บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1607 การเปลี่ยนแปลงในต้นอ่อนเงาทมิฬ
บทที่ 1607 การเปลี่ยนแปลงในต้นอ่อนเงาทมิฬ
…………….
บทที่ 1607 การเปลี่ยนแปลงในต้นอ่อนเงาทมิฬ
ปราณกระบี่สีเทาและปราณกระบี่บริสุทธิ์เข้าปะทะกันใต้ม่านแห่งราตรีกาล พวกมันระเบิดแสงศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์ขุ่นมัวและโกลาหลจนกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง
เหตุการณ์นี้สะดุดตาผู้บ่มเพาะทั้งหลายจนทำเอาสั่นสะท้านไปทั่วร่างประหนึ่งตกลงไปในถังน้ำแข็ง เพียงเผชิญหน้ากับมันก็น่าพรั่นพรึงพอจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวอยู่ภายใน
“กระบี่มลทินอเวจี!”
เหนือท้องนภา ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างพากันตกตะลึง มันเป็นไปดังที่พวกเขาคาดการณ์ อาวุธชั่วร้ายอันดับหนึ่งในเอกภพมสิหิมซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มดาวถาวอู้!
“ท่านจักรพรรดินี ท่านพยายามที่จะ…” หัวใจของทุกคนสั่นไหวขณะมองจักรพรรดินีอวี้เชอผู้อยู่อีกด้าน
นางคล้ายกับไม่สังเกตเห็นอย่างสิ้นเชิงขณะเอามือไพล่หลัง คอระหงสีขาวราวหิมะเชิดขึ้น ดวงตากระจ่างชัดทอประกายแสงเย็นเยือก นางจับจ้องการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป ชุดคลุมที่สวมใส่ประหนึ่งวิหคเพลิงปลิวไสวตามแรงลม ยิ่งขับเน้นส่วนโค้งเว้าให้ดูงดงาม
ชายชราชุดเทาผู้อยู่ข้างเคียงนามอวิ๋นชิงประหนึ่งเทพกระบี่ผู้จุติมาเป็นมนุษย์ เส้นผมราวหิมะปลิวไสว สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม แสงศักดิ์สิทธิ์ของมหาเต๋าเอ่อล้นทั่วร่าง เขาถือกระบี่พิฆาตฟ้าแล้วฟาดฟันใส่อากาศธาตุ
เส้นปราณกระบี่กระจ่างชัดกวาดผ่านท้องนภา ฉีกผ่านห้วงอากาศและดวงดารานับไม่ถ้วนด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ ราวกับพวกมันจะทำการสังหารและทำลายกลุ่มดาวถาวอู้!
ในเวลาเดียวกัน เกลียวปราณกระบี่ขุ่นมัวก็ปรากฏขึ้นอย่างบ้าคลั่งในส่วนลึกของกลุ่มดาวถาวอู้ที่อยู่ไกลออกไป พวกมันเคลื่อนที่อย่างคลุ้มคลั่งและน่าสะพรึง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยพลังที่จะทำลายฟ้าดิน
แต่ในท้ายที่สุด ปราณกระบี่ขุ่นมัวนี้ก็ถูกกำราบโดยปราณกระบี่กระจ่างใสก่อนจะถูกบดขยี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ปราณกระบี่สีเทาปั่นป่วนและพังทลายไปในที่สุด
หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ปราณกระบี่สีเทาก็สงบนิ่งอย่างสมบูรณ์ก่อนจะรวมตัวอย่างเงียบงัน บรรยากาศเย็นเยือกและชั่วร้ายที่อบอวลอยู่ในอากาศธาตุหายไปจนสรรพสิ่งกลับสู่ความสงบ
เคร้ง!
สิ้นเสียงกระบี่อันแจ่มชัด อวิ๋นชิงก็เก็บกระบี่พิฆาตฟ้า ใบหน้าชราสีแดงปลั่งกลายเป็นซีดขาว เพียงพริบตา กลิ่นอายทั่วร่างก็หายไปจนตกอยู่ในสภาพเฉื่อยชาเล็กน้อย เขามีท่าทีเหนื่อยล้าจนไม่สามารถปกปิดได้
“ขอบคุณที่พยายามเพื่อข้า” จักรพรรดินีอวี้เชอเอ่ยคำอย่างแผ่วเบา
อวิ๋นชิงส่ายหน้า จากนั้นเอ่ยคำด้วยความเสียดาย “พลังของข้าอ่อนแอเกินกว่าจะบังคับให้มันออกมาได้”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในเวลาเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะลอบหวาดกลัว ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าจักรพรรดินีอวี้เชอวางแผนจะกำราบและขัดเกลากระบี่มลทินอเวจีในช่วงเวลาเดียวกับการชุมนุมล่าดารา!
