บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1602 จักรพรรดินีอวี้เชอ
บทที่ 1602 จักรพรรดินีอวี้เชอ
เสี่ยวหลัวหลั่วพูดจาขวานผ่าซากยิ่ง ทำให้ผู้คนรอบข้างต่างตกตะลึง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการทำให้ผู้อื่นขายหน้ารูปแบบหนึ่ง เป็นการแสดงอำนาจ นางอยากให้ผู้คนรอบข้างตระหนักชัดเจนว่าเป้าหมายของนางคือเฉินซี หากผู้ใดเข้าแทรกแซง ก็ต้องคิดให้ดีว่าจะล่วงเกินเสวียนท่าจื่อ ตระกูลเซียว และกระทั่งอารามเต๋าสัจวิญญาณจริง ๆ หรือ
ฝูงชนชำเลืองมองเฉินซี อดรู้สึกสงสารในใจไม่ได้ เจ้านี่ล่วงเกินใครไม่ทำ เหตุใดต้องมาล่วงเกินคนอย่างเสวียนท่าจื่อกับเสี่ยวหลัวหลั่วด้วย?
ทั้งหมดนี้ทำให้ใบหน้าน้อยของเถี่ยอวิ๋นผิงซีดขาวเฉียบพลัน นางไม่คาดคิดเลยว่าแค่ล่วงเกินเสี่ยวเทียนหลงจะก่อมรสุมเช่นนี้ขึ้น
ปฏิกิริยาของเฉินซีต่อเรื่องนี้สงบอย่างผิดปกติ ชายหนุ่มเหลือบมองเสี่ยวหลัวหลั่วซึ่งเผยท่าทีเย็นชาหยิ่งผยองอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะเสตามองเสวียนท่าจื่อซึ่งยืนอยู่ข้างนาง ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
“เช่นนั้น ข้าจะรอดู” เฉินซียิ้มเฉยชา “อ้อ จริงสิ ทั้งสองตั้งใจจะเข้าร่วมเดิมพันนี้ด้วยหรือไม่?”
ทุกคนระเบิดเสียงอึกทึกทันควัน เจ้านี่บ้าไปแล้วหรือ? แค่ล่วงเกินเสี่ยวเทียนหลงก็น่าเป็นห่วงแล้ว ยังคิดยั่วโมโหเสี่ยวหลัวหลั่วกับเสวียนท่าจื่ออีก?
โดยเฉพาะเสวียนท่าจื่อ เขาเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่นในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ของอารามเต๋าสัจวิญญาณ ชื่อเสียงสูงส่งเทียบเท่ากวนหงอวี่และอี้สวิน การล่วงเกินเขาต่างอะไรกับรนหาที่ตาย?
เสี่ยวหลัวหลั่วผงะไปทันที แล้วดวงตาก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “มดอย่างเจ้าควรค่าเดิมพันกับเราด้วยหรือ? ไม่สำเหนียกสถานะตัวเองก่อนเล่า?”
นี่ไม่ใช่การบ่ายเบี่ยง แต่เป็นการแสดงตนข่มอำนาจ นางล้อเลียนเฉินซีว่าไม่ประมาณตน และสื่อนัยว่าเฉินซีไร้ค่าให้พวกนางปฏิบัติด้วยอย่างเท่าเทียม
เฉินซีได้ยินเช่นนี้ก็ทำเพียงยิ้ม จากนั้นก็นำเถี่ยอวิ๋นผิงหันกายจากไป เขาไม่ชอบโต้เถียงกับใคร และไม่ชอบประชันวาจา เขาเชี่ยวชาญการใช้อำนาจสยบการยั่วยุประสงค์ร้ายทั้งปวงเป็นที่สุด!
