บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1619 ดาววิญญาณมลทิน
บทที่ 1619 ดาววิญญาณมลทิน
…………….
บทที่ 1619 ดาววิญญาณมลทิน
เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง ผู้ฝึกตนทุกคนที่ให้ความสนใจกับการชุมนุมล่าดารา ก็ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เสวียนท่าจื่อ เสี่ยวหลัวหลั่วและคนอื่น ๆ ถูกกำจัดแล้ว ด้วยฝีมือของคนเพียงคนเดียว เฉินสวิน!
เพียงพริบตา การสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเฉินสวิน ก็กลายเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุด ทั้งยังได้รับความนิยมมากจนบดบังข่าวของกวนหงอวี่และอี้สวินไปเลย
ท้ายที่สุด ตัวตนของเสวียนท่าจื่อก็ถือว่าอยู่ในระดับทัดเทียมกับกวนหงอวี่และอี้สวิน แต่ตอนนี้เขากลับพ่ายแพ้อย่างน่าสมเพชด้วยน้ำมือของเฉินสวิน แล้วจะให้ทุกคนไม่ตกใจได้อย่างไร?
“ผู้พิทักษ์ของเฉินสวิน มีนามว่า เถี่ยอวิ๋นผิง ปัจจุบันนางอยู่ในอันดับที่สี่สิบพวกเจ้าคิดว่าด้วยความช่วยเหลือของเฉินสวิน เถี่ยอวิ๋นผิงจะสามารถขึ้นสู่สามอันดับแรกก่อนที่การชุมนุมล่าดาราจะสิ้นสุดลงหรือไม่?”
“มันยากมาก เหลือเวลาอีกเพียงห้าวันเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงสามอันดับแรก แม้แต่การขึ้นสู่สิบอันดับแรก มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ช่องว่างระหว่างพวกเขาใหญ่เกินไป”
“ข้าคิดว่าเขาสามารถทำได้ ในบรรดาพวกเจ้ามีใครเคยจินตนาการได้บ้างว่า เถี่ยอวิ๋นผิงผู้ไม่มีใครรู้จักนี้จะสามารถขึ้นสู่ร้อยอันดับแรกได้ มีใครบ้างที่คิดว่า ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน นางจะขึ้นสู่อันดับต้น ๆ ของการจัดอันดับได้ในคราวเดียวเช่นนี้? ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นเพราะเฉินสวินคนนั้น!”
“ฮึ่ม! ในเมื่อเราไม่สามารถลงความเห็นตรงกันได้ งั้นเรามารอดูผลลัพธ์สุดท้ายกันดีกว่า”
การสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้นจริงบนดาวเคราะห์เกือบทุกดวง มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับเสวียนท่าจื่อมีอิทธิพลมากเพียงใด
…
ดาววารีทศทมิฬ
ภายในถ้ำลึกที่ซ่อนอยู่
หลังจากพักฟื้นชั่วข้ามคืน อาการบาดเจ็บที่หน้าอกซ้ายของเฉินซีก็หายดีแล้ว และไม่เหลือผลกระทบใดไว้
เฉินซีลุกขึ้นยืนและเดินมายังทางเข้าถ้ำ ต้นอ่อนเงาทมิฬหยั่งรากอยู่ในความว่างเปล่าบริเวณนั่น ใบสีเขียวขจีของมันแกว่งไกว ขณะที่แสงสีเขียวชวนฝันมากมายร่วงหล่นลงมา
ในเวลาเพียงคืนเดียว ขนาดของต้นอ่อนเงาทมิฬนี้ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นอีกครั้ง ใบของมันเขียวขจียิ่งกว่าหยกที่บริสุทธิ์ที่สุดในจักรวาล เต็มเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์อย่างหนาแน่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนลำต้นและกิ่งก้านตามเส้นใบ เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ รูปแบบเต๋าที่คลุมเครือแต่เดิมเองก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น
นี่คือประโยชน์ที่ได้รับจากการดูดซับปราณมลทินอเวจี ปราณมลทินอเวจีบนดาววารีทศทมิฬนั่นมีความหนาแน่นสูงมาก จนแม้เฉินซีจะไม่ค้นหามัน ต้นอ่อนเงาทมิฬก็สามารถดูดซับสารอาหารอย่างสม่ำเสมอและแปลงเป็นพลังได้ด้วยตัวมันเอง