…
เบื้องหน้าถ้ำ ดวงตาของเฉินซีกำลังทอประกายเจิดจ้าประหนึ่งดวงดาวในท้องนภาอันลึกล้ำ
ช่างเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังอะไรอย่างนี้!
เมื่อครู่นี้เขาได้เป็นสักขีพยานต่อทุกสิ่งในท้องนภา เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าสมบัติวิญญาณธรรมชาติสองชิ้นกำลังไล่ล่ากัน ชิ้นหนึ่งกระจ่างชัด อีกชิ้นขุ่นมัว พลังของพวกมันน่าตกตะลึงเกินกว่าที่จะจินตนาการได้
จนกระทั่งตอนนี้ ถึงแม้การต่อสู้จะจบลงแล้วก็ยังมีคลื่นกระแทกกระจายไปทั่วโลก มันคือปราณกระบี่แตกสลายที่เคลื่อนไปมาโดยชิ้นหนึ่งกระจ่างชัด อีกชิ้นขุ่นมัว ไม่ว่าพวกมันผ่านไปที่ใด ขุนเขาก็จะพังทลาย ปฐพีแตกร้าว มิติและเวลาแตกสลาย มันช่างโกลาหลและน่าตกตะลึงนัก
“เป็นแบบนี้ได้อย่างไร? หรือว่าจักรพรรดินีอวี้เชอมีเป้าหมายอื่นในการจัดการชุมนุมล่าดาราครั้งนี้?”
เฉินซีคิ้วขมวด
ฟู่~~ ฟู่~~
ในตอนนี้ เศษเสี้ยวแสงเย็นเยือกสีเทากัดกร่อนพลันกวาดมาแต่ไกล ก่อนจะมาถึงตัว กลิ่นอายชั่วร้าย น่าพรั่นพรึงและความกระหายเลือดปกคลุมอากาศธาตุ
มันคือประกายเย็นเยือกที่กลายเป็นปราณกระบี่สีเทาหลังจากพังทลายไปแล้ว!
หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้านก่อนจะยื่นมือออกไป แล้วกระบี่ก็บินผ่านอากาศธาตุ แต่เมื่อกำลังจะลงมือ ต้นอ่อนเงาทมิฬในจักรวาลภายในร่างกายสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะก่อเกิดความรู้สึกที่ชวนให้ถวิลหา มันช่างปั่นป่วนราวกับสัตว์ป่าที่ได้กลิ่นเลือด
หืม?
เฉินซีตกตะลึงเล็กน้อย
ฟิ่ว!
ตอนนี้กลุ่มแสงสีเขียวอ่อนกวาดผ่านร่างประหนึ่งโซ่ศักดิ์สิทธิ์โปร่งแสง ก่อนจะพันธนาการแสงสีเทาเย็นเยือกที่ส่งเสียงหวีดหวิว
ฟ่าววว!
แสงสีเทาเหล่านั้นมาจากกระบี่มลทินอเวจีซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายกัดกร่อน พรั่นพรึง ชั่วร้ายน่าหวาดหวั่นที่ทำให้แม้แต่บรรพชนและทวยเทพหวาดกลัว แต่ตอนนี้ภายใต้แสงศักดิ์สิทธิ์โปร่งใสและกระจ่างชัดนี้ ทำให้แสงสีเทาเย็นเยือกเหล่านั้นกลายเป็นธารน้ำอ่อนโยนที่ถูกดูดกลืนแทน
เฉินซีตกตะลึง ต้นอ่อนเงาทมิฬกำลังดูดกลืนพลังกัดกร่อนนี้งั้นหรือ? หรือว่ามันจะนำไปใช้เป็นสารอาหาร?
ก่อนหน้านี้ที่มาถึงแดนโลกาวินาศ ต้นอ่อนเงาทมิฬถูกกำราบไว้จนถึงจุดต่ำสุด ถึงแม้ปราณเซียนที่แผ่ซ่านออกมาจะสามารถถูกเปลี่ยนเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ปริมาณก็มีจำกัดยิ่งจนไม่เพียงพอต่อการนำไปต่อสู้ของเฉินซี
หรือก็คือหลังจากเข้าสู่แดนโลกาวินาศก็กลายเป็นตัวตนไร้ค่า ยากที่จะใช้ประโยชน์ เสียดายเกินกว่าจะทิ้ง
ทว่าสมบัติชิ้นนี้ที่เฉินซีเกือบลืมไปนานแล้วถึงกับเริ่มเคลื่อนไหวขณะดูดกลืนแสงสีเทาอย่างสบายใจ ทำให้เฉินซีตระหนักได้ทันทีว่านี่คล้ายกับเป็นโอกาสสำหรับการเปลี่ยนสภาพของต้นอ่อนเงาทมิฬ!
