บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1617 ถูกบดขยี้
บทที่ 1617 ถูกบดขยี้
…………….
บทที่ 1617 ถูกบดขยี้
ในพื้นที่ล่าแห่งนี้ เฉินซียังคงมีท่าทีไร้กังวลเมื่อเสวียนท่าจื่อใช้ความตายข่มขู่ และเขารู้ว่าอีกฝ่ายนั่นเสียสติจากความโกรธ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ทำไมข้าถึงไม่ฆ่าเจ้า มันไม่ใช่เพราะข้ากลัว ข้าแค่อยากให้เจ้าได้ลิ้มรสความรู้สึกอับอายจากการถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรี” เฉินซียิ้มพลางกล่าวอย่างไร้กังวล
สีหน้าของเสวียนท่าจื่อยิ่งมืดมนยิ่งขึ้น พลันขบฟันแน่นตะโกนว่า “อย่าริบังอาจ! แม้เจ้าจะรอดออกจากพื้นที่ล่านี้ได้ แต่อย่าได้หวังจะมีอยู่ชีวิตอยู่หลังจากที่ล่วงเกินข้าแล้ว!”
ความหมายที่อยู่เบื้องหลังวาจานี้ คือเขาจะตามล่าเฉินซีไปจนตาย
เฉินซีมีสีหน้าไม่แยแสและกล่าวว่า “โอ้”
ชายหนุ่มไม่อยากเสียเวลากับเสวียนท่าจื่ออีก เพราะตลอดเส้นทางแห่งการเข่นฆ่า คำขู่เช่นนี้ก็ลอยเข้าหูมานับครั้งไม่ถ้วน แล้วเขาจะจริงจังกับมันได้อย่างไร?
ครืน!
นั่นเป็นเหมือนการเยาะเย้ยที่รุนแรงที่สุดซึ่งทำให้เสวียนท่าจื่อไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เขากำง้าวด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วพลิกตวัดฟันออกไปอย่างฉับพลัน ทำให้รอยแยกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ซึ่งดูเหมือนกำลังจะผ่าโลกออกเป็นสองส่วน!
ชั่วขณะหนึ่ง เงาง้าวทับซ้อนกันเต็มผืนฟ้า และร่างของเทพอสูรก็ปรากฏกายขึ้น พวกมันกำลังสวดภาวนา และแผ่พลังศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างความหวาดกลัวในหัวใจ ส่งผลให้การโจมตีครั้งนี้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
ในระยะไกล หัวใจของเถี่ยอวิ๋นผิงเต้นอย่างรุนแรงเมื่อเห็นฉากนี้ และคลื่นความหนาวเย็นก็กลืนกินร่างกายของนาง ไยพลังยุทธ์ของเสวียนท่าจื่อถึงดูแข็งแกร่งกว่าเดิมนัก มันประหลาดเกินไปแล้ว..
ฟิ่ว!
ร่างของเฉินซีก็ขยับในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มสืบเท้าก้าวผ่านอวกาศอย่างต่อเนื่อง และปะทะกับการโจมตีของเสวียนท่าจื่อด้วยการชกกำปั้นเข้าหามัน
ครืน!
กำปั้นที่ปกคลุมไปด้วยยันต์อักขระลึกลับนับไม่ถ้วนได้ปะทะเข้ากับเงาง้าวที่มีมากมายเกินคณานับ บังเกิดเป็นเสียงฟ้าร้องดังสนั่น และมันดังก้องกังวานไปทั้งสวรรค์ทั้งเก้า ในขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์จากการโจมตีเหล่านี้ก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ
ดูเหมือนว่าพลังงานที่เกิดขึ้นจากภายในร่างกายจะค่อนข้างผิดปกติ… หลังจากการปะทะครั้งนี้ ร่างของเฉินซีสั่นสะท้านเล็กน้อย เลือดลมปั่นป่วน ดวงตาหรี่ลง แต่กลับไม่มีทีท่าหวาดกลัวมากนัก
ส่วนเสวียนท่าจื่อทั่วทั้งร่างกายเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายของลัทธิเต๋า สีหน้ากลับหมองคล้ำมืดมน แววตาดูเหมือนจะพลุ่งพล่านด้วยไฟโทสะที่ลุกโชติช่วง
เฉินซีต้านการโจมตีได้อีกครั้ง!
นี่คือไพ่เด็ดของเขา และเป็นพลังจากผู้อาวุโสของอารามเต๋าสัจวิญญาณ ซึ่งถูกประทับไว้ภายในร่างกาย เมื่อใดที่มันสำแดงเดช ก็เพียงพอที่จะทำให้ต่อสู้กับบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลได้ชั่วขณะหนึ่ง!