“ดูเหมือน… มันจะยังไม่เพียงพอ เห็นทีข้าคงต้องมุ่งหน้าไปยังดาววิญญาณมลทิน เพื่อให้ต้นอ่อนเงาทมิฬเปลี่ยนร่างได้อย่างสมบูรณ์” เฉินซีสังเกตอย่างระมัดระวังอยู่พักใหญ่ และพบว่าเพียงดูดซับปราณมลทินอเวจีที่ลอยอยู่ในอากาศ นั้นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ต้นอ่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างสมบูรณ์
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เพื่อให้ต้นอ่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างสมบูรณ์ ต้องมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่ผ่านมา และในความเห็นของเฉินซี มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะได้พานพบเรื่องดังกล่าว และนั่นคือที่ดาววิญญาณมลทิน!
มีความเป็นไปได้อย่างมากว่า ดาววิญญาณมลทินจะเป็นที่ที่กระบี่มลทินอเวจีซ่อนอยู่ ดังนั้นปราณมลทินอเวจีที่เกิดขึ้นที่นั่นจะต้องน่าตกตะลึงอย่างแน่นอน
ในทำนองเดียวกัน ดาววิญญาณมลทินก็ถือเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดในบรรดาพื้นที่การล่าทั้งหมด!
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ได้กังวลเรื่องนี้ โชคลาภที่ยิ่งใหญ่มักจะมาพร้อมกับอันตรายและวิกฤตที่คาดเดาไม่ได้เสมอ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ถ้าเขาต้องการช่วยให้เถี่ยอวิ๋นผิงขึ้นสู่สิบอันดับแรก เขาก็จำเป็นต้องไปที่ดาววิญญาณมลทินเพื่อล่าอยู่ดี
หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เฉินซีก็ไม่เสียเวลาอีกต่อไป และพาเถี่ยอวิ๋นผิงไปด้วยกันในทันที
…
มันเป็นสีดำสนิททั้งดวง ปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำหนาทึบมีลักษณะคล้ายสสารบางอย่าง หมอกพวกนี้ก่อตัวขึ้นมาจากปราณมลทินอเวจี และดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
หากผู้ฝึกตนทั่วไปมาที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงการก้าวเท้าเข้าไปในดาววิญญาณมลทิน เพียงหมอกสีดำที่ปกคลุมบริเวณโดยรอบนอกก็เพียงพอที่จะคร่าชีวิตผู้ฝึกตนเหล่านั้นแล้ว
เมื่อมองจากระยะไกล ดาววิญญาณมลทินนี้ก็ราวกับอัญมณีสีดำ ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่น่าขนลุกและลึกลับ ฝังอยู่กลางความมืดในส่วนลึกที่สุดของดาราจักรถาวอู้
วู~ วู~ วู~
เมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่พร้อมกับเถี่ยอวิ๋นผิง พวกเขาจับจ้องไปยังดาววิญญาณมลทินที่เบื้องหน้า ที่ราวกับมีเสียงร้องไห้ครวญครางดังออกมาจากด้านใน
เกือบจะในเวลาเดียวกัน รัศมีกดข่มที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย หวาดกลัว กระหายเลือดและเลวทราม ก็ปกคลุมทั่วพื้นที่ราวกับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น
เพียงมองจากที่ไกล ๆ ก็ทำให้เถี่ยอวิ๋นผิงรู้สึกกระวนกระวายใจ ความคิดกวนใจมากมายปรากฏขึ้นในใจของนาง ทำให้เกิดความอยากอาเจียนอย่างแรงกล้า ราวกับแม้แต่วิญญาณก็ไม่อาจทนมันได้อีกต่อไป
เถี่ยอวิ๋นผิงอดไม่ได้ที่จะตกใจ สีหน้าของนางเคร่งเครียดยิ่งขึ้น นางรู้ดีว่าถ้าไม่ใช่เพราะเฉินซีเป็นผู้พานางมาที่นี่ นางคงจะต้องเผชิญกับโชคร้ายไปนานแล้ว!