ชายหนุ่มเริ่มทำการตรวจสอบจักรวาลภายในร่างกาย แน่นอนว่าหลังจากดูดกลืนพลังของแสงสีเทาเย็นเยือกนี้แล้ว ต้นอ่อนเงาทมิฬจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ท่ามกลางกิ่งก้านใบไม้สีเขียว มีร่องรอยกลุ่มแสงศักดิ์สิทธิ์เลือนราง แม้จะหมองหม่นยิ่งแต่ก็ถือว่าเกิดการเปลี่ยนแปลง
เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้มาจากแสงเย็นเยือกสีเทานั่น!
“หากสามารถดูดกลืนพลังได้เพียงพอ ก็อาจสามารถทำให้ต้นอ่อนเงาทมิฬเกิดการเปลี่ยนแปลงได้… แต่ว่าพลังนี้มาจากไหนกัน? ทำไมต้นอ่อนเงาทมิฬถึงใช้สิ่งนี้แทนสารอาหารล่ะ?”
เฉินซีรีบอนุมานอยู่ภายใน ในความเห็นของเขา หากต้นอ่อนเงาทมิฬสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เขาอาจจะไม่ต้องกังวลเรื่องพลังศักดิ์สิทธิ์แห้งเหือดระหว่างต่อสู้ในภายภาคหน้า ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของพลังศักดิ์สิทธิ์ในการต่อสู้ได้!
เฉินซีสูดหายใจเข้าก่อนความมุ่งมั่นจะวาบผ่านในดวงตา
ในท้องนภา ‘อันดับล่า’ หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ไม่ช้าราตรีมืดมิดก็หายไปประหนึ่งคลื่น
ลำแสงสาดส่องผ่านรุ่งอรุณ
เมื่อรุ่งสางมาเยือน วันใหม่ในการล่ากำลังจะเริ่มขึ้น
เถี่ยอวิ๋นผิงได้สติจากการทำสมาธิ การฟื้นตัวของหญิงสาวนับว่าน่าทึ่ง เหตุผลไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ของนาง แต่เป็นเพราะดวงจิตแห่งเต๋าที่แข็งแกร่ง จึงทำให้ไม่ถูกรบกวนทั้งภายในและภายนอกเมื่อทำสมาธิ
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” เฉินซีหันไปมองเถี่ยอวิ๋นผิงผู้กำลังเดินเข้ามาหาพลางเอ่ยถาม
“เรียนผู้อาวุโส ข้าเพิ่งตระหนักได้เมื่อวานนี้ก่อนจะเริ่มทำความเข้าใจความลับของการต่อสู้ แต่ว่า… มันยังไม่มากพอ” เถี่ยอวิ๋นผิงตอบอย่างจริงจัง
เฉินซีพยักหน้าแล้วเอ่ยคำ “เช่นนั้นก็รีบไปล่ากันเถอะ”
…
ไม่กี่วันต่อมา เฉินซีพาเถี่ยอวิ๋นผิงไปกวาดล้างกลุ่มสัตว์ร้ายบนดวงดาว ระหว่างการสังหารนองเลือดนี้ ความสามารถการต่อสู้ของนางได้รับการขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
อีกด้านหนึ่ง เป็นเพราะความมุ่งมั่นและความพยายามของนาง ส่วนอีกด้านหนึ่ง มันเป็นเพราะการชี้นำของเฉินซี
ในกระบวนการนี้ พวกเขาได้รับแก่นสัตว์อสูรเป็นจำนวนมาก แต่น่าเสียดายที่จนมาถึงตอนนี้ พวกเขายังไม่เผชิญกับสัตว์ร้ายที่มีพละกำลังเทียบเท่าขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเลยสักตัว
“ด้วยความสามารถการต่อสู้ของเจ้าในตอนนี้ เป็นการยากที่จะพัฒนาได้ด้วยการฆ่าสัตว์ร้ายเหล่านี้” ในวันนี้ เฉินซีมองเถี่ยอวิ๋นผิงผู้ได้สติจากการทำสมาธิก่อนจะเอ่ยคำ
“ผู้อาวุโส ท่านอยากให้ฆ่าสัตว์ร้ายที่ทรงพลังกว่านี้งั้นหรือ?” เถี่ยอวิ๋นผิงถาม
“ใช่ ข้าคิดว่าพลังของเจ้าในตอนนี้มากพอที่จะต่อสู้กับขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณธรรมดาได้ ถึงแม้โอกาสที่จะชนะจะน้อยนิด แต่ด้วยการกดขี่ของพลังอันแก่กล้านี้ก็น่าจะสามารถพัฒนาทักษะการต่อสู้ได้มากยิ่งขึ้น” เฉินซีพยักหน้า
“น้อมรับคำสั่งผู้อาวุโส” เถี่ยอวิ๋นผิงไม่กังวลแต่กลับตื่นเต้น ถึงแม้นางจะตกอยู่ในสถานการณ์ไร้ทางหลบหนีในช่วงการล่าไม่กี่วันมานี้ค่อนข้างมาก แต่ตนเองรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงหลังจากเอาชนะได้ทุกครั้ง
ความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นนี้ทำให้นางมีความสุขจนแทบล้นอก แล้วตนจะปฏิเสธได้อย่างไร?
