บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1600 กลุ่มดาวถาวอู้
บทที่ 1600 กลุ่มดาวถาวอู้
วิ้ง!
เสียงชัดเจนไพเราะดังก้องเสนาะหูเมื่อมีแสงจ้าส่องประกายขึ้นจากค่ายกลเคลื่อนมิติดาราเมืองจรดบูรพา ทางเดินหนึ่งพลันปรากฏขึ้น
ผู้บ่มเพาะที่รออยู่นอกค่ายกลเคลื่อนมิตินานแล้วพลันมุ่งหน้าเข้าไปทันที
“เราก็ไปเถอะ” เฉินซีส่งตราคำสั่งวงจรดาราให้ศิษย์ที่เฝ้าอยู่หน้าค่ายกล
“อือ” เถี่ยอวิ๋นผิงรีบตามเข้าไปด้านใน
ค่ายกลเคลื่อนมิติดารานี้เคลื่อนผ่านหลายดาราจักร ปลายทางคือดาราจักรที่รุ่งเรืองที่สุดในหมู่ดาราจักรสามพันแห่งเอกภพมสิหิม ดาราจักรจันทราเพลิง
นับว่ามันเป็นแก่นสำคัญของเอกภพมสิหิม สถานที่ซึ่งจ้าวเอกภพจักรพรรดินีอวี้เชอพำนักอยู่ กองกำลังใหญ่ทั้งหลายในเอกภพมสิหิมล้วนมีสาขาอยู่ที่นี่
อาจกล่าวได้ว่าผู้บ่มเพาะพลังในดาราจักรจันทราเพลิงได้แสดงถึงมาตรฐานสูงสุดแห่งการบ่มเพาะพลังของทั่วทั้งเอกภพมสิหิม
“เดี๋ยวก่อน” ตอนที่กำลังจะเปิดค่ายกลเคลื่อนมิตินั่นเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังออกมาจากที่ไกล จากนั้นบุรุษและสตรีคู่หนึ่งก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
สรุปผู้นั้นมีร่างสูงใบหน้าหล่อเหลา ส่วนสตรีก็งดงามดูสูงส่ง ก็คือเสี่ยวเทียนหลงและลู่เยี่ยนนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต
“เป็นศิษย์พี่เสี่ยว!”
“ศิษย์พี่เสี่ยว!”
“ศิษย์พี่เสี่ยว ท่านจะเข้าร่วมการชุมนุมล่าดาราหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร ผู้บ่มเพาะที่รอค่ายกลเคลื่อนมิติทำงานจึงร้องทักทาย พวกเขาล้วนเป็นศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตทั้งนั้น ส่วนคนอื่น ๆ ก็เผยให้เห็นถึงความเคารพและชื่นชม
เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเสี่ยวเทียนหลงนั้นสมกับชื่อเสียงเรียงนามว่าเป็นยอดฝีมือสายในของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต
ทว่าพอนางเห็นว่าเสี่ยวเทียนหลงกับลู่เยี่ยนมาถึง เถี่ยอวิ๋นผิงก็เปลี่ยนสีหน้าทันที หญิงสาวกำมือแน่น ทั่วร่างแข็งเกร็งขึ้นมา
“คลายกังวลลงเถอะ ไม่จำเป็นต้องเครียดไป” เฉินซีเอ่ยผ่านกระแสปราณ
“หึ! นั่นมันศิษย์น้องเถี่ยไม่ใช่หรือ? อะไรกัน? ถึงตอนนี้ยังไม่ยอมแพ้อีกหรือไร?” ลู่เยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นสูง นางเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งพลางมองเถี่ยอวิ๋นผิงด้วยความรังเกียจ
แต่นางก็ต้องประหลาดใจเมื่อเถี่ยอวิ๋นผิงกลับคงความสุขุมไว้โดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง จึงทำให้ลู่เยี่ยนรู้สึกขัดใจอยู่บ้าง หากไม่ใช่ว่ารอบกายมีคนอยู่เยอะ นางคงอยากเยาะเย้ยเถี่ยอวิ๋นผิงมากกว่านี้
ทว่าเสี่ยวเทียนหลงเองก็มองเฉินซีด้วยสายตาล้อเลียนอยู่บ้าง “พวกที่รังแกคนอื่นก็ต้องถูกคนอื่นเขารังแก เจ้าพูดแบบนั้นไว้ใช่หรือไม่?”
