บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1614 จิตสังหาร ณ ดาววารีทศทมิฬ
บทที่ 1614 จิตสังหาร ณ ดาววารีทศทมิฬ
หนึ่งวันถัดมา
หนึ่งท้องสมุทรซัดสาดบ้าคลั่ง เกลียวคลื่นโถมทะยานสู่ฟ้า
นี่คือหนึ่งดวงดาวอันปกคลุมสมบูรณ์ด้วยมหาสมุทรไร้ขอบเขต สายลมพลิ้วผ่าน คลื่นมิติปั่นป่วนอัดแน่นทุกพื้นที่
คลื่นซัดถาโถมประหนึ่งทวยเทพคำรนด้วยโทสะ สะท้านเก้าชั้นสรวง เลื่อนลั่นจรดปฐพี
วูบ! วูบ!
สองร่างทะยานข้ามมิติมาปรากฏที่นี่ หนึ่งสูงใหญ่หนึ่งเล็กบาง เมื่อพวกเขามาหยุดยืนเหนือเกลียวคลื่นสาดกระหน่ำ ก็ดูราวจอกแหนอันพร้อมถูกสมุทรถล่มจมได้ทุกเมื่อ ทว่าทันทีที่ทั้งสองทรงตัวได้ กลับนิ่งดุจหินผา ไม่ว่าสายลมจะพัดพาเช่นไรก็ไม่ไหวติง
คนทั้งสองย่อมเป็นเฉินซีและเถี่ยอวิ๋นผิง
วาบ!
ประกายแสงสีเขียวเรื่อเรือง แล้วหนึ่งพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ใบเขียวขจี ลำต้นกิ่งก้านหนาแข็งแรงก็ละล่องปรากฏขึ้นข้างกายเฉินซี หยั่งรากชอนไชมิติว่องไวเช่นเส้นหนวด
ต้นอ่อนเงาทมิฬ!
ทันทีที่มันได้หยั่งราก คลื่นอำนาจอันไม่อาจมองเห็นก็กวาดไปทั่วทิศ อัดแน่นด้วยอำนาจกลืนกินอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้ปราณมลทินอเวจีซึ่งปกคลุมบนอากาศเหมือนถูกตาข่ายคลุมลาก ดูดซับเป็นสารอาหารให้แก่ต้นอ่อนเงาทมิฬ
ดาวดวงนี้ตั้งอยู่ในส่วนลึกของกลุ่มดาวถาวอู้ ฟ้าดินปกคลุมไปด้วยปราณมลทินอเวจีสีเทาอันหนาแน่นดุจจับต้องได้ ดุจม่านควันอันปรากฏทุกแห่งหน
มันดูไร้พิษภัย ทว่าหากปล่อยมันแทรกซึมสู่ร่างได้ยามใด รากฐานแห่งเต๋าของคนผู้นั้นจะแปดเปื้อน กระทั่งเทพยังจมในบาปอันไร้สิ้นสุด น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ทว่าสำหรับต้นอ่อนเงาทมิฬ ปราณมลทินอเวจีนี้เปรียบดั่งยาบำรุง เมื่อมีมันอยู่ เฉินซีจึงมิต้องห่วงอันตรายจากปราณมลทินอเวจี
หากเปลี่ยนเป็นผู้เข้าร่วมชุมนุมคนอื่น นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนผู้นั้นแน่นอน อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ต้องใช้อำนาจเต็มที่ในการยับยั้งการแทรกซึมของปราณมลทินอเวจี
เฉินซีเห็นเช่นนี้ก็ไม่คิดสนใจอีก เจตจำนงอันร้ายกาจปะทุกวาดออกไปปกคลุมพื้นที่แสนลี้รอบข้าง
ต่อมา เมื่อพบเป้าหมาย จึงพาเถี่ยอวิ๋นผิงทะยานไปหามันอย่างรวดเร็ว
…
โฮก!!
โฮก!!