ส่วนเรื่องอันตราย นางได้เห็นมาเยอะแล้ว มันจะไม่มีอันตรายระหว่างต่อสู้ได้อย่างไร?
“เอาละ รุ่งสางวันรุ่งขึ้น พวกเราจะไปจากดาวดวงนี้” เฉินซีตัดสินใจทันทีเมื่อเห็นเช่นนี้
ในตอนนี้ ‘อันดับล่า’ กระจายไปทั่วท้องนภาราตรีอีกครั้ง
สามอันดับแรกยังคงเป็นซูหว่านเอ๋อร์ เสี่ยวหลัวหลั่ว และอี้เทียน แม้กระทั่งศิษย์สิบอันดับแรกก็ยังไม่แปรเปลี่ยน
การเปลี่ยนแปลงที่มากที่สุดอยู่นอกเหนือจากสิบอันดับแรก โดยเฉพาะชื่อภายในห้าสิบถึงหนึ่งร้อยอันดับแรก ชื่อทั้งเก่าและใหม่สลับกันแทบทุกวัน มันแสดงให้เห็นว่าการแข่งขันในการชุมนุมล่าดาราครั้งนี้ดุเดือดเพียงใด
ในเวลาเดียวกัน การชุมนุมล่าดาราก็นับว่าโหดเหี้ยมนัก มีศิษย์มากกว่าหนึ่งพันสองร้อยคนที่อยู่ในรายชื่อถูกคัดออก!
แม้ชื่อของเถี่ยอวิ๋นผิงจะไม่อยู่บนอันดับล่า แต่เทียบกับศิษย์เหล่านั้นที่ถูกคัดออกแล้ว นางยังนับว่าโชคดี
แต่ถ้านางอยากทะลวงหนึ่งร้อยอันดับแรก มันก็ยังเป็นหนทางที่ยาวไกลนัก
ไม่ช้า กลิ่นอายกัดกร่อน ชั่วร้าย และน่าพรั่นพรึงปกคลุมสถานที่ในยามราตรี โดยปราณกระบี่สีเทาทะยานสู่ท้องนภาเพื่อฟาดฟันอันดับล่า
ปราณกระบี่กระจ่างชัดปรากฏขึ้นอีกครั้งดังที่คาดไว้ มันทำการโจมตีขัดขวางปราณกระบี่สีเทาไปมา
ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแทบทุกคืน
เฉินซีไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่เขาก็ไม่หยุดนิ่ง ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ เขาจะเริ่มออกค้นหาปราณกระบี่สีเทาและแสงสว่างเย็นเยือกที่กระจัดกระจายเพื่อทำการดูดกลืนผ่านต้นอ่อนเงาทมิฬ
แต่น่าเสียดาย ถึงแม้การเก็บเกี่ยวจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่ปริมาณก็ยังน้อยเกินไปจนไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬ
ในวันพรุ่งนี้ พวกเราจะไปสถานที่ที่ปราณกระบี่สีเทาก่อตัวขึ้น ถึงมันจะอันตรายไปหน่อย แต่พวกเราต้องสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬ…
ภายใต้ราตรีกาล สายลมเย็นเยือกพัดผ่าน เฉินซียืนเอามือไพล่หลังเพียงลำพังขณะมองท้องนภาอันไกลลิบ สายตาเต็มไปด้วยความใคร่ครวญอันลึกล้ำ
…………….