พอคนรอบข้างเห็นดังนั้นก็เข้าใจทันที ดูแล้วชายหญิงคู่นี้คงล่วงเกินเสี่ยวเทียนหลงไว้ สงสัยจะมีเรื่องสนุกให้ได้ดูแล้ว!
“ใช่แล้ว” เฉินซียิ้มเฉย ไม่ได้ดูประหม่าแต่อย่างใด
คนรอบข้างดูประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะที่นี่คือเขตนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต ส่วนเสี่ยวเทียนหลงเองก็เป็นศิษย์สายในอันเลื่องชื่อของนิกาย ชายคนนี้กล้าพูดจาถือดีกับเสี่ยวเทียนหลงได้หรือ? หรือเขาเองก็มีคนหนุนหลังเช่นกัน?
เสี่ยวเทียนหลงชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าคว่ำดำคล้ำเป็นก้นหม้อ “เจ้ายอมรับแล้วสินะว่าจะมีปัญหากับข้า เสี่ยวเทียนหลง?”
มันเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเอาแต่ใจและเค้นถาม
เถี่ยอวิ๋นผิงสงสายตาประหม่ามองเฉินซี แต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ใช่นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตข่มคนอื่น คงกู่ไม่กลับแล้วจริง ๆ”
คนอื่น ๆ เห็นก็ส่งเสียงอื้ออึง ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่? ไม่ปากกล้าไปหน่อยหรือ?
“กล้าดีนัก!” ลู่เยี่ยนเอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “รีบขอโทษศิษย์พี่เสี่ยวเสีย ไม่เช่นนั้นวันนี้ก็อย่าคิดจะหนีไปได้เลย!”
“ศิษย์น้องลู่ อย่าให้คนอื่นหัวเราะเยาะเราได้” เสี่ยวเทียนหลงหรี่ตาลงเล็กน้อย ยั้งลู่เยี่ยนไว้ จากนั้นมองเฉินซีหัวจรดเท้าพร้อมกับยิ้มบางออกมา “ถึงเจ้าจะเป็นผู้อาวุโสของศิษย์น้องเถี่ย แต่เช่นนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?”
เสี่ยวเทียนหลงเงียบไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตย่อมไม่ใช้ชื่อนิกายรังแกผู้อื่น แต่หากคนอื่นมารังแกเรา เพื่อเกียรติของนิกาย มีหรือข้าจะถอยได้?”
เขากล่าวคำพูดออกมาได้ดี ทำให้ผู้อื่นส่งสายตาชื่นชมมาทันที
เฉินซีเลิกคิ้วไม่อยากเชื่อ เด็กคนนี้มีเล่ห์กลไม่เลว ไม่เหมือนพวกศิษย์ปากเก่งเที่ยวแต่เย่อหยิ่งจองหองไปวัน ๆ
จากนั้น เฉินซีจึงเอ่ยยิ้ม ๆ “แล้วคิดจะสู้อย่างไร”
เสี่ยวเทียนหลงเหมือนรอคำนี้มานานแล้ว จึงเอ่ยคำออกมาแทบไม่ต้องคิด “ก็ง่าย ๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะพาศิษย์น้องเถี่ยเข้าร่วมการชุมนุมล่าดาราด้วย เช่นนั้นก็พนันกัน หากสุดท้ายพวกเราได้คะแนนดีกว่าพวกเจ้าในการชุมนุมครั้งนี้ เจ้าจะต้องคุกเข่าขอโทษ แล้วทำลายพลังบ่มเพาะตนเองเสีย กล้าพนันหรือไม่?”
พูดจบ นัยน์ตาก็ฉายประกายเยือกเย็นกดดัน ทำให้คนทั้งหมดอุทานอยู่ในใจ นี่มันเป็นการพนันที่โหดร้ายยิ่ง!
“แล้วถ้าพวกเจ้าสองคนแพ้?” เฉินซียังคงนิ่งเฉยและคงท่าทีสุขุมนุ่มลึกไว้
“ฮ่า! เราจะแพ้ได้อย่างไร? คิดหรือว่าเจ้ากับเด็กโง่ฝีมือห่วยคนนั้นจะทำอะไรได้?” ลู่เยี่ยนยั้งไม่อยู่ เอ่ยเยาะออกมาจนได้ “พวกเจ้าคิดว่าจะรั้งอยู่ในการชุมนุมล่าดาราได้นานสักแค่ไหนกันเชียว!”
