี่ยว…” ชายคนนั้นตั้งใจจะกล่าวอะไรบางอย่าง
“ข้าเข้าใจแล้ว วานส่งข้อความถึงพวกเขาทีว่าผู้ที่เหยียดหยามผู้อื่นจะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน และเมื่อถึงเวลานั้น อย่าได้เสียใจกับการตัดสินใจของตนเช่นกัน” เมื่อเสียงสงบและไม่แยแสดังก้อง ร่างของเฉินซีก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ชายคนนั้นอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง จากนั้นเขาก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ในท้ายที่สุด
“ศิษย์น้องสืออวี๋ นั่นใครน่ะ?” ในขณะเดียวกัน ร่างของเสี่ยวเทียนหลงก็ปรากฏตัวที่ด้านนอกศาลา
“ดูเหมือนเขาจะเป็นสหายปู่ของศิษย์น้องเถี่ยอวิ๋นผิง” สืออวี๋กล่าวอย่างราบเรียบ
“นั่นหมายความว่าเขาได้ยินทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้หรือ?” ลู่เยี่ยนก็เดินเข้ามาเช่นกัน และนางก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“ฮึ่ม! เขาเป็นเพียงเทวารู้แจ้งวิญญาณเท่านั้น เจ้าไม่ต้องกังวลไปศิษย์น้องลู่” เสี่ยวเทียนหลงหัวเราะเยาะ และสายตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“ฮ่า ๆ ๆ! เจ้ากำลังกล่าวอะไรศิษย์น้องลู่? หากทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า… แล้วมันจะเกี่ยวข้องกับข้าด้วยหรือ?” เสี่ยวเทียนหลงมองนางด้วยสายตาเร่าร้อน และไม่ได้ปิดบังความรักอันเร่าร้อนของเขาเลย
“อา!! ตั้งแต่เมื่อใดที่ศิษย์พี่เสี่ยวกลายเป็นคนปากหวานเช่นนี้?” ลู่เยี่ยนก้มศีรษะลงด้วยความลำบากใจ จากนั้นนางก็ร้องอย่างเขินอาย พลันซบตัวบนบ่าของเสี่ยวเทียนหลง
สืออวี๋ค่อนข้างกระดากที่เห็นเหตุการณ์นี้ และเขาคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ศิษย์พี่เสี่ยว ผู้อาวุโสของศิษย์น้องเถี่ยขอให้ข้าส่งข้อความถึงท่าน ข้าไม่รู้ว่าควรกล่าวถึงมันดีหรือไม่”
“ว่ามา” เสี่ยวเทียนหลงโบกมือวูบหนึ่ง ด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณอันห้าวหาญ ในขณะที่สาวงามอิงแอบอยู่ข้างกาย
“เขากล่าวว่า ผู้ที่เหยียดหยามผู้อื่นจะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน และบอกว่าศิษย์พี่อย่าได้เสียใจต่อการตัดสินใจในภายหลัง” สืออวี๋กล่าวอย่างระมัดระวัง
ใบหน้าของเสี่ยวเทียนหลงจมดิ่งทันที จากนั้นยิ้มเยาะเย้ยอย่างภาคภูมิ “คนผู้นี้คงจะโง่เขลาเช่นเดียวกับเถี่ยอวิ๋นผิง มาดูกันว่าเขาจะทำให้ข้าเสียใจได้อย่างไร ถ้าทำไม่สำเร็จ ก็อย่าโทษข้าละกันที่ฆ่าเขา และใช้คำเหล่านี้เป็นคำจารึกบนป้ายหลุมศพของเขา!”
…………….