…
เหตุรบกวนเล็กจ้อยนี้จบลงในพริบตา ไม่ก่อให้เกิดกระแสมากนัก
ทว่าไม่นาน ข่าวเกี่ยวกับการเดิมพันระหว่างเฉินซีอและเสี่ยวเทียนหลงก็กระจายไปทั่วหมู่บ้านเมฆาวารี
ชุมนุมล่าดาราจะเปิดฉากขึ้นในวันพรุ่ง ผู้เข้าร่วมล่าส่วนใหญ่มารวมตัวกันในหมู่บ้านเมฆาวารีแล้วในคืนนี้ เมื่อพวกเขาได้รู้ถึงการเดิมพันระหว่างเฉินซีกับเสี่ยวเทียนหลง ทุกคนต่างรู้สึกว่ามันน่าสนุกอย่างยิ่ง บ้างรู้สึกสงสารเฉินซี บ้างเหยียดยิ้มถากถาง หรือไม่ก็จมในความคิด….
แต่ไม่ว่าอย่างไร น้อยคนนักที่เข้ามาติดต่อกับเฉินซี เพราะพวกเขากลัวว่าเสี่ยวหลัวหลั่วและเสวียนท่าจื่อจะเข้าใจผิด และถือพวกเขาเป็นผู้ช่วยเฉินซี
สถานการณ์ปัจจุบันคือ ทั่วหมู่บ้านเต็มไปด้วยเสียงเสสรวลเฮฮา ผู้คนมากมายรายล้อมอัจฉริยะเจิดจรัสดุจดาวล้อมเดือน ทว่ามีเพียงเฉินซีและเถี่ยอวิ๋นผิงที่ยืนหลบมุมเงียบ ๆ ในหมู่บ้าน ไร้ผู้ใดสนใจ
นี่คือสัจธรรม ผู้เจิดจรัสไม่เคยขาดคำฉอเลาะและสายตาจับจ้อง
ทว่าเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนไม่อาจกวนสภาพจิตใจของเฉินซีได้แม้แต่น้อย ชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิเงียบ ๆ บนหินก้อนหนึ่ง และชี้แนะเถี่ยอวิ๋นผิงให้บ่มเพาะเสียงแผ่วเบา
หญิงสาวนางนี้เพิ่งบรรลุขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาได้ไม่นาน ความสามารถโดยกำเนิดมีจำกัด ประกอบกับที่นางไร้การชี้แนะจากอาจารย์ที่ดี ความสำเร็จที่นางทำได้จึงไม่โดดเด่น
จากการอนุมานของเฉินซี หากเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ และเถี่ยอวิ๋นผิงมาเข้าร่วมชุมนุมล่าดารากับคนอื่น นางย่อมไม่อาจสร้างผลงานได้มากนัก
แต่เฉินซีไม่เคยเชื่อในความสามารถโดยกำเนิดและชะตา เถี่ยอวิ๋นผิงมีความมุมานะ บ่มเพาะอย่างพากเพียร หัวใจต่อเต๋าของนางแข็งกล้าดั่งหิน นี่คือจุดเด่นที่สุดของนาง
ความสามารถโดยกำเนิดทำให้เกิดช่องว่างมหึมาในการบ่มเพาะระหว่างตนและผู้อื่นได้จริง ๆ แต่หากหัวใจไม่มั่นคง ไร้ซึ่งความหมั่นเพียร เช่นนั้นก็ย่อมมิอาจบรรลุสำเร็จยิ่งใหญ่ใด ๆ
ขณะนี้ เหตุผลที่เฉินซีชี้แนะเถี่ยอวิ๋นผิงให้บ่มเพาะไม่ใช่เพราะเขามีความสามารถสูงส่ง เพียงพอให้เถี่ยอวิ๋นผิงบรรลุเต๋าชั่วข้ามคืน พัฒนาความแข็งแกร่งเสียจนโดดเด่นเจิดจรัสในชุมนุมล่าดารา ณ วันพรุ่งได้ เขาแค่อยากใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ชี้แนะหญิงสาวผู้นี้นิดหน่อย ให้นางมิต้องไปงมหาทางเอาเองยามบ่มเพาะในภายหน้า