ทันทีที่สิ้นคำ ก็ทำให้ใบหน้างามของเถี่ยอวิ๋นผิงแดงเถือก นางกัดฟันแน่นด้วยนัยน์ตาโกรธแค้น
แต่พูดกันตามตรงคือนางเป็นห่วงเฉินซีมากกว่า เพราะหากตอบตกลงไปแล้วและพวกนางแพ้ ผลที่ตามมาก็เกินจินตนาการมาก
เถี่ยอวิ๋นผิงถึงขนาดที่เริ่มรู้สึกเสียใจที่ดึงเฉินซีเข้ามายุ่งเรื่องนี้ด้วย
“เจ้าไม่ต้องห่วง วางใจแล้วดูอย่างเดียวเถอะ” เฉินซียิ้มบาง จากนั้นก็ส่งสายตาเรียบเรื่อยมองลู่เยี่ยน ไม่ได้ตอบกลับ เพียงแต่ถามเสียงเรียกว่า “เจ้าเองก็เข้าร่วมขณะนี้ด้วยหรือเปล่า?”
ลู่เยี่ยนชะงักไป ในใจบังเกิดความลังเลอยู่บ้าง
“ในเมื่อไม่เข้าร่วมด้วย เช่นนั้นก็ทำตัวดี ๆ แล้วหุบปากไปเสีย เป็นแจกันดอกไม้ข้างฉากต่อไปเถอะ ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต่างกับพวกปากตลาดที่เอาแต่ด่าทอเยาะเย้ยคนอื่น”
“เจ้า… เจ้า…” ลู่เยี่ยนโกรธนัก นับแต่เด็กมานี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาว่านางเช่นนี้ นางโกรธจนตัวสั่น เอ่ยปากพูดคำต่อไปไม่ออก
คนอื่นเห็นก็ได้แต่ตะลึง ชายหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงแต่ปากดี แต่ยังไร้การยับยั้งใดอีกต่างหาก
ไม่รู้ว่าความคิดแบบนั้นบ่มเพาะพลังมาถึงขอบเขตเทวาได้อย่างไร เฉินซีคิดในใจ จากนั้นไม่สนใจนางอีก เขาหันมองเสี่ยวเทียนหลง “ตกลงก็ได้ แต่ขอถามอะไรอย่าง หากพวกเจ้าแพ้ล่ะ?”
เมื่อเห็นว่าลู่เยี่ยนขุ่นเคือง เสี่ยวเทียนหลงก็โกรธและแผ่จิตสังหาร แล้วพอเฉินซีถามคำนั้นออกมา เขาจึงตอบไปอย่างไร้ลังเล “เงื่อนไขเดิม!”
ทุกคนตกอยู่ในความโกลาหลขึ้นมาทันใด ก็หมายความว่าหากเสี่ยวเทียนหลงแพ้ ก็จะต้องคุกเข่าขอโทษแล้วทำลายพลังบ่มเพาะทิ้งหรือ?
แต่ในเมื่อเสี่ยวเทียนหลงกล้าตอบรับเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าเขามั่นใจในฝีมือตนเองพอตัว หากเป็นคนอื่นก็คงหดหัวถอยไปนานแล้ว
คิดได้ดังนี้หลายคนจึงเริ่มสงสัยตาชื่นชมไปทางเสี่ยวเทียนหลง
เพราะเห็นว่าคนรอบข้างส่งสายตาชื่นชมระคนตกตะลึงมา ความโกรธในใจของเสี่ยวเทียนหลงก็คลายลงมาก “งั้นก็เอาตามนี้ เจ้าคงรู้ดีว่าหากไม่ทำตามคำพูดจะเป็นอย่างไร”
ว่าแล้วสายตาก็เผยจิตสังหารไม่คิดปิดบัง ก่อนมันจะหายไปทันใด เขาโบกมือแล้วก็บอกกับคนเฝ้าค่ายกลเคลื่อนมิติ “เปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนมิติ!”
ทว่าลู่เยี่ยนกลับยิ้มเย็นมองเฉินซี ในใจนางหมายมั่นแล้วว่าเฉินซีแพ้เมื่อไหร่ นางจะทรมานเขาให้ตายไปเลย ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจดับไฟแค้นในใจได้
เฉินซียังคงความนิ่งเงียบ ในใจไม่เกิดแรงกระเพื่อมอารมณ์ใดแม้แต่น้อย
เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่อาจทำให้จิตเขาฟุ้งซ่านได้หรอก
วิ้ง!