“รับสิ่งนี้ไป แล้วตามข้าใกล้ ๆ ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” เฉินซีจ้องมองไปที่ดาววิญญาณมลทิน ทันใดนั้นเขาก็ดึงต้นอ่อนเงาทมิฬออกมาและส่งต่อให้เถี่ยอวิ๋นผิง
เถี่ยอวิ๋นผิงไม่รู้ว่าต้นอ่อนเงาทมิฬคืออะไร แต่นางก็รู้ดีว่าต้นไม้เล็ก ๆ ที่น่าอัศจรรย์นี้สามารถดูดซับปราณมลทินอเวจีได้ ที่ซึ่งสมบัติศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปไม่อาจเทียบเคียง
ยามนี้ เมื่อนางเห็นเฉินซีส่งมันให้ตนเช่นนี้ นางก็รู้สึกกังวลใจและไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อ
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้ “ผ่อนคลาย ดาววิญญาณมลทินไม่ใช่ที่ถ้ำเสือถ้ำมังกร อย่างมากที่สุด เราก็เพียงถูกกำจัดเท่านั้น”
เถี่ยอวิ๋นผิงพูดขึ้นอย่างลำบาก “ข้าไม่กังวลเกี่ยวกับอันตราย แต่ข้ากังวลว่าจะทำอย่างไรหากต้นไม้เล็ก ๆ นี้เสียหายขึ้นมา”
เฉินซีชะงัก จากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “แม้แต่ความแข็งแกร่งของข้าในยามนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรต้นอ่อนเงาทมิฬได้แม้แต่ใบเดียว”
เถี่ยอวิ๋นผิงตะลึง “มันทรงพลังขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เฉินซียิ้มและไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม เขาพานางพุ่งฝ่าหมอกสีดำหนาทึบที่ปกคลุมบริเวณรอบนอกของดาววิญญาณมลทินและหายไปในทันที
…
“จักรพรรดินี ขณะนี้มีผู้เข้าร่วมเหลือเพียง 137 คนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในพื้นที่ล่า ส่วนศิษย์คนอื่น ๆ ต่างถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว ในบรรดาผู้เข้าร่วมที่เหลือ มี 89 คนกำลังล่าอยู่ในเขตด้านนอกพื้นที่ล่า…”
“เจ้าบอกข้าเพียงแค่ว่า มีผู้เข้าร่วมกี่คนที่เข้าไปยังดาววิญญาณมลทินก็พอ”
“หากไม่รวมผู้นำกลุ่มและทาสเทพที่อยู่เคียงข้างพวกเขา ก็มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 19 คนได้เข้าไปยังดาววิญญาณมลทินแล้ว”
บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว อวิ๋นชิงรายงานทุกสิ่งที่เขารู้อย่างรวดเร็ว
“ผู้เข้าร่วม 19 คน ผู้นำกลุ่ม 19 คน และทาสเทพ… ข้าสงสัยนักว่า จะมีสักกี่คนที่สามารถยืนหยัดได้จนถึงที่สุด” จักรพรรดินีอวี้เชอยืนอามือไพล่หลังอยู่คนเดียวในความว่างเปล่า ดวงตาที่กระจ่างใสของนางเพ่งไปที่ห่างไกล “อวิ๋นชิง”
“ขอรับ”
“เอากระบี่พิฆาตฟ้ามาให้ข้า”
“องค์จักรพรรดินี ท่าน…”
“ใช่ คราวนี้ข้าจะจัดการกับกระบี่มลทินอเวจีเอง ข้าเหลือเวลาให้รอต่อไปไม่มากนักแล้ว”
“ขอรับ”
ท้องฟ้าสีดำ พื้นสีดำ ภูเขาสีดำ… ทุกสิ่งในระยะสายตา ที่ดาววิญญาณมลทินนี้ล้วนเป็นสีดำสนิท แม้กระทั่งสายลมที่พัดผ่านท้องฟ้า และน้ำที่ไหลในแม่น้ำก็เป็นสีดำสนิท
ฉากตอนนี้เรียกได้ว่าน่ากลัวเกินไป มันราวกับว่าพวกเขาได้เข้าสู่นรกสีดำ อากาศเต็มไปด้วยความกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทำให้หายใจลำบากยิ่ง แม้แต่จิตวิญญาณเองก็ยังต้องสั่นทรมานจากความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัว
เมื่อเฉินซีกับเถี่ยอวิ๋นผิงมาถึง สีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นทันที เพียงพลังที่อัดแน่นอยู่เต็มนั้น ทำให้เขาได้กลิ่นอายของอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวได้อย่างชัดเจน
โอม! โอม!
