บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1611 ตัดสินใจ
บทที่ 1611 ตัดสินใจ
เมื่อเวลาผ่านไป การแข่งขันในการชุมนุมล่าดารา ก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น ในขณะที่ช่องว่างระหว่างผู้เข้าร่วมก็ขยายกว้างขึ้นหรือแคบลงอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งไม่อาจคาดเดาได้…
ถึงอย่างไร ตั้งแต่การชุมนุมล่าดาราเริ่มต้นขึ้น ผู้เข้าร่วมห้าอันดับแรกแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง และหาได้ยากที่จะมีหน้าใหม่ปรากฏขึ้น
โดยเฉพาะผู้เข้าร่วมที่อยู่ในสิบอันดับแรก แม้ช่องว่างระหว่างการจัดอันดับอาจจะมีมากหรือน้อย แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใด ๆ
เช่นเดียวกับสามอันดับแรกยังคงเป็น ซูหว่านเอ๋อร์ เสี่ยวหลัวหลั่ว และอี้เทียน แต่ผลงานของพวกเขากลับมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง และทำให้ช่องว่างระหว่างพวกเขากับผู้เข้าร่วมห่างชั้นกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นหากใครต้องการเอาก้าวข้ามคนในคนหนึ่งในหมู่พวกเขาภายในหนึ่งเดือน ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้
…
“การล่าได้ดำเนินมาหนึ่งเดือนเต็มแล้ว และผู้เข้าร่วมสามอันดับแรกก็นำหน้าไปไกลมาก ดูเหมือนสามอันดับแรกของการแข่งขันครั้งนี้จะต้องตกเป็นของทั้งสามอย่างแน่นอน”
ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว โม่จ้านผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายศักดิ์สิทธิ์หยกนภากล่าวพลางลูบเครา และความเห็นของเขาก็รับได้การยอมรับเป็นที่เอกฉันท์จากผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ
ณ จุดนี้ของการล่า เพียงแค่อี้เทียนที่อยู่ในอันดับสามก็สังหารสัตว์ร้ายขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณมากกว่าผู้เข้าร่วมอันดับสี่ถึงสามเท่า ช่องว่างดังกล่าวดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่จะขยับเข้าใกล้หรือก้าวข้ามภายในหนึ่งเดือน
ณ เวลานี้ สิ่งที่ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้กังวลมากที่สุดคือใครในหมู่ซูหว่านเอ๋อร์ เสี่ยวหลัวหลั่ว และอี้เทียนจะได้อันดับหนึ่ง
“เฮอะ! ในความคิดของข้า แทนที่จะบอกว่าการชุมนุมล่าดาราในครั้งนี้เป็นการแข่งขันระหว่างผู้เข้าร่วม จะเป็นการดีกว่าถ้าบอกว่าเป็นการแข่งขันระหว่างผู้นำกลุ่มของพวกเขา” ทันใดนั้น ผู้อาวุโสจากนิกายกระบี่วิถีราชาก็เค้นเสียงเย็น
“ไม่ว่าใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลม ย่อมรับรู้ได้ว่าซูหว่านเอ๋อร์ เสี่ยวหลัวหลั่ว และอี้เทียนจะไม่สามารถบรรลุความสำเร็จดังกล่าวได้อย่างแน่นอน โดยอาศัยความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของตนเพียงอย่างเดียว”
ทันทีที่สิ้นคำนี้ สีหน้าของคนอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในทางกลับกัน โม่จ้านจากนิกายศักดิ์สิทธิ์หยกนภา เมี่ยวหยาจากอารามเต๋าสัจวิญญาณ และอี้เหวินจากตระกูลอี้กลับมีท่าทางเย็นชาเล็กน้อย
พวกเขาย่อมเห็นความนัยจากวาจาเหล่านี้ได้อย่างปริยาย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสื่อว่า การที่ซูหว่านเอ๋อร์ เสี่ยวหลัวหลั่ว และอี้เทียนประสบความสำเร็จเช่นนี้ เพราะพวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากอัจฉริยะรุ่นเยาว์อย่าง กวนหงอวี่ เสวียนท่าจื่อ และอี้สวิน
แม้ว่านี่จะเป็นความจริง แต่การถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคน ยังคงทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง
“เฮอะ แล้วในบรรดาผู้เข้าร่วมการชุมนุมล่าดาราครั้งนี้ มีผู้ใดไม่ได้พึ่งพาความช่วยเหลือจากหัวหน้ากลุ่มของตนบ้าง?” โม่จ้านหัวเราะเบา ๆ “นี่คือแนวทางปฏิบัติที่จัดตั้งขึ้น ถ้านิกายกระบี่วิถีราชาไม่พอใจกับสิ่งนี้ งั้นเจ้าก็สามารถส่งผู้นำกลุ่มที่มีความสามารถพอที่จะช่วยเหลือศิษย์นิกายของเจ้าที่เข้าร่วม จริงหรือไม่?”
