บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1622 สามวันสุดท้าย
บทที่ 1622 สามวันสุดท้าย
เฉินซีรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน พลันโคจรพลังในร่างทั้งหมดโดยสัญชาตญาณ และระงับต้นอ่อนเงาทมิฬอย่างแข็งขัน
ต้นอ่อนเงาทมิฬไม่พอใจอย่างมาก และมันแผ่คลื่นพลังผันผวนออกมาอย่างรวดเร็ว ราวกับบ่งบอกว่ากำลังไม่พอใจ
ทว่าเฉินซีจะกล้าปล่อยให้มันแสดงตัวได้อย่างไร ในเมื่อมันตกเป็นเป้าหมายของกระบี่มลทินอเวจี มิฉะนั้นคนแรกที่ต้องรับเคราะห์ก็คือเขา!
ฟิ่ว!
ในขณะนี้ กลิ่นอายกดขี่และคมกริบอย่างยิ่งก็กวาดไปทั่ว เสมือนกับเข็มที่ทิ่มแทงจิตวิญญาณของเฉินซีจนรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง และอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งกาย
ในใจของเขา ฉากที่น่าสะพรึงกลัวเช่น นรก มหาสมุทรเลือด กองซากศพ ปราณชั่วร้ายพุ่งทะยานไปบนท้องฟ้าและอื่น ๆ ได้ทยอยปรากฏขึ้น ดูเหมือนว่าพวกมันเกือบจะยึดครองดวงจิตแห่งเต๋าและความตั้งใจของเขา จนเกือบครอบงำอย่างสมบูรณ์
“ไม่ได้การแล้ว!”
สุดท้ายข้าก็ยังตกเป็นเป้าหมายอยู่ดี!
เฉินซีหวาดกลัวจนขนลุกชัน และวิญญาณแทบจะหลุดออกจากร่าง ในช่วงเวลาคอขาดบาดตายนี้เอง ทันใดนั้นเขาก็กัดปลายลิ้นอย่างแรง แล้วจึงส่งเสียงคำรามลั่นอยู่ภายในใจ
ครืน!
มันขับไล่ฉากที่อยู่ในใจของเขาออกไปอย่างสิ้นเชิง
หลังจากนั้น เฉินซีไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่นใด พลางขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดที่อยู่ในใจ และเพ่งความสนใจไปที่ดวงจิตแห่งเต๋าของตนขณะนั่งสมาธิ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังใช้กฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์เพื่อเพิ่มการป้องกัน ตกสู่สภาวะแปลก ๆ โดยแทบไม่รู้สึกตัว
นี่เป็นวิธีการปิดผนึกประสาทสัมผัสและแยกทุกสิ่งจากภายนอก เพื่อป้องกันไม่ให้ดวงจิตแห่งเต๋าพังทลาย
…
ครืน!
เฉินซีจึงไม่ได้สังเกตเห็นว่า ในทันทีที่เขาปิดผนึกประสาทสัมผัส เสียงกระบี่ที่แหบห้าวและชั่วร้ายก็ดังก้องขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเอง ปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวและกดดันก็พุ่งเข้ามาหาเขา
ปราณมลทินอเวจีที่อยู่หน้าเส้นทางนั่นแหวกเป็นทางสองฟากฝั่งอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เหล่าดวงวิญญาณแปดเปื้อนที่ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ทันเวลา ล้วนถูกบดขยี้เป็นผุยผงด้วยปราณกระบี่เล่มนี้ ทั้งยังไม่มีความสามารถที่จะต้านทานมันแม้แต่น้อย
หากใครมองลงมาจากท้องฟ้า ก็จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ปราณกระบี่สีเทาขุ่นมัวกำลังกวาดมาจากทิศตะวันออก และบดขยี้จนเกิดรอยแยกน