แต่ในขณะนี้ ต้นอ่อนเงาทมิฬที่เถี่ยอวิ๋นผิงถืออยู่ในมือ จู่ ๆ ก็ตื่นเต้นและมีชีวิตชีวา มันปล่อยคลื่นความผันแปรแปลก ๆ ขณะที่กิ่งก้านใบแกว่งไกวปล่อยละอองแสงสีเขียวออกมา ที่จริงแล้วมันกำลังเริ่มดูดซับปราณมลทินอเวจีที่หนาแน่นมากในอากาศแล้ว
เห็นได้ชัดว่า ดาววิญญาณมลทินนับเป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติของมันจริง ๆ
แต่เพียงชั่วพริบตา การแสดงออกของเฉินซีก็เปลี่ยนไป เพราะเงาร่างที่มืดมนน่าสยดสยองมากมายกำลังเข้ามาใกล้ที่นี่ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ
ร่างทั้งหมดเหล่านั้นเต็มไปด้วยความเสียหาย บางคนสวมชุดเกราะทองแดงที่พังทลาย บางคนสวมเสื้อผ้าขาด ๆ บางคนก็แขนขาขาด กระดูกโผล่ และร่างทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่มีสีดำคล้ำราวกับหิน ดวงตาว่างเปล่าและเต็มไปด้วยความตาย ราวกับซากศพไร้วิญญาณ
ดวงวิญญาณแปดเปื้อน!
พวกมันเป็นวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการที่ดวงจิตแห่งเต๋าร่วงหล่น เพราะถูกรุกรานโดยปราณมลทินอเวจี!
ในตอนที่ยังมีชีวิต พวกเขาต่างเป็นเทพที่น่าเกรงขาม แต่หลังจากตายลง พวกเขาก็กลายร่างเป็นวิญญาณอมตะที่รู้จักแต่การสังหารและความกระหายเลือดเท่านั้น
ตอนนี้ ดวงวิญญาณแปดเปื้อนเหล่านี้ สังเกตเห็นความผันผวนแปลก ๆ ที่เกิดจากต้นอ่อนเงาทมิฬอย่างชัดเจน พวกมันจึงพุ่งเข้าหาพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง
พวกมันรวดเร็วมาก ทักษะการเคลื่อนย้ายเองก็ไม่ด้อยไปกว่า ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณเลย
ฟุ่บ!
เฉินซียกมือขึ้นและคว้าเถี่ยอวิ๋นผิง ก่อนที่จะหายตัวไปทันทีอย่างไม่ลังเลใจ เขาไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับดวงวิญญาณแปดเปื้อน ก่อนที่จะเข้าใจสถานการณ์ของดาววิญญาณมลทินนี้
แต่ในไม่ช้า เฉินซีก็สังเกตเห็นว่าดวงวิญญาณแปดเปื้อนเหล่านี้ดูเหมือนจะมีสติปัญญา พวกมันไล่ตามเขามาตลอดทางเหมือนกับสิ่งมีชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างทาง ดวงวิญญาณแปดเปื้อนได้เพิ่มจำนวนขึ้นมาเรื่อย ๆ เพียงครู่เดียว ก็มีกันไม่น้อยกว่าร้อยตน!
