บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1608 อสูรร้ายเฟยอี
บทที่ 1608 อสูรร้ายเฟยอี
บนหนึ่งดวงดาวอันปกคลุมด้วยหมอกสีเทาหนาแน่น พื้นดินแร้นแค้นแตกระแหง มีซากโบราณพังทลายมากมาย สายลมพัดพาเม็ดทรายฟุ้งตลบโถมตามกระแส เป็นสภาพอันแร้นแค้นชวนหดหู่
วูบ! วูบ!
สองเส้นแสงทะยานผ่านเวหา สองร่างปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือเฉินซีและเถี่ยอวิ๋นผิง
“ระวังด้วย มีปราณร้ายกาจมากมายกระจายทั่วดาวดวงนี้ ไม่ได้มีแค่อสูรร้าย ยังมีผู้เข้าร่วมการล่าอีกหลายคนด้วย” สายตาของเฉินซีกวาดมองทั่วทิศ ขณะที่เจตจำนงอันยิ่งใหญ่กวาดออกตรวจสอบ ตัดสินสถานการณ์โดยสังเขปบนดาวดวงนี้ได้ในทันที
หัวใจของเถี่ยอวิ๋นผิงสั่นสะท้าน พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
“ห่างออกไปสี่หมื่นห้าพันลี้ มีอสูรร้ายตนหนึ่งซึ่งเทียบได้กับตัวตนของเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณอยู่ ปราณของมันไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก เจ้าลองสู้กับมันดูได้” สายตาของเฉินซีเรืองประกายเย็นวาบ ใช้เจตจำนงแข็งกล้าเล็งเป้าที่อสูรร้ายเร้นกายตนหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
เคร้ง!
เถี่ยอวิ๋นผิงชักกระบี่สีครามของนางออกมา เข้าสู่สภาวะพร้อมรบในพริบตา ใบหน้าจิ้มลิ้มกระจ่างขาวของนางปกคลุมด้วยสีหน้าเย็นเยียบเฉียบคม
“มา” เมื่อเขาเห็นเช่นนี้ เฉินซีก็สะบัดแขนเสื้อ พาเถี่ยอวิ๋นผิงทะยานร่างจากไปอย่างไร้ลังเล
…
ทั่วทิศทรุดโทรมเสื่อมสลาย อาคารโบราณถล่มกอง เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา
ยากนักที่จะคาดเดาว่ายามอาคารโบราณเหล่านี้เป็นเช่นไรยามถูกสร้างขึ้น หรือพวกมันเหลือเพียงซากเช่นนี้มาแต่ยามใด
บางทีดวงดาวนี้อาจเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยเมื่อเนิ่นนาน ทั้งยังเกิดอารยธรรมการบ่มเพาะขึ้น ทว่าปัจจุบัน กาลเวลาผ่านไปเช่นประกายแสง สรรพสิ่งเหลือเพียงซากแห่งความหลัง
“ลงมือ!” อาภรณ์ของเฉินซีโบกไสว ชี้ไปยังซากปรักหักพังไกลออกไป ริมฝีปากเปล่งเพียงสองพยางค์
วูบ!
ไม่ทันสิ้นคำ หนึ่งปราณกระบี่มาดร้ายคมกริบอันบรรจุกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์แผดผลาญก็ถูกเถี่ยอวิ๋นผิงฟาดออกไป
มันทะลวงสุญตา ฟาดฟันลงสู่ซากปรักหักพังนั้นอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
ทว่าก่อนที่ปราณกระบี่จะทันได้โปรยลง เศษหินทั่วซากโบราณก็พังทลายเป็นเสี่ยง จากนั้นกระแสคลื่นสีชาดก็ระเบิดโถม แสงสีแดงวูบไหว ปราณกระบี่สายนี้ถูกหลอมละลายไปอย่างง่าย ๆ!