ผู้อาวุโสจากนิกายกระบี่วิถีราชากล่าวด้วยความไม่พอใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “เจ้าแค่อธิบายข้อเท็จจริง ข้าไม่เชื่อว่าความสำเร็จของผู้เข้าร่วมทั้งหมดจะไม่ได้มาจากการมีส่วนร่วมของผู้นำกลุ่ม!”
ทันทีที่สิ้นคำ ทุกคนอดไม่ได้ที่จะยิ้มและส่ายศีรษะ คนผู้นี้จริงจังกับเรื่องนี้มากเกินไปจริง ๆ เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธเคืองเพราะศิษย์ของนิกายเขาไม่สามารถขึ้นสู่สามอันดับแรกได้
“สิ่งที่ผู้อาวุโสหลี่สงกล่าวเป็นความจริง มีคนที่ขึ้นสู่ร้อยอันดับแรกโดยไม่พึ่งความแข็งแกร่งของผู้นำกลุ่ม” ในขณะนี้ จักรพรรดินีอวี้เชอที่เงียบมาตลอดพลันกล่าวขึ้น และทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดตกตะลึงจนไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
จะมีคนที่ฝ่าฟันขึ้นสู่ร้อยอันดับแรก โดยไม่พึ่งพาพลังยุทธ์ของผู้นำกลุ่มจริง ๆ เหรอ?
มีคนอดถามไม่ได้ “ข้าน้อยขอทูลถามฝ่าบาทได้หรือไม่ ว่าศิษย์คนนั้นคือใคร”
“หญิงสาวที่เพิ่งขึ้นสู่ร้อยอันดับแรก” จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าวอย่างสบาย ๆ จากนั้นเพ่งสายตาที่เย็นเฉียบราวกับสายน้ำในสารทฤดูมุ่งสู่ส่วนลึกของกลุ่มดาวถาวอู้ ที่ซึ่งม่านแห่งรัตติกาลกำลังจะรูดลงมาอีกครั้ง การปะทะระหว่างกระบี่พิฆาตฟ้ากับกระบี่มลทินอเวจีก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง
น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้ นางยังคงไม่สามารถมองเห็นความหวังใด ๆ ที่จะปราบกระบี่มลทินอเวจีได้
“เถี่ยอวิ๋นผิง?”
“สหายเต๋าหวังลู่ ดูเหมือนหญิงสาวคนนี้จะมาจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตของเจ้ากระมัง? ช่างวิเศษนัก! เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์ตามธรรมชาติของนางไม่ธรรมดาจริง ๆ ถึงขนาดได้รับการยกย่องจากฝ่าบาทเชียวนะ”
“ใช่แล้ว สหายเต๋าหวังลู่ การแสดงฝีมือของนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตของเจ้าในครั้งนี้น่าทึ่งมาก เพราะแท้จริงแล้วเจ้ากลับมีศิษย์ถึงสองที่ติดร้อยอันดับแรก ถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างแท้จริง”
หลังจากที่บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ได้ทราบถึงที่มาของเถี่ยอวิ๋นผิงแล้ว พวกเขาก็จ้องมองไปยังชายชราผมสีเทาในชุดคลุมปัก
เขาเป็นผู้อาวุโสจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิต และมีนามว่าหวังลู่ เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ สถานะของเขาด้อยกว่าเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ทว่าในขณะนี้ เขาได้กลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจแล้ว
สายตาที่จ้องมองเหล่านั้น เต็มไปทั้งความประหลาดใจ ความอิจฉา และความสงสัย ท้ายที่สุดแล้วนิกายศักดิ์สิทธิ์ทุคตินีลโลหิตเป็นเพียงขุมพลังชั้นหนึ่งในดาราจักรทั้งสามพันแห่งในเอกภพมสิหิม และมีขุมพลังที่คล้ายกันอย่างน้อยมากกว่าร้อยแห่งภายในเอกภพมสิหิมทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังไม่รวมถึงมหาอำนาจเหล่านั้นด้วย
ทว่าตอนนี้ ขุมพลังเช่นนี้กลับมีศิษย์สองคนที่ขึ้นสู่ร้อยอันดับแรกของการการชุมนุมล่าดารา ดังนั้นมันจึงทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้ว แม้กระทั่งมหาอำนาจในเอกภพมสิหิมเช่น ตระกูลอี้ นิกายศักดิ์สิทธิ์หยกนภา อารามเต๋าสัจวิญญาณและนิกายกระบี่วิถีราชา มีศิษย์เพียงสองหรือสามคนในร้อยอันดับแรกเท่านั้น
เขาไม่รู้ว่าตอนนี้เถี่ยอวิ๋นผิงเป็นเพียงศิษย์สายนอกเท่านั้น และสถานะของเขาภายในนิกายก็สูงส่งมาก แล้วเขาจะจดจำชื่อของศิษย์สายนอกได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะคิดเช่นนี้ในใจ แต่หวังลู่ก็ยิ้มอย่างถ่อมตนและกล่าวว่า “สหายเต๋าเยินยอเกินไปแล้ว มันเป็นแค่โชคเท่านั้น”
ในเวลาเดียวกัน ในใจกลับตัดสินใจแล้วว่า เขาจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้หลังจากที่กลับไปยังนิกาย ว่าเถี่ยอวิ๋นผิงผู้นี้เป็นศิษย์ของใคร ยิ่งไปกว่านั้น ถ้านางยังไม่ใช่ศิษย์ของใครเลย เขาก็จะรับนางเป็นศิษย์อย่างแน่นอน!