ทว่าบัดนี้ เขายังคงไม่สามารถทำอะไรกับเฉินซีได้…
สิ่งนี้ทำให้เสวียนท่าจื่อไม่อาจยอมรับ
โครม!
ทันใดนั้น เขาแผดเสียงตะโกนลั่น เหวี่ยงง้าวในมืออีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ได้หลอมรวมพลังให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทำให้มันกว้างใหญ่และทรงอานุภาพราวคลื่นทะเลที่ซัดสาด
ง้าวเปล่งประกายด้วยแสงอันเรืองรอง พร้อมกับมีอักขระเต๋าอันลึกลับปรากฏขึ้น มันเรียบง่ายและหนักหน่วง แต่ดูเหมือนว่าจะพลานุภาพที่สามารถแยกฟ้าดินออกจากกันได้ ส่งผลให้มันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่พลังที่เทวาวิญญาณจะครอบครองได้
คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น เนื่องจากเคล็ดวิชาดังกล่าวมีความคล้ายคลึงเล็กน้อยกับเคล็ดระเบิดสังหารเทวะที่ตนมี เนื่องจากมันสามารถเพิ่มพูนพลังยุทธ์ได้ในทำนองเดียวกัน แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ของพลังที่แท้จริงของเสวียนท่าจื่อ
ฆ่า!
เสวียนท่าจื่อพุ่งเข้ามาด้วยท่าทางที่ดุร้ายยิ่งขึ้น ซึ่งดูคล้ายกับเทพยุทธ์ที่จุติลงมายังโลกมนุษย์ และพลังของง้าวในมือที่สามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้
ร่างของเฉินซีเปล่งประกายและหลบเลี่ยงการปะทะนี้ จากนั้นจึงใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิง ทำให้ลมและสายฟ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ในขณะที่หยินและหยางหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว พร้อมกับทะยานจากไปทันที
ในสายตาของเสวียนท่าจื่อ นี่เป็นเหมือนการแสดงความอ่อนแอและความกลัว
“คิดหลบการโจมตีของข้าเหรอ?” เสวียนท่าจื่อเย้ยหยัน
โครม!
การเคลื่อนไหวของเขาไม่หยุดแม้แต่น้อย และโจมตีด้วยง้าวอีกครั้ง ในชั่วพริบตาเดียว ก็ฟาดฟันออกไปนับครั้งไม่ถ้วน บังเกิดเป็นประกายแสงที่ประดับประดาท้องฟ้า ประหนึ่งดาวหางที่พุ่งผ่านอวกาศ ซึ่งขับเน้นมันให้น่ากลัวยิ่งขึ้น
ฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ กลับถูกระเบิดออกเสี่ยง ๆ บังเกิดเป็นเหตุที่น่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้เสวียนท่าจื่อเสมือนเทพสงครามซึ่งไร้ผู้ต้านทาน
เฉินซีขมวดคิ้วพลางหลบอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าพลังภายในร่างเสวียนท่าจื่อไม่สามารถคงอยู่ได้นาน แต่ผลลัพธ์ก็เกินความคาดหมายนัก เพราะพลังยุทธ์ของเสวียนท่าจื่อกลับเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ชายหนุ่มอดตะลึงไม่ได้ นี่มันพลังเช่นใดกัน?
“อะไรกัน? นี่เจ้ากลัวเหรอ? ฮึ่ม! มันสายไปแล้ว! วันนี้เจ้าต้องชดใช้ด้วยเลือดสำหรับทุกสิ่งที่ทำลงไป!” ทั่วทั้งร่างกายของเสวียนท่าจื่อเปล่งประกายเรืองรอง เส้นผมยาวสลวยไหวกระพือ ในขณะที่การโจมตีก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
“ดูเหมือนเจ้าจะลืมความอับอายที่ถูกเหยียบย่ำไปแล้ว เจ้าเป็นคนจำพวกลืมความเจ็บปวดเมื่อบาดแผลหายสนิท ทั้งยังประเมินความสามารถของตัวเองสูงส่งเกินไป” เฉินซียิ้มอย่างไร้กังวล
“ตายซะ!” สีหน้าของเสวียนท่าจื่อเยือกเย็นจนสุดขั้ว สายตาคมกริบดุจดาบ และง้าวในมือก็ดูเหมือนกำลังลุกไหม้จนเกิดแสงเรืองรองบนมัน
เขาไม่คิดเสียเวลาอีกต่อไป เพราะความโกรธได้พุ่งจนถึงขีดสุดจนไม่ต้องการสิ่งใดมากกว่าฉีกกระชากเฉินซีออกเป็นชิ้น ๆ ที่นี่และเดี๋ยวนี้
เฉินซีหยุดหลบเมื่อเห็นสิ่งนี้ และตระหนักดีว่าหากยังเป็นเช่นนี้อีกต่อไป เสวียนท่าจื่อก็จะแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และเขาไม่ต้องการเสียเวลาเช่นกัน
โครม!