มันเป็นฝีมือของอสรพิษประหลาดอันมีรูปลักษณ์ดุร้ายน่าสะพรึงกลัว สองลำตัวสีแดงชาดหนาดุจถังน้ำ เต็มไปด้วยชั้นเกล็ดและตราสัญลักษณ์ลึกลับ หกขาซึ่งดูเหมือนใบดาบเหล็กติดอยู่ที่ท้อง ขณะที่บนหลังมีปีกคู่หนึ่งอันก่อจากกล้ามเนื้อแดงฉาน ให้บรรยากาศโหดเหี้ยมดุร้าย
สัตว์เทวะผู้ดุร้าย เฟยอี!
จากตำนานว่าไว้ เสียงร้องของสัตว์ร้ายตนนี้ฟังดูเหมือนเสียงทารกร่ำไห้ เกิดมาพร้อมความสามารถควบคุมเพลิงเทวะ ผลาญภูเขาต้มสมุทร หลอมสรรพสิ่งได้!
เฟยอีตรงหน้ายิ่งน่ากลัวเกินกว่านั้น เพียงปราณจากมันก็หลอมบริเวณหมื่นลี้รอบตัวเป็นเถ้าถ่าน กระทั่งอากาศยังเบี้ยวบิดสิ้นระเบียบด้วยอุณหภูมิสูงลิบ
ดูประหนึ่งอยู่ท่ามกลางทะเลศิลาหลอม
แอ้~ แอ้~
เห็นได้ชัดว่าเฟยอีตนนี้อารมณ์เสีย แผดเพลิงรัศมีพลุ่งพล่าน เด้งตัวกระโจนเข้าใส่เถี่ยอวิ๋นผิงดุจเกลียวคลื่นถาโถม
เปลวเพลิงโถมทะยานสู่ท้องนภา คลื่นความร้อนกวาดทั่วเวหา ดูประหนึ่งโลกหล้าเจียนหลอมเหลวอย่างแท้จริง
เพียงพริบตา ร่างของเถี่ยอวิ๋นผิงก็ชะงัก ใบหน้าจิ้มลิ้มซีดขาว สีหน้าปรากฏความตกตะลึง ขณะที่พลังศักดิ์สิทธิ์ทั่วร่างคล้ายถูกหยุดนิ่ง ทำให้นางไม่อาจดิ้นรนต่อด้านแม้จะพยายามหนักเพียงไร!
น่ากลัวเพียงใดกัน?
เพียงเสี้ยวปราณจากมันระหว่างการต่อสู้ก็ทำให้นางจนปัญญาขยับตัว
ขณะนี้ในที่สุดเถี่ยอวิ๋นผิงก็เข้าใจว่าตัวนางและเทวารู้แจ้งวิญญาณต่างชั้นกันเพียงใด
เปรี้ยง!
คลื่นความร้อนอันน่าสะพรึงกลัวกวาดเข้าใส่ อุณหภูมิสูงลิ่วดูจะสามารถหลอมเทพจนเหลวได้ พริบตานี้ เถี่ยอวิ๋นผิงรู้สึกว่านางต้องตายแน่ ๆ…
ทว่าในยามคับขันนี้ นางพลันรู้สึกว่าอาภรณ์ของตนถูกคว้า พร้อมกับแรงสายหนึ่งที่ดึงตัวนางออกไปทันที
เสียงแผดร้องอย่างฉุนโกรธขัดใจของเฟยอียังคงดังเสียดโสตมาจากไกล ๆ
ครู่สั้น ๆ ถัดมา เสียงอันสงบเย็นของเฉินซีก็ดังมาจากหน้าก้อนหินตะปุ่มตะป่ำจากสายลมกัดเซาะก้อนหนึ่ง
“ในศึกกับเทวารู้แจ้งวิญญาณ ในใจเจ้าห้ามมีความกลัว และต้องสู้อย่างสุดกำลัง ก่อนหน้านี้ในใจเจ้าคิดว่อกแว่ก ทำให้เจ้าอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ จากการอนุมานของข้า หากเจ้าลงมือตามปกติ อย่างน้อยเจ้าก็จะมีวิธีต้านการโจมตีนั่นอย่างน้อยก็สิบทาง…”
เมื่อนางได้ยินเสียงอันเยือกเย็นของเฉินซี หัวใจของเถี่ยอวิ๋นผิงซึ่งยังหวาดหวั่นไม่หายก็สงบลงอย่างไม่ทันรู้ตัว ฟังคำวิเคราะห์ของผู้อาวุโสอย่างเคร่งขรึมตั้งใจ
หนึ่งถ้วยชาผ่านไป
เฉินซีถามขึ้น “เจ้ารู้สึกเช่นไรบ้าง?”