เถี่ยอวิ๋นผิงถือว่าสงวนท่าทีและตระหนกพอตัวในทีแรกยามเผชิญการชี้แนะจากเฉินซี แต่ความสนใจของนางก็ค่อย ๆ จมไปในเคล็ดความซับซ้อนของเต๋าที่เฉินซีอธิบาย จนทิ้งข้อจำกัดในใจ ถามเกี่ยวกับทุกสิ่งที่ไม่แน่ใจยามอยู่บนเส้นทางการฝึกฝนออกมา
นอกจากนั้น คำตอบที่ได้จากเฉินซียังทำให้นางรู้สึกประจักษ์แจ้งเฉียบพลันอยู่บ่อยครั้ง ในใจจึงทั้งตื่นเต้นและลิงโลด ขณะที่สายตายามมองเฉินซีเต็มไปด้วยความชื่นชมบูชาที่ไม่เคยมีมาก่อน
…
ขณะที่เฉินซีกำลังชี้แนะเถี่ยอวิ๋นผิง คนกลุ่มหนึ่งกำลังหารือกันเสียงเบาอยู่ที่เพิงไม้เลื้อยในหมู่บ้าน
พวกเขามีสิบกว่าคน เป็นผู้ติดตามเสี่ยวหลัวหลั่ว เสวียนท่าจื่อ เสี่ยวเทียนหลง และลู่เยี่ยน
“เทียนหลง หนนี้เจ้าใจร้อนไปหน่อยนะ ต่อให้เจ้าอยากจัดการกับเจ้าคนไร้สถานะอย่างเขา แต่จำเป็นต้องเดิมพันบ้าบอเช่นนี้ด้วยหรือ?” เสี่ยวหลัวหลั่วขมวดคิ้วขณะปรามาสเสี่ยวเทียนหลงเสียงเบา “เจ้าเคยเห็นใครเอากระเบื้องเคลือบชั้นเลิศไปแข่งขันกับเหยือกดินบ้าง?”
เสี่ยวเทียนหลงชักสีหน้าเล็กน้อย “พี่หญิง เจ้าบอกเองว่าเขาต่ำต้อยไร้สถานะ แล้วไยต้องระวังนักเล่า?”
เสี่ยวหลัวหลั่วหน้าง้ำ
ลู่เยี่ยนเห็นเช่นนี้ก็รีบพูดขึ้น “ศิษย์พี่เสี่ยว พี่หญิงพูดเช่นนั้นก็เพื่อเจ้าเองนะ นางไม่ได้มองเจ้าคนผู้นั้นดีนัก และบอกเจ้าอยู่ต่างหากว่าควรรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรหากประสบอีก จะได้ไม่มาอยู่ในจุดกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้”
“ข้าเข้าใจน่า” เสี่ยวเทียนหลงเหลืออดเล็กน้อย เขาโบกมือว่า “คุยกันว่าเราควรจัดการกับเจ้านั่นในชุมนุมล่าดาราอย่างไรดีกว่า”
เสี่ยวหลัวหลั่วได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ตำหนิต่อ “เจ้านั่นไม่มีสิ่งใดควรค่าพูดถึง มีข้ากับศิษย์พี่เสวียนท่าจื่ออยู่ เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจเขาเลย ใส่ใจแค่กวนหงอวี่กับอี้สวินสองคนพอ พวกเขาคือศัตรูตัวฉกาจที่สุดของเราในชุมนุมล่าดารานี้”
กล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของพวกเขาทั้งหลายก็เย็นเยียบ และตระหนักชัดว่าเสี่ยวหลัวหลั่วพูดถูก ครั้งนี้พวกเขามาเพื่อครองตำแหน่งในชุมนุมล่าดารา ย่อมไม่คิดเสียเวลาไปกับเฉินซี