ในเวลาต่อมา แสงศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขอบเขตได้ปะทุออกมาจากร่างของเฉินซี และยันต์เทวะอนันต์ก็โคจรอย่างเต็มพิกัด กฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมายเปรียบเสมือนโซ่ศักดิ์สิทธิ์ที่ห่อหุ้มร่างกายทั้งหมด จากนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกโชนอย่างไม่มีใครเทียบก็ระเบิดออกมาจากภายใน
ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็ยื่นมือโดยฝ่าการโจมตีของเสวียนท่าจื่อ ก่อนที่จะคว้าง้าวของเสวียนท่าจื่อในกำมือ นิ้วแกร่งดุจคีมเหล็กหนีบง้าวไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นก็ถ่ายพลังลงไปอย่างฉับพลัน ทำให้สมบัติศักดิ์สิทธิ์นี้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เถี่ยอวิ๋นผิงก็ตกตะลึงจนร่างกายแข็งทื่อ และนางก็ไม่สามารถหาคำมาบรรยายความรู้สึกในใจได้ “ผู้อาวุโสช่างน่ากลัวยิ่งนัก และแข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าง้าวนี้เป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติอย่างแน่นอน แม้มันจะไม่ได้รับความเสียหาย แต่มันทำให้สีหน้าของเสวียนท่าจื่อเปลี่ยนไป ไม่คิดเลยว่าเฉินซีจะผิดปกติถึงขั้นกล้าคว้าอาวุธด้วยมือเปล่า!
“ไสหัวไปซะ!” เขาคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมกับโคจรพลังในร่างกายทั้งหมด ใส่เข้าไปในง้าวอย่างท่วมท้น
สายตาของเฉินซีเย็นเสียดแทง นิ้วมือขวายังคงหนีบง้าวไว้ ขณะที่เอียงมือซ้ายราวกับกำลังถือกระบี่
ชึ่บ!
ทันใดนั้น กระบวนท่าสะบั้นไร้ลักษณ์ก็ปรากฏขึ้น มันฟันแขนของเสวียนท่าจื่อขาดออกไปอย่างแรงทันทีที่เขาไม่ทันระวัง
หากหลบไม่ทัน เกรงว่ามันจะเกี่ยวชีวิตของเสี่ยวท่าจื่อไปด้วย!
แต่เป็นเพราะการโจมตีครั้งนี้ ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวอย่างเฉียบพลัน และง้าวในมือก็ถูกเฉินซีชิงไป จากนั้นร่างกายถูกซัดกระเด็นดุจว่าวที่ป่านขาด โลหิตสาดกระเซ็นออกมาจากรอยแผลที่ถูกฟัน ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายอย่างยิ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร! เจ้า… เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่!?” ใบหน้าของเสวียนท่าจื่อบิดเบี้ยว ในขณะที่เขาตกใจและโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด
พลังยุทธ์ของเฉินซีนั้นผิดปกติเกินไป ทั้งยังสามารถต่อกรกับไพ่ตายของเขาด้วยมือเปล่า ยิ่งกว่านั้น เฉินซียังทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้ในกระบวนท่าเดียว และนี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไป!
โครม!
เฉินซีสะบัดมือ แล้วง้าวก็แทงลงไปที่พื้น
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็สืบเท้าผ่านอวกาศ ในขณะที่ยันต์อักขระพันกันทั่วร่างกาย และจากนั้นก็พุ่งปราดไปข้างหน้า ก่อนที่เท้าจะกระทืบลงบนเสวียนท่าจื่อ
“บังอาจ!” ดวงตาของเสวียนท่าจื่อแทบจะถลักออกมาด้วยความโกรธ เขาโคจรพลังด้วยแขนข้างที่เหลืออยู่ ซึ่งดูเหมือนกำลังโอบหยินหยางไว้ในมือ แล้วจึงฟาดฝ่ามือออกไปอย่างดุเดือดและรุนแรง
กร๊อบ! กร๊อบ!