น่าเสียดาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นหรือหวังลู่ ทั้งหมดต่างไม่ทราบว่าเรื่องทั้งหมดนี้ ต้องขอบคุณการมีส่วนร่วมของบุคคลอื่นที่ทำให้เถี่ยอวิ๋นผิงสามารถบรรลุความสำเร็จดังกล่าวได้
…
บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ต่างพูดคุยกันอย่างมีชีวิตชีวาอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ในขณะที่ผู้บ่มเพาะตามดวงดาวต่าง ๆ ที่ให้ความสนใจกับการชุมนุมล่าดาราอย่างต่อเนื่อง ต่างก็ถกเถียงกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับเหล่าผู้เข้าร่วมที่ติดอันดับเช่นกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ซูหว่านเอ๋อร์ เสี่ยวหลัวหลั่ว และอี้เทียนได้กลายเป็นผู้เข้าร่วมที่ร้อนแรงที่สุดในสายตาของผู้คน
เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว ความสนใจที่เถี่ยอวิ๋นผิงได้รับกลับด้อยกว่ามาก
…
ท่ามกลางราตรีอันมืดมิดดุจน้ำหมึก
การปะทะกันระหว่างกระบี่มลทินอเวจีและกระบี่พิฆาตฟ้าเกิดขึ้นอีกครั้งในท้องฟ้ายามค่ำคืน นี่เป็นครั้งที่สามสิบแล้วในเดือนนี้ และทุกคนก็เริ่มคุ้นเคยกับมัน
เพราะพวกเขาตระหนักดีถึงผลลัพธ์สุดท้ายของการต่อสู้อย่างชัดเจน กระบี่มลทินอเวจีจะต้องพ่ายแพ้และกลับสู่การหลับใหลอีกครั้งอย่างแน่นอน
มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์มากมายจากการปะทะกันเหล่านี้
ตามที่คาดไว้ ยิ่งข้าเข้าใกล้ส่วนลึกของกลุ่มดาวถาวอู้มากขึ้น ไม่เพียงแต่สัตว์ร้ายขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณที่เราสามารถล่าได้จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ข้ายังสามารถรวบรวมปราณอเวจีที่แตกสลายให้กับต้นอ่อนเงาทมิฬเพื่อให้มันเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้นด้วย” เฉินซีดูจมอยู่กับการครุ่นคิดภายใต้ม่านแห่งราตรี
ในระยะนี้ เขาได้ค้นพบจากผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ ว่าสิ่งที่กำลังต่อสู้กับกระบี่พิฆาตฟ้าทุกค่ำคืน เป็นศัสตราวุธที่มีความร้ายกาจอันดับหนึ่งจากภายในความโกลาหลของเอกภพมสิหิม กระบี่มลทินอเวจี
เห็นได้ชัดว่าการที่จักรพรรดินีอวี้เชอได้จัดการชุมนุมล่าดาราในครั้งนี้ ก็เพื่อปราบกระบี่มลทินอเวจีนี้
เฉินซีไม่มีความสนใจใด ๆ ต่อกระบี่มลทินอเวจี แต่เขาสนใจปราณอเวจีมลทินซึ่งเล็ดลอดออกมาจากกระบี่มลทินอเวจีมากกว่า
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปราณอเวจีนั้นเป็นสารอาหารและปุ๋ยที่สามารถช่วยให้ต้นอ่อนเงาทมิฬได้รับการเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างเช่น ในช่วงเวลานี้ เนื่องจากเฉินซีได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดนี้แล้ว เขาจึงลงมือทุกค่ำคืนและคว้าทุกโอกาสเพื่อค้นหาปราณกระบี่จากกระบี่มลทินอเวจีที่ถูกกระบี่พิฆาตฟ้าทำลายจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ จากนั้นจึงมอบมันให้กับต้นอ่อนเงาทมิฬเพื่อดูดซับและเปลี่ยนร่าง
จวบจนถึงบัดนี้ ต้นอ่อนเงาทมิฬมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด มันแวววาวและโปร่งใสอย่างสมบูรณ์ราวกับหยก กิ่งก้านและใบเป็นสีเขียวขจี และเส้นแสงแห่งความศักดิ์สิทธิ์ก็ล่องลอยออกมาจากมันขณะที่มันแกว่งไปมา
โดยเฉพาะกิ่งก้านและใบ มีอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่เจิดจ้าปรากฏขึ้นบนพวกมัน ทั้งยังดูศักดิ์สิทธิ์และลึกลับ
ประโยชน์ที่ได้รับจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้ต้นอ่อนเงาทมิฬมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ให้กับเฉินซีเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ปริมาณของพลังศักดิ์สิทธิ์ก็มีมากขึ้นเช่นกัน
แม้ว่าจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับผลึกศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจพอสมควรเมื่อเปรียบเทียบกับอดีต
สิ่งสำคัญที่สุด นี่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกของต้นอ่อนเงาทมิฬ สิ่งนี้ทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคาดหวังต่อสรรพคุณอันน่าตกใจ หลังจากต้นอ่อนเงาทมิฬเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จอย่างแท้จริง!
…
ในช่วงเวลาต่อมา เฉินซีได้นำเถี่ยอวิ๋นผิงไล่ล่าสัตว์ร้ายอย่างไม่หยุดยั้ง และพวกเขาก็เคลื่อนตัวลึกเข้าไปในกลุ่มดาวถาวอู้อย่างต่อเนื่อง
ในระหว่างกระบวนการทั้งหมดนี้ มีผู้เข้าร่วมจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกกำจัดออกไป และถึงขนาดที่ในวันที่สี่สิบห้าของการชุมนุมล่าดารา เหลือเพียงผู้เข้าร่วมไม่ถึงห้าร้อยคนที่ยังคงไล่ล่าต่อไป
กล่าวอีกนัยหนึ่ง จนถึงขณะนี้ มีผู้เข้าร่วมหลายพันคนได้ตกรอบแล้ว!
ตัวเลขนี้ดูเหมือนจะน้อย แต่ก็เป็นตัวแทนของศิษย์จำนวนมากที่มาจากขุมพลังต่าง ๆ ภายในดาราจักรทั้งสามพันแห่งของเอกภพมสิหิม ตอนนี้พวกเขาถูกกำจัดก่อนที่การชุมนุมล่าดาราจะสิ้นสุดลง และนี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันเข้มข้นเพียงใด
สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือในช่วงเวลาทั้งหมดนี้ อันดับของเถี่ยอวิ๋นผิงยังคงอยู่ที่อันดับหนึ่งร้อย แม้อันดับของนางจะไม่รุดหน้า แต่ก็ยังไม่ถูกแซงเช่นกัน ซ้ำยังดูมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง
เหลือเวลาอีกเพียงสิบห้าวันเท่านั้น แต่ต้นอ่อนเงาทมิฬยังอีกไกลก่อนที่มันจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างสมบูรณ์ ถ้ายังดำเนินไปตามอัตราความเร็วนี้ ต้นอ่อนเงาทมิฬจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ ในวันนี้ เฉินซีจมอยู่การครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งในตอนกลางคืน
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าจะช่วยเจ้าจัดการกับสัตว์ร้าย และเจ้าจะรับผิดชอบในการฆ่าพวกมัน” ในท้ายที่สุด เขาก็ตัดสินใจและบอกเถี่ยอวิ๋นผิงเกี่ยวกับเรื่องนี้
ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เขาจึงจะสามารถช่วยให้เถี่ยอวิ๋นผิงขึ้นสู่สิบอันดับแรกพร้อมกับเร่งความเร็วในเข้าใกล้ส่วนลึกที่สุดของกลุ่มดาวถาวอู้ และต่อสู้แสวงหาโอกาสสำหรับต้นอ่อนเงาทมิฬ เพื่อให้มันเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ
เถี่ยอวิ๋นผิงตกตะลึง นางไม่เคยคาดหวังว่าเฉินซีจะตัดสินใจเช่นนั้น เพราะที่ผ่านมา เขาไม่เคยช่วยนางจัดการกับสัตว์ร้ายเลยสักครั้ง
ทว่านางก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพราะนางเชื่อใจเฉินซีและนั่นก็เพียงพอแล้ว
ในเวลาเดียวกัน บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว จักรพรรดินีอวี้เชอก็ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “อวิ๋นชิงเหลือเวลาอีกเพียงสิบห้าวันเท่านั้น ดูเหมือนว่าเราคงต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด….”