“แค่ติดหนึ่งในสามอันดับแรกได้ก็พอ” ทันใดนั้น เสวียนท่าจื่อซึ่งรักษาสีหน้าเฉยเมยเย็นชา เงียบเชียบมาตลอดก็เอ่ยปาก “ง่ายกว่าแตกตื่นกลัวพลาดหากใช้การวางแผนเยอะ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ สายตาก็เบนไปไกลอย่างไม่รู้ตัว ที่นั่นเฉินซีชี้แนะเถี่ยอวิ๋นผิงฝึกฝนด้วยสีหน้าเรียบเฉย สิ่งนี้ทำให้เสวียนท่าจื่อคลับคล้ายขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนอยากพูดบางอย่าง แต่ก็เลือกไม่พูดอยู่ดี
…
“หนนี้มีข้าอยู่ เจ้าก็สู้อย่างสบายใจได้… หือ? น้องสาม เจ้าฟังข้าอยู่จริง ๆ หรือเปล่านี่!?” ณ อีกมุมหนึ่งของหมู่บ้าน ชายหนุ่มร่างสูง โพกผ้าดำบนศีรษะ ท่าทางเปี่ยมกำลัง สีหน้าเย็นชาขมวดคิ้วขณะพูดอย่างไม่ชอบใจ
คนผู้นี้คือคุณชายรองแห่งตระกูลอี้ อี้สวิน อัจฉริยะผู้ลือนามทั่วเอกภพมสิหิม
อี้เทียนรีบพูดขึ้น “พี่รอง ข้าฟังอยู่”
แต่หว่างคิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย เหมือนกำลังเผชิญปัญหาบางอย่าง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” อี้สวินเข้าใจน้องชายของตนดี น้องชายคนนี้มีนิสัยใจร้อนและหยิ่งผยอง แต่ยามกลับมาจากแดนโลกาวินาศ อี้เทียนกลับดูหดหู่ไร้วิญญาณ
“พี่รอง ข้ารู้สึกว่า…” อี้เทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่สุดท้ายจะใช้การส่งกระแสปราณ “เจ้าเด็กตรงนั้นเหมือนจะเป็นเจ้าคนที่ฆ่าพวกลุงเก้าในแดนโลกาวินาศเลย!”
ขณะเดียวกัน สายตาของเขาก็แฉลบมองไปไกลอย่างช่วยไม่ได้
ประกายเย็นเยียบวาบไหวกะทันหันในดวงตาของอี้สวิน เขามองตามสายตาของอี้เทียนไป และพบชายหนุ่มผู้ดูธรรมดาคนหนึ่งซึ่งกำลังเสวนากับหญิงสาวอีกคน
“เขาหรือ?” น้ำเสียงของอี้สวินเจือจิตสังหาร มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าอี้เทียนพ่ายกลับมาจากแดนโลกาวินาศ ขณะที่ทุกกำลังจากตระกูลอี้ถูกกำจัดสิ้น
“รูปลักษณ์แตกต่าง ท่าทางก็ไม่เหมือน แต่ข้ากลับรู้สึกเหมือนเจ้าเด็กนั่นมีบางสิ่งคุ้น ๆ” อี้เทียนมีสีหน้าลังเล ไม่กล้ายืนยันความคาใจ
“เรื่องนี้จัดการง่ายมาก ยามสู้ในชุมนุมล่าดารา เจ้าจะเห็นเบาะแสจากวิชาที่เขาใช้เอง” อี้สวินกล่าวเสียงเย็น “หากเป็นเขาจริง ๆ ข้าจะให้เขาชดใช้ร้อยเท่า!”