คลื่นเสียงกระดูกแตกหักดังลั่น พลังฝ่ามือถูกขยี้จนหมดสิ้น และพลังจากฝ่าเท้าของเฉินซีก็ทำให้กระดูกในแขนของเขาแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่เลือดจะสาดกระเซ็นออกมา
หลังจากนั้นก็มีเสียงโครมดังขึ้น เช่นเดียวกับเมื่อก่อน หน้าอกของเสวียนท่าจื่อถูกเฉินซีกระทืบเข้าอย่างจังจนร่วงจากท้องฟ้า และถูกตรึงร่างอยู่บนพื้น
สิ่งนี้ทำให้เถี่ยอวิ๋นผิงรู้สึกหวาดกลัว ช่างน่ากลัวยิ่งนัก! พลังยุทธ์ของผู้อาวุโสคนนี้ ช่างน่าเกรงขามกระไรอย่างนี้? นี่เป็นพลังที่เทวาวิญญาณจะสามารถกระทำได้จริงหรือ?
“อ๊าก!!!” เสวียนท่าจื่อแผดร้องอย่างเจ็บปวด ความเจ็บปวดอันแสนสาหัสนั้นยากจะทานทน จนทำให้ใบหน้าบิดเบี้ยว และสั่นสะท้านไปทั้งร่าง การกระทืบเท้าครั้งนี้ทำให้เขาสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ทั้งหมด รากฐานในเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็เกือบตกอยู่ในความยุ่งเหยิงและพังทลายลง
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชาเมื่อเห็นสิ่งนี้ “เจ้ามีความสามารถเพียงเท่านี้ แต่เจ้าก็ยังกล้า….” เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี่ คิ้วของเขาก็เลิกขึ้นทันที จากนั้นสีหน้าก็เย็นชาจนสุดขั้ว
ฟิ่ว!
ทันใดนั้น ลูกธนูทองสัมฤทธิ์ก็พุ่งเข้ามา มันฉีกท้องฟ้าออกจากกัน ซึ่งแฝงด้วยพลังอันคมกริบที่สามารถบดขยี้ทุกสรรพสิ่งและทำลายล้างปฐพีได้ มิหนำซ้ำยังมีพลังทะลุทะลวงอย่างสุดจะพรรณนา
แต่ที่สำคัญที่สุด ลูกธนูนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เฉินซี แต่กลับพุ่งใส่เถี่ยอวิ๋นผิงที่ยืนอยู่ในระยะไกลแทน
เป็นฝีมือของตระกูลอี้อีกแล้ว!
เฉินซีโกรธอย่างสุดขีด ทั้งยังคาดเดาตัวตนของผู้ที่ทำการลอบโจมตีครั้งนี้ได้ทันที ครั้งหนึ่งเขาเคยต่อสู้กับตระกูลอี้ขณะที่อยู่ในแดนโลกาวินาศ แต่ตอนนี้พวกมันกลับกล้าที่จะใช้เล่ห์กลแบบเดิมอีกครั้ง นั่นเป็นสิ่งที่ไม่อาจอภัยให้ได้
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็ตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า บุคคลนี้หยิ่งทะนงอย่างมาก เนื่องจากจังหวะโจมตีนั้นถูกต้องและแม่นยำในระดับที่น่าสะพรึงกลัว โดยเฉพาะอานุภาพของการโจมตีครั้งนี้ มันน่ากลัวถึงขีดสุดและไม่สามารถเปรียบเทียบกับการโจมตีในอดีตแม้แต่น้อย
เช่นเดียวกับตอนนี้ พลังยุทธ์ของเถี่ยอวิ๋นผิงได้รับการพัฒนาอย่างมากแล้ว แต่เมื่อเผชิญกับการโจมตีนี้ นางกลับตกตะลึงจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้!
ฟิ่ว!
เฉินซีพุ่งปราดออกไปเพื่อยืนขวางตรงหน้าเถี่ยอวิ๋นผิง ก่อนที่นางจะตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่เขาไม่มีเวลามากพอที่จะสกัดกั้นลูกธนูนี้
ทันใดนั้น หน้าอกซ้ายของเฉินซีก็แทงทะลุจนเกิดรูเลือด และผลกระทบอันร้ายแรงจากการโจมตีครั้งนี้ ทำให้ร่างสูงใหญ่กระเด็นออกไป
ตู้ม!