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง จากนั้นเขาก็ตระหนักว่าเขาได้มองข้ามบางสิ่งบางอย่างไปดวงวิญญาณแปดเปื้อนเหล่านี้ ล้วนถูกดึงดูดมาโดยต้นอ่อนเงาทมิฬ
ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อ และเก็บต้นอ่อนเงาทมิฬซ่อนมันไว้ในจักรวาลภายในร่างกายของตนทันที ในเวลาเดียวกัน ก็ใช้อักขระผนึกเต๋าเพื่อปกปิดพลังชีวิตอย่างสมบูรณ์
แน่นอนว่าไม่นานนัก ดวงวิญญาณแปดเปื้อนพวกนั้นก็ดูราวกับได้สูญเสียเป้าหมายและสับสน พวกมันยืนนิ่งอยู่กับที่ กระสับกระส่ายอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่สามารถไล่ตามเฉินซีได้อีกต่อไป
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่า ต้นอ่อนเงาทมิฬที่ดูดเอาปราณมลทินอเวจีมาเป็นสารอาหาร จะถูกดวงวิญญาณแปดเปื้อนเหล่านี้เพ่งเล็งเช่นเดียวกัน หากเป็นเช่นนี้ ถ้าข้าเอาต้นอ่อนเงาทมิฬออกมา มันคงจะดึงดูดดวงวิญญาณแปดเปื้อนมาโจมตีข้าไม่จบสิ้นแน่… ”
เฉินซีขมวดคิ้ว ไม่ว่าความแข็งแกร่งจะน่าเกรงขามเพียงใด เขาก็ไม่สามารถทนต่อคลื่นการโจมตีจากดวงวิญญาณแปดเปื้อนมากมายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความแข็งแกร่งของพวกมันทุกตัวเทียบได้กับขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ
ทันใดนั้น คิ้วที่ขมวดแน่นของเฉินซีก็คลายตัวลง ขณะที่เขานึกถึงแผนการที่ยอดเยี่ยมขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะลงมือ ชายหนุ่มตั้งใจที่จะทำความเข้าใจสถานการณ์ของดาววิญญาณมลทินเสียก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องไม่คาดคิดในระหว่างนั้น
“อ๊ะ! ข้าลืมไปเลย ว่าสาวน้อยคนนี้ไม่มีพลังที่จะต้านทานการรุกรานของปราณมลทินอเวจีได้” เฉินซีหันกลับไปมอง และเห็นว่าเมื่อไม่ได้รับการคุ้มครองจากต้นอ่อนเงาทมิฬแล้ว เถี่ยอวิ๋นผิงก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ทันที
ใบหน้าที่ซีดเซียวของนางเผยให้เห็นออร่าสีดำจาง ๆ ดวงตาเลื่อนลอยและไร้ชีวิตชีวา ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย ราวกับกำลังอยู่ในฝันร้ายที่ไม่สามารถตื่นขึ้นได้
เฉินซีไม่กล้าลังเล เขายื่นมือออกไปคว้ามือของเถี่ยอวิ๋นผิง จากนั้นเขาก็ส่งพลังศักดิ์สิทธิ์หนาแน่นไปให้ เพื่อช่วยกำจัดปราณมลทินอเวจีที่บุกรุกร่างกายของนาง
จนกระทั่งสีหน้าของอีกฝ่ายกลับมาเป็นปกติเฉินซีจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดาววิญญาณมลทินนี้อันตรายเกินไปจริง ๆ ความประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อย อาจก่อให้เกิดผลที่ตามมาได้อย่างมากมาย