…
ไกลออกไป ยามสายตาของอี้สวินและอี้เทียนกวาดมองมา เฉินซีก็สังเกตพบเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มอดหรี่ตาน้อย ๆ ขณะกล่าวในใจมิได้ว่า เหมือนในชุมนุมล่าดารานี้ ข้าจะมีศัตรูอยู่เยอะเอาเรื่อง
เมื่อมาคิดดูดี ๆ นอกจากเสี่ยวเทียนหลง ลู่เยี่ยน เสี่ยวหลัวหลั่ว และเสวียนท่าจื่อ เขายังต้องเพิ่มอี้เทียนและอี้สวินไปในรายชื่อด้วย
ทั้งหมดนี้ ยังไม่รวมมิตรสหายและทาสเทพของพวกเขาอีก นอกจากนั้น หากจะช่วยเถี่ยอวิ๋นผิงให้อยู่รอดจนรับรางวัลในช่วงท้าย เขาก็ต้องเลี่ยงการประมือกับผู้อื่น
จึงเห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของเขาร้ายแรงเพียงไร
“ผู้อาวุโส เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เถี่ยอวิ๋นผิงเงยหน้าขึ้นถามอย่างงุนงง เพราะนางกำลังฟังคำชี้แนะของเฉินซีอยู่ดี ๆ แต่จู่ ๆ เฉินซีก็หยุดพูดไป
“ไม่มีอะไรหรอก” เฉินซีแย้มยิ้ม กล่าวในใจว่าหากแม่หนูนี่ทราบถึงสถานการณ์ของเรา นางคงไม่เข้าร่วมการล่านี้เลย
แม้สถานการณ์จะย่ำแย่ เฉินซีก็ไม่ได้กังวล เพราะในหมู่ผู้เข้าร่วมชุมนุมล่าดารา ผู้ที่มีการบ่มเพาะแข็งแกร่งสูงสุดอยู่เพียงในขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ ไม่มีภัยถึงตายต่อเขาสักนิด
เวลาล่วงเลยผ่าน ท้องฟ้าสว่างโดยไม่ทันรู้ตัว
เสียงจี้หยกกระทบดังเป็นคลื่นจากท้องนภาอันห่างไกลอย่างเฉียบพลัน มันกระจ่างใสเสนาะหู ตามด้วยเสียงวิหคเพลิงอมตะขับขาน หมู่มังกรคำรน ทำให้ฟ้าดินรอบข้างเต็มไปด้วยบรรยากาศบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่อาจรับรู้
“จักรพรรดินีอวี้เชอเสด็จแล้ว!” เกิดเสียงเซ็งแซ่ในหมู่บ้าน ทุกคนหยุดเสวนา สายตาหันมองไปไกลตาม ๆ กัน
ทันใดนั้น กลีบบุปผาสีแดงสดอันบอบบางงามตระการก็ปลิดโปรยจากฟากฟ้า เต็มไปด้วยกลิ่นหอมประโลมใจ จากนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งก็พุ่งข้ามนภามาไกล ๆ ประหนึ่งสร้างสะพานบนท้องฟ้า
แสงศักดิ์สิทธิ์สายนั้นคือปักษาวายุสีทองสองตนที่ลากรถม้าสำริดคันหนึ่งเข้ามาอย่างเนิบช้า เมื่อมองจากไกล ๆ ก็เปรียบประหนึ่งเทพลงมาโปรดจากแดนสวรรค์ ติดตามด้วยกลีบบุปผาโปรยปรายและลำแสงจากนภา เป็นเหตุชวนตะลึงยิ่งนัก
พวกเขาเห็นชัดเจนว่าบนรถม้ามีสตรีผู้หนึ่ง สวมเสื้อคลุมสั้นปักลายวิหคเพลิงอมตะ มงกุฎหงส์ อาภรณ์ลายมวลวิหคเพลิง เอวห้อยจี้หยกแดงขนาดใหญ่ คลุมผ้าแดงปิดใบหน้านั่งตัวตรง เผยเพียงดวงตาเรืองรองอันดูประหนึ่งริ้วธารยามสารท
นางดูประหนึ่งเจ้าสาวผู้กำลังจะแต่งงาน อาภรณ์ทั้งกายแดงฉานดุจดวงตะวัน ประณีตงดงามราวเปลวเพลิงพลิ้วระบำ ทว่าบรรยากาศกลับเย็นเยือกดุจน้ำแข็ง แม้นางจะนั่งบนรถม้า แต่กลับเหมือนยืนตระหง่าน ณ ยอดภูเขาน้ำแข็งโบราณ เพียงหนึ่งชำเลืองก็ชวนให้หนาวสะท้าน มิกล้าสบตามองหน้าตรง ๆ
นางก็คือจักรพรรดินีอวี้เชอ ตัวตนยิ่งใหญ่ผู้ปกครองดาราจักรทั้งสามพันแห่งในเอกภพมสิหิม!