สีหน้าของเถี่ยอวิ๋นผิงเยือกเย็น ดวงตาปรากฏความปรารถนาสู้ศึกขึ้นอีกครั้ง “ผู้อาวุโส ข้าอยากสู้กับมันอีกเจ้าค่ะ!”
ชายหนุ่มพยักหน้า หากเป็นผู้ที่ดวงจิตแห่งเต๋าขาดความหนักแน่น คนผู้นั้นก็จะเสียสติจากแรงกดดันของความเป็นความตาย แต่เถี่ยอวิ๋นผิงไม่ใช่เช่นนั้น
หญิงสาวผู้นี้ดื้อดึงจนแม้แต่เฉินซียังอดนึกประหลาดใจไม่ได้ และยิ่งรู้สึกชื่นชมนางยิ่งกว่าเก่า
…
ตู้ม!
ตั้งแต่เช้าตรู่จนย่ำค่ำ เสียงปะทะต่อสู้ดังขึ้นเป็นระลอกในแดนดินนี้ ไม่ได้หยุดลงเลย
ตะวันอัสดงแผดผลาญดุจเปลวเพลิง ฉาบไล้ใบหน้าจิ้มลิ้มของเถี่ยอวิ๋นผิง เพิ่มรัศมีบริสุทธิ์หนักแน่น
กำลังกายของนางเจียนสูญสลาย ใบหน้าซีดขาวเช่นกระดาษ ทั่วร่างอาบด้วยชั้นเหงื่อ ยิ่งกว่านั้น มือที่ถือกระบี่ของนางสั่นน้อย ๆ อย่างช่วยไม่ได้
นางลืมไปนานแล้วว่าตนล้มเหลวมากี่หน เผชิญอันตรายถึงชีวิตมากี่ครั้ง นางทราบเพียงว่า ทุกความผิดพลาดที่ตนเผชิญ โอกาสที่นางจะปราบเฟยอีได้ก็เพิ่มขึ้นทีละน้อย มอบประโยชน์เกินประมาณให้การบ่มเพาะในภายหน้า
ดังนั้นนางจึงกัดฟันดิ้นรนมาตลอดทาง ไม่คิดรามือ
นางพ่ายแพ้ซ้ำ ๆ! แต่ก็แข็งแกร่งขึ้นจากทุกความพ่ายแพ้!
หลังหลั่งเลือดขัดเกลาตนเองอย่างบากบั่นพากเพียร ไม่ว่าความสามารถโดยกำเนิดจะธรรมดาเพียงไร ชีวิตของคนผู้นั้นก็ย่อมไม่ธรรมดา
ระหว่างเรื่องทั้งหมด เฉินซีรับผิดชอบปกป้องนางอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่เถี่ยอวิ๋นผิงเผชิญอันตรายใกล้เพลี่ยงพล้ำ เขาก็จะยื่นมือช่วยเหลือ แก้ไขความเลินเล่อผิดพลาดในวิชาการต่อสู้ของนาง
ในใจเขา เถี่ยอวิ๋นผิงขณะนี้คือดักแด้ที่พยายามฉีกรังไหม แปรสภาพเป็นผีเสื้ออย่างเต็มที่ ชายหนุ่มอดคิดลุ้นรอขึ้นมาน้อย ๆ มิได้ว่าหญิงสาวผู้นี้จะพัฒนาบนเส้นทางแสวงเต๋าได้ไกลเพียงใด
เปรี้ยง!
เถี่ยอวิ๋นผิงแพ้พ่ายอีกหน ทว่าขณะที่เฉินซีกำลังจะพานางไปพักครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาโจมตีต่อนั้นเอง เฟยอีกลับแผดเสียงเดือดดาลอย่างยิ่ง แล้วร่างของมันก็วูบไหวหนีไปไกล
มันคับแค้นใจยิ่งจริงแท้!