หลังจากที่มันเจาะทะลุหน้าอกของเฉินซี ลูกธนูทองสัมฤทธิ์ก็ไม่สูญเสียแรงขับเคลื่อนแม้แต่น้อย และมันทำลายภูเขาขนาดมหึมาในระยะไกล ภูเขานั่นพังทลายจนกลายเป็นธุลีและสลายหายไปกับสายลม
เห็นได้ชัดจากสิ่งนี้ ว่าอานุภาพของลูกธนูทองสัมฤทธิ์นี้น่ากลัวเพียงใด หากผู้ใดถูกมันโจมตีเข้าโดยตรง ก็ทำได้เพียงสงสัยและกังวลว่าพลังงานภายในแผ่นเทวะจะสามารถเคลื่อนย้ายและช่วยให้รอดพ้นจากความตายได้หรือไม่
“ไอ้สารเลว!” เฉินซีขบฟันแน่น พลังงานแหลมคมอันน่าสะพรึงกลัวยังตกค้างอยู่ในบาดแผลที่หน้าอกซ้าย และมันส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างไม่หยุดยั้ง
ทว่าเฉินซีไม่อาจใส่ใจเรื่องนี้อีกต่อไป ร่างสูงใหญ่วูบไหว และพาเถี่ยอวิ๋นผิงไปจากตรงนั้นในพริบตา
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
แน่นอนว่า หลังจากที่ทั้งสองเพิ่งจากไป ลูกธนูทองสัมฤทธิ์จำนวนมากก็พุ่งผ่านอากาศไปยังจุดนั้น ทำให้อวกาศระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ และมันก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำยังทำลายฟ้าดินกว้างใหญ่นี้ให้แยกออกจากกันจนไม่หลงเหลือสิ่งใด
ณ เวลานี้ ในที่สุดเฉินซีก็สัมผัสได้ว่า จู่ ๆ ก็มีร่างหลายร่างปรากฏขึ้นและยืนอยู่ห่างออกไปไกลโพ้น
ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลที่เป็นผู้นำคือคุณชายรองของตระกูลอี้ อี้สวิน และนายน้อยสาม อี้เทียน!
อี้สวินถือคันธนูทองสัมฤทธิ์ที่ดูเรียบง่าย แววตาของเย็นชาขณะจ้องมองไปยังบริเวณที่เฉินซีเคยอยู่ ซึ่งท่าทางของอีกฝ่ายดูอำมหิตและดุร้ายอย่างไม่มีใครเทียบได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาสังเกตเห็นจิตสัมผัสที่เฉินซีแผ่ขยายออกมา ก็ยิ้มบางแล้วจึงโบกคันธนูทองสัมฤทธิ์ด้วยท่าทางเยาะเย้ยและดูถูกอย่างมาก
แต่หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้รั้งอยู่ต่อ พลางหันหลังกลับแล้วนำคนอื่น ๆ จากไป
ใบหน้าของเฉินซีทอประกายเย็นชา และโกรธเกรี้ยวสุดขีดจนไม่เหลือบแลเสวียนท่าจื่อเลยด้วยซ้ำ ร่างสูงใหญ่กะพริบซ้ำ ๆ และพุ่งตัวไปยังระยะไกลทันที
แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่สามารถตามอีกฝ่ายทันได้
ประกอบกับความจริงที่ว่า เฉินซีเป็นกังวลต่อความปลอดภัยของเถี่ยอวิ๋นผิง เขาทำได้เพียงระงับความโกรธในใจ และละทิ้งความตั้งใจที่จะไล่ตามพวกมัน
“ไอ้สารเลวพวกนั้น!” เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่ปราดเปรียวดุจมือสังหารและมีทักษะในเต๋าแห่งคันศร เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งด้วยความเกลียดชัง
แต่เขาทราบดีว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้ตระกูลอี้น่ากลัว พวกมันมีความเชี่ยวชาญในการโจมตีระยะไกลและการลอบโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว
“ผู้อาวุโส” เมื่อเฉินซีกลับมา เถี่ยอวิ๋นผิงก็รีบก้าวไปข้างหน้า
“ชายคนนั้นอยู่ที่ใด?” เฉินซีกวาดสายตามองไปรอบ ๆ และเสวียนท่าจื่อที่ถูกบดขยี้จนราบคาบ ก็หายตัวไป
“เขาสละสิทธิ์ไปแล้ว..” เถี่ยอวิ๋นผิงมีสีหน้าซับซ้อนและดูกังวลเล็กน้อย “เขาบอกว่า เมื่อเราออกจากการชุมนุมล่าดรา เมื่อนั้นจะเป็นเวลาตายของเรา…”