ค่ายกลเคลื่อนมิติดาราจึงเปิดออก เผยกระแสพลังผันผวนร้องครืนออกมา พริบตาเดียวมันก็ระเบิดแสงศักดิ์สิทธิ์สว่างจ้า แล้วพาทุกคนหายไปทันที
…
ดาราจักรจันทราเพลิง
กลุ่มดาวถาวอู้
ที่นี่คือพื้นที่อันกว้างใหญ่บนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ปกคลุมไปด้วยดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อมองจากระยะไกลแล้ว ดาวเหล่านี้ก็เรียงตัวกันเป็นแผนภาพที่ดูเหมือนอสูรศักดิ์สิทธิ์โบราณถาวอู้ ซึ่งกลุ่มดาวนี้ก็ตั้งชื่อตามมันนั่นเอง
กลุ่มดาวถาวอู้นั้นมีขนาดใหญ่มาก มีดารากระจายตัวอยู่เต็มไปหมด โดยเก้าในสิบของดวงดาวเหล่านี้เต็มไปด้วยอันตรายมากหลาย ทั้งยังมีจิตสังหารหนาแน่น ไม่เพียงแต่ภัยธรรมชาติมากมาย แต่ยังมีอสูรดุร้ายหลับใหลอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ไม่อาจเป็นสถานที่ให้อยู่อาศัยได้เลย
และดาวประกายชลธีคือหนึ่งในนั้น
การชุมนุมล่าดาราในครั้งนี้จะถูกจัดขึ้นบนกลุ่มดาวถาวอู้ ส่วนสถานที่ลงชื่อคือดาวประกายชลธี
ตอนนี้การชุมนุมล่าดาราก็ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ดังนั้นดาวประกายชลธีจึงเต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะพลังหนุ่มสาวมากมายภายในดาราจักรสามพันแห่งของเอกภพมสิหิมที่หมายจะมาสร้างชื่อในการชุมนุมล่าดาราครั้งนี้
หรือก็คือการชุมนุมครั้งใหญ่นี้เป็นสถานที่ที่หนุ่มสาวแห่งเอกภพมสิหิมจะมาต่อสู้กันเพื่อความรุ่งโรจน์ ทั้งผู้จัดยังเป็นจักรพรรดินีอวี้เชอ ของรางวัลยังมีมากมาย โชคลาภประปรายนับไม่ถ้วน เป็นการชุมนุมที่มีมาตรฐานสูงไม่น้อย ดังนั้นจึงเป็นคนจำนวนมากให้มาเข้าร่วมได้
วิ้ง!
กระแสพลังผันผวนปรากฏขึ้นเหนือค่ายกลเคลื่อนมิติดาราในเมืองอัคนีระอุแห่งดาวประกายชลธี จากนั้นผู้บ่มเพาะกลุ่มหนึ่งก็แวบร่างออกมา
ที่น่าตกใจคือเฉินซีกับเถี่ยอวิ๋นผิงก็มาด้วย
“อะไรกัน? จะบอกว่าหนุ่มสาวฝีมือดีแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์หยกนภา กวนหงอวี่ ก็มาด้วยงั้นหรือ? สวรรค์โปรด! ใครกันสามารถชักชวนคนในตำนานมานำกลุ่มได้?”
“ไม่ใช่เพียงกวนหงอวี่นะ ได้ยินว่าคุณชายรองตระกูลอี้ อี้สวิน และเสวียนท่าจื่ออารามเต๋าสัจวิญญาณก็มาแล้วเช่นกัน ทั้งพวกเขาเองก็เป็นผู้นำกลุ่มด้วย”
“นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง ไม่คิดเลยว่าอัจฉริยะเทวาวิญญาณแห่งเอกภพมสิหิมสามในห้าคนของเราจะมาด้วย!”
“ฮ่า ๆ! ไม่เช่นนั้นครั้งนี้จะมียอดฝีมือจำนวนมากมาเข้าร่วมด้วยงั้นหรือ?”
ทันทีที่พวกเขาเดินออกมาจากค่ายกลเคลื่อนมิติ เสียงดังอึกทึกครึกโครมก็ดังตีหน้า ได้ยินเสียงมากมายหลายอย่างจนหูอื้อ
เฉินซีเงยหน้ามอง เห็นว่ามีคนจำนวนมากอยู่เต็มถนนสายกว้างด้านหน้า มีเยอะเหมือนมดทีเดียว คึกคักอย่างถึงที่สุด