ทุกครั้งที่มันจะฆ่าเถี่ยอวิ๋นผิงได้ นางจะถูกพาตัวไป แล้วครู่สั้น ๆ ต่อมา นางก็จะพุ่งเข้ามาโจมตีมันอีก เรื่องนี้วนเวียนซ้ำ ดูไม่มีจุดจบเลย!
สิ่งนี้ทำให้เฟยอีเจียนระเบิดด้วยโทสะ ขณะเดียวกัน ความหวาดหวั่นสุดขั้วต่อเฉินซีก็เพิ่มขึ้นในใจ มัน ตระหนักชัดเจนว่าชายหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งน่ากลัวเกินไป หากเขาลงมือ มันคงตายไปนานแล้ว
ดังนั้นท้ายที่สุดมันจึงหนีอย่างเด็ดเดี่ยว!
“คิดหนี?” เฉินซีเลิกคิ้ว เขาประมาณได้ว่าในไม่ช้า เถี่ยอวิ๋นผิงจะสามารถฆ่าเฟยอีได้โดยใช้เพียงความสามารถของนาง เหตุที่นางทำไม่ได้ในยามนี้ก็เป็นเพราะเปลืองแรงในสองสามวันนี้มามากเกินไปเท่านั้น
ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าเขาจะฆ่าเฟยอียามเถี่ยอวิ๋นผิงฟื้นตัวสมบูรณ์ แต่ยามนี้มันกลับหนีไป แล้วเฉินซีจะยอมให้เกิดได้หรือ?
ฟิ่ว!
พริบตาที่เฟยอีหนี ร่างสูงใหญ่ก็ไหวกายไล่ล่าทันใด
“สหายเอ๋ย ขออภัยด้วย แต่เจ้าควรจะอยู่แต่โดยดี!” เฉินซีแบมือ สาดรัศมีเรืองรองประดุจนภาโปรยลง
ฟิ่ว!
ขณะที่การโจมตีนี้กำลังจะปิดทางหนีของเฟยอีนั้นเอง เสียงแหวกอากาศแหลมเล็กก็ดังขึ้น
วูบ!
หนึ่งศรทะลวงเวหา พุ่งเข้าใส่เฟยอีด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเฉินซีบูดบึ้งโดยพลัน คิดชุบมือเปิบกันหรือ?
เปรี้ยง!
เขาสะบัดแขนเสื้อ สาดรัศมีเรืองรองสายหนึ่งออกไปปะทะ ป่นศรนั้นแหลกเละ ละอองแรงโปรยปราย ทำให้เฟยอีพ้นหายนะไปได้
วูบ! วูบ! วูบ!
ทว่าก่อนเฉินซีจะได้ลงมือต่อ เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นเป็นชุดไม่หยุดหย่อนจากแสนไกล
จะมากไปแล้วนะ! ประกายเย็นเยียบวูบไหวในดวงตา มือแกร่งคว้ากำรอบศรดอกหนึ่งได้โดยไม่แม้แต่จะเหลียวมอง มันเป็นสีทองทั้งดอก สลักอักขระลึกลับ อัดแน่นด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ คมกริบเปี่ยมปริศนา สามารถยิงทะลวงข้ามมิติได้
ตู้ม!
ศรสีทองเรืองรัศมีเจิดจ้า ทวีความเร็วเป็นสองเท่า พุ่งทะยานไปไกล
เปรี้ยง!