เสียงคำรามสัตว์ร้ายสะเทือนเลื่อนลั่นตามกันเป็นระลอกในมหาสมุทรอันบ้าคลั่ง สะท้านนทีจนเสาวารีพุ่งสูงสู่เวหา ทั่วทิศรวนเรไร้ระเบียบ
หลังจากนั้น ราชสีห์น้ำแข็งเก้าเศียรตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากมหาสมุทร เก้าศีรษะเชิดคำรามสู่นภา ดูเหมือนคิดจะทลายหมู่ดาวด้วยเสียงคำรามนี้
แทบจะพร้อมกันนั้น เต่ามังกรอันมีร่างเป็นมังกร มีกระดองเช่นเต่าตัวหนึ่งก็ลอยขึ้นมาบนผิวสมุทร ขาดุจเสาค้ำสวรรค์ ร่างมีขนาดถึงหมื่นลี้ ดูประหนึ่งทวีปลอยน้ำ
ซ่า!
นั่นไม่ใช่จุดจบ หลังจากราชสีห์น้ำแข็งเก้าเศียรและเต่ามังกรปรากฏกาย วานรเทพแขนยาวสูงร้อยจั้ง เส้นขนดกหนา ท่าทางดุร้าย บรรยากาศป่าเถื่อนร้ายกาจตัวหนึ่งก็กระโจนขึ้นจากสมุทร อ้าปากออกกลืนสรรพสิ่งทั่วทิศ!
เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นสามเจ้าถิ่นซึ่งอาศัยอยู่ก้นสมุทร แต่ละตัวมีพลังศักดิ์สิทธิ์ร้ายกาจดุดัน แข็งแกร่งเทียบได้กับเทวารู้แจ้งวิญญาณสูงสุด
หลังจากพวกมันทั้งสามปรากฏขึ้นตามกัน สายตาและเจตจำนงของพวกมันก็กวาดไปทางเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง
ที่นั่นมีหนึ่งชายหนึ่งหญิงยืนอยู่ ซึ่งไม่พ้นเฉินซีกับเถี่ยอวิ๋นผิง
“เรามิได้โชคร้ายนักนะ” เฉินซีแย้มยิ้ม กวาดสายตามามอง
พรึ่บ!
เพียงพริบตา ร่างของเขาก็หายวับไป เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็มายืนตรงหน้าอสูรร้ายทั้งสามแล้ว
ขณะนี้ เรือนผมดำดกหนาและอาภรณ์ของเฉินซีไสวตามลม ดวงตาเรืองประกายเย็นเยียบเสียดแทงอย่างลึกล้ำ
เมื่อมองมาจากไกล ๆ แม้ร่างของเขายามเทียบสามอสูรร้ายจะเล็กจ้อยร่อย แต่ปราณทรงพลังของเขาดูประหนึ่งราชันไร้เทียมทานผู้ปกครองโลกหล้า
เคร้ง!
หนึ่งเสียงกระบี่ดังสะท้อนยามยันต์ศัสตราพ้นฝัก!
หนึ่งศึกปะทุขึ้นอย่างไร้เหตุผลใด!
…
แทบจะพร้อมกันนั้น เถี่ยอวิ๋นผิงซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปลืมตาขึ้น ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึมตั้งอกตั้งใจ
นับแต่เฉินซีเริ่มเข้าแทรกแซงการล่า เถี่ยอวิ๋นผิงก็ได้ประจักษ์แก่การต่อสู้เช่นนี้มามากกว่าหน และกลายเป็นเพียงผู้เฝ้าสังเกตศึก แต่ถึงเช่นนั้น แค่การพินิจศึกเหล่านี้ก็ทำให้นางตะลึงถึงขีดสุด
ในอดีต นางตระหนักชัดแล้วว่าอำนาจต่อสู้ของเฉินซีร้ายกาจยิ่งนัก เหนือชั้นยิ่งกว่าเทวารู้แจ้งวิญญาณทั่วไป ทว่าผลงานของเฉินซีตลอดทางมานี้ได้ล้มล้างการประเมินของนางลงครั้งแล้วครั้งเล่า จนบัดนี้นางมิกล้าคาดเดาแล้วว่าความแข็งแกร่งของเฉินซีอยู่ในระดับใดกันแน่
เพราะบนเส้นทางอันมุ่งสู่ส่วนลึกของกลุ่มดาวถาวอู้นี้ ความแข็งแกร่งของเหล่าอสูรร้ายที่พวกนางได้พบมาตลอดนางก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทว่าเฉินซีกลับยังสามารถทำให้พวกมันบาดเจ็บสาหัสได้อย่างง่ายดายและใช้เวลาน้อยนิดยิ่ง ไม่เคยผิดพลาดแม้เพียงหน!
เสียงร้องโหยไห้เจียนสิ้นใจดังสนั่นมาไกล ๆ ศีรษะของเต่ามังกรถูกฟาดฟัน ทำให้โลหิตหลั่งทะลักเช่นน้ำตก ย้อมสมุทรในละแวกแดงฉาน
เหตุการณ์นี้กระชากเถี่ยอวิ๋นผิงกลับมาจากภวังค์ครุ่นคิด และนางก็ลงมือโดยแทบใช้เพียงสัญชาตญาณ มือของนางกุมกระบี่สีน้ำเงินเข้ม จบชีวิตเต่ามังกรซึ่งบาดเจ็บสาหัสเจียนตายลง การเคลื่อนไหวของนางดูชำนิชำนาญเป็นธรรมชาติ ร่วมมือกับเฉินซีได้อย่างรวมใจเป็นหนึ่ง
ระหว่างทาง นางล่าสังหารเหยื่อของนางเช่นนี้เสมอ และตำแหน่งอันดับของนางก็ไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ
เถี่ยอวิ๋นผิงไม่ได้รู้สึกผิดใด ๆ เพราะนางตระหนักชัดมานานแล้วว่าผู้เข้าร่วมชุมนุมแทบทุกคนใช้กลยุทธ์นี้ ยิ่งกว่านั้น มันยังมิใช่การฝ่าฝืนกฎ นี่คือเรื่องสำคัญที่สุด
ในเมื่อผู้อื่นทำได้โดยไม่ใช่การฝืนกฎ แล้วนางหรือจะทำบ้างมิได้?
และยามนี้เองที่เถี่ยอวิ๋นผิงเข้าใจเสียที ว่าเฉินซีมิได้พูดโอ้อวดหรือปลอบใจนาง ยามเขาตกลงว่าจะช่วยให้นางขึ้นสู่สิบอันดับแรก เขาทำมันได้จริง ๆ!
แม้ว่าตำแหน่งของนางในขณะนี้จะห่างไกลจากสิบอันดับแรก เถี่ยอวิ๋นผิงก็ยังมั่นใจนักว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกนางจะทำได้แน่นอน
โฮก!
เสียงกู่ก้องอันโหยหวนเจ็บปวดสะท้อนในเวหา แปดในเก้าหัวของราชสีห์น้ำแข็งเก้าเศียรถูกสะบั้น หัวสุดท้ายที่เหลืออยู่แผดเสียงสนั่น ขนสีขาวดุจหิมะทั่วกายถูกโลหิตย้อมแดง
เถี่ยอวิ๋นผิงพุ่งออกไปอีกครั้ง เพียงหนึ่งทะยานตัวฟันก็เก็บเกี่ยวชีวิตของมันอย่างสุขุมชำนาญ ไม่มีแม้แต่คลื่นกระเพื่อมในใจ
แม้ว่านางจะเป็นผู้เฝ้าสังเกตเสียส่วนใหญ่ แต่นางก็ได้เรียนรู้มากมายเช่นกัน สภาพจิตใจแปรสภาพไปอย่างต่อเนื่อง หยุดกลัวเหล่าอสูรร้ายอันโหดเหี้ยม และแม้จะแข็งแกร่งไม่เท่า นางก็ไม่มีทางหวั่นไหวหวาดกลัวอสูรร้ายเหล่านั้นอีกต่อไป
ภายหน้า สภาพจิตใจอันหนักแน่นสำรวมนี้จะสร้างผลประโยชน์เกินธรรมดาในการบ่มเพาะของนางแน่นอน
เถี่ยอวิ๋นผิงเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ และทราบว่านี่คือสิ่งที่เฉินซีหวังให้เกิดที่สุด
ไกลออกไป เฉินซีเก็บยันต์ศัสตรา อาภรณ์อันไร้รอยด่างพร้อยโบกไสวตามลม กลับสู่บรรยากาศเรื่อยเฉื่อยไร้พะวง
ขณะเดียวกัน วานรเทพซึ่งเหลืออยู่ตัวสุดท้ายนอนหายใจรวยรินบนผิวสมุทร เหลือเพียงพลังชีวิตอันริบหรี่
เถี่ยอวิ๋นผิงเข้ามากำจัดมันอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มเก็บกวาดสมรภูมิอย่างชำนาญ ชำแหละแก่นสัตว์อสูร แยกวัตถุเทวะออกมาจากซากของพวกมัน
ขณะเดียวกัน เฉินซีมุ่งความสนใจไปที่การเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬพลางตั้งใจเสาะหาเป้าหมายถัดไป
ทุกสิ่งดูสุดแสนเป็นระบบระเบียบ ไม่สิ้นเปลืองเวลาแม้แต่น้อย
วิธีการต่อสู้อันตรงไปตรงมาและรวดเร็วเฉียบขาดนี้ตราตรึงในกมลสันดานของเฉินซีอย่างแรงกล้า
ขณะเดียวกัน มันก็ส่งอิทธิพลกระทบถึงเถี่ยอวิ๋นผิง ทำให้นางเริ่มเลียนแบบอย่างไม่รู้ตัว
ดังคำกล่าวว่ามหาเต๋าชำแรกชีวิตคนอย่างเงียบเชียบ และเต๋าอยู่ทุกหนแห่ง ยามอยู่ข้างกายยอดฝีมือผู้หนึ่งนาน ๆ กระทั่งสุกรยังเกิดปัญญาเป็นปีศาจได้
…
ม่านรัตติกาลโปรยลง
วันนี้เฉินซีพาเถี่ยอวิ๋นผิงออกล่าสังหารสัตว์ร้ายขอบเขตเทพวิญญาณไปอีกสิบสามตัว อันดับของนางกระเตื้องสู่อันดับสี่สิบห้าอีกครั้ง
“เหลือเวลาอีกเพียงแปดวัน ชุมนุมล่าดาราก็จะจบลง หากใช้ความเร็วเช่นนี้ต่อไป ก็คงห่างไกลเกินบรรลุสู่สิบอันดับแรก” เฉินซีมองการจัดอันดับล่าบนฟ้า ครุ่นคิดลึกล้ำ ก่อนจะเอ่ยปากว่า “ดังนั้น เราต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า มุ่งหน้าต่อไป ข้าพอสรุปได้แล้วว่ายิ่งเราเข้าไปลึกในกลุ่มดาวถาวอู้ จำนวนอสูรร้ายที่พบยิ่งมีมาก เป็นประโยชน์ต่อเรานัก”
“อื้อ ข้าจะทำตามผู้อาวุโสทุกอย่างเลย” เถี่ยอวิ๋นผิงพยักหน้า
เฉินซีพูดไม่ออก แม่หนูผู้นี้เหมือนจะเคารพข้าเกินไปแล้ว