ท่ามกลางเสียงอึกทึกเลื่อนลั่น หนึ่งบุคคลถูกฟาดกระเด็นไป ริมฝีปากกระอักเลือด เขาเป็นชายหนุ่มชุดดำ คันธนูยาวในมือระเบิดเป็นเสี่ยง สภาพบาดเจ็บสาหัส
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้เข้าร่วมล่าคนหนึ่ง และแม้จะร้ายกาจ แต่ก็ด้อยกว่าตนอยู่ไม่น้อย
น่าเสียดายที่หนนี้ ผู้ลงมือไม่ได้มีเพียงเขา แม้เฉินซีคว้าศรได้ดอกหนึ่ง แต่ก็ยังมีศรดอกอื่นอีกมากมายพร่างพรมรวดเร็วหนาแน่นจากทิศอื่นอยู่
ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขามาดักซุ่มอยู่ในบริเวณรอบข้างอยู่นานแล้ว และตั้งใจฉวยโอกาสนี้ชุบมือเปิบ กอบโกยผลประโยชน์ให้ตนเอง
สิ่งที่ชวนโมโหที่สุดคือ ศรส่วนหนึ่งมุ่งหน้าไปหาเถี่ยอวิ๋นผิง!
ท้ายที่สุด เฉินซีก็ได้แต่ทิ้งเฟยอี ไหวร่างไปขวางเถี่ยอวิ๋นผิงและรับมือการโจมตีทั้งหลาย
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
ขณะเดียวกัน ร่างของเฟยอีถูกพายุศรปักเข้าใส่ ทำให้โลหิตสาดกระเซ็น ส่งเสียงแผดร้องโหยหวน สิ้นใจลงทันที
“ฮ่า ๆ ๆ! ในที่สุดข้าก็ฆ่าเหยื่อขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณได้อีกตัวแล้ว!”
“ยินดีด้วย! ยินดีด้วย!”
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือ”
เสียงเฮฮาเสสรวลดังสนั่นมาไกล ๆ
สายตาของเฉินซีถลึงมองไปอย่างเย็นเยียบ และเห็นชายหญิงสิบกว่าคนรวมตัวกัน พวกเขามีทั้งผู้เข้าร่วมชุมนุมล่าดารา รวมถึงหัวหน้ากลุ่มและทาสเทพปะปนกัน
วิชาต่อสู้ของพวกเขาทำให้เฉินซีสรุปได้ว่าคนเหล่านี้เป็นศิษย์ตระกูลอี้
เรื่องนี้ธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่เถี่ยอวิ๋นผิงเป็นผู้เข้าร่วมจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต กองกำลังสูงสุดอย่างตระกูลอี้ย่อมไม่ขาดศิษย์ที่เข้าร่วมชุมนุมเช่นกัน
“สารเลวพวกนี้กล้ากำเริบเสิบสาน เช่นนั้น ก็อย่าโทษข้าที่ไม่ปรานีแล้วกัน…” สีหน้าของเฉินซีเย็นเยียบ หันไปมองเถี่ยอวิ๋นผิงซึ่งมีสีหน้าไม่น่ามองเช่นกัน “เราไปกันก่อนเถอะ”
“ไป?” เถี่ยอวิ๋นผิงผงะไป นางไม่อาจทนความคับแค้นนี้ได้เล็กน้อย
“ใช่ ในเมื่อพวกมันคิดจะทำตัวไร้ยางอาย เช่นนั้นเราก็จะเล่นกับพวกมันหน่อย!” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเยือกเย็น ดวงตาฉายประกายเย็นเยียบเล็กน้อย
ในที่สุด เถี่ยอวิ๋นผิงก็เข้าใจว่าเฉินซีไม่คิดกล้ำกลืน และมีแผนอื่นอยู่
“พวกเจ้าทั้งสองหยุดตรงนั้นเลย!” ทว่าขณะที่เฉินซีกับเถี่ยอวิ๋นผิงคิดจากไป หนึ่งเสียงเย็นเยียบดุร้ายก็ตะเบ็งมาด้วยน้ำเสียงสั่งการวางอำนาจ
เฉินซีขมวดคิ้ว สีหน้ายิ่งเยือกเย็นไร้อารมณ์ ไม่ได้สนใจคนผู้นั้น นำเถี่ยอวิ๋นผิงจากไปไม่คิดเหลียวมอง
“ไอ้เวร! ทำร้ายคนของเราแล้วคิดจะจากไปเฉย ๆ หรือ?” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับศรทองดอกหนึ่งก็ระเบิดเข้าใส่หลังของเฉินซี ฉาบด้วยจิตสังหารชวนสะพรึง