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ระหว่างทางมา ข้าได้ยินคนอื่น ๆ พูดถึงดาวดวงหนึ่งซึ่งอยู่ลึกสุดในกลุ่มดาวถาวอู้ นามว่าดาววิญญาณมลทิน เต็มไปด้วยดวงวิญญาณแปดเปื้อนอันไม่จบสิ้น จากการอนุมานของข้า เหล่าผู้เข้าร่วมชุมนุมลำดับสูง ๆ น่าจะหมายตาที่นี่กันอยู่แล้ว” เฉินซีเหมือนจมในความคิด “นอกจากนั้น จากการประมาณของข้า กระบี่มลทินอเวจีน่าจะซ่อนอยู่ที่ดาวดวงนั่นแหละ”
“กระบี่มลทินอเวจี?” เถี่ยอวิ๋นผิงผงะ
“มิต้องกังวลไปหรอก ด้วยกระบี่พิฆาตฟ้าในปกครองของจักรพรรดินีอวี้เชอ อันตรายของกระบี่มลทินอเวจีต่อเราก็ลดลงไปมากแล้ว” เฉินซีแย้มยิ้ม จากนั้นก็เลิกคิ้วกล่าว “จริงสิ มีอีกอย่างที่เจ้าควรเตรียมใจไว้ก่อน”
“เรื่องใดหรือเจ้าคะ?” เถี่ยอวิ๋นผิงงุนงง
“อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมการเดิมพันกับเสี่ยวเทียนหลงและลู่เยี่ยนไปแล้ว?” เฉินซีว่า “มิใช่แค่พวกเขา ข้ารู้สึกว่าตระกูลอี้ก็จะไม่ยอมรามือเช่นกัน”
เถี่ยอวิ๋นผิงกล่าวอย่างตกใจ “ผู้อาวุโสหมายความว่า พวกเขาอาจดักโจมตีเราอยู่ข้างหน้าหรือเจ้าคะ?”
เฉินซีตบบ่านางยิ้ม ๆ “นั่นแหละ หลังจากเผชิญศึกมากมาย เจ้าจะสังเกตเห็นทิศทางของเหตุต่าง ๆ ได้จากสัญชาตญาณเอง”
เช้าตรู่รุ่งขึ้น เฉินซีและเถี่ยอวิ๋นผิงก็จากไป เร่งความเร็วเดินทางสู่ดาววิญญาณมลทิน
…
“คุณชายสาม เราได้รับรายงานจากแนวหน้า ว่าเป้าหมายปรากฏตัวแล้วขอรับ”
“คาดว่าพวกเขายามนี้อยู่หนใด?”
“ดาววารีทศทมิฬขอรับ!”
“เอาละ รวบรวมกำลังของเรา มุ่งหน้าไปลอบโจมตีที่นั่นเลย!”
เมื่อได้ยินรายงานจากบริวาร อี้เทียนก็ตัดสินใจออกคำสั่งทันที
“ดาววารีทศทมิฬ?”
“ใช่ ศิษย์พี่เสวียนท่าจื่อ ท่านว่า…”
“ช่างเถอะ เราจะไปที่นั่นกันเอง”
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่สงเคราะห์!”
เสี่ยวหลัวหลั่วประหลาดใจระคนปรีดา กุมกำปั้นก้มหัวให้เสวียนท่าจื่อ ทันทีที่พูดจบ นางก็หันไปกล่าวกับเสี่ยวเทียนหลงและลู่เยี่ยนซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นหยิ่งทะนง “พวกเจ้าสองคนมากับข้า”
เมื่อพวกเขาพบว่าเสวียนท่าจื่อจะจัดการกับเฉินสวินเอง ทั้งเสี่ยวเทียนหลงและลู่เยี่ยนต่างสุดปรีดา ย่อมตกลงอย่างไม่ลังเล
คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัวอย่างเป็นระบบและเข้มข้น จิตสังหารอันไร้เสียงกำลังถาโถมเข้าใส่ดาววารีทศทมิฬ
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าศิษย์ตระกูลอี้ผู้มาชุมนุมหรือคณะของเสี่ยวเทียนหลง พวกเขาล้วนสรุปได้จากข้อมูลมากมาย ว่า ‘เฉินสวิน’ ต้องผ่านมาที่ดาววารีทศทมิฬแน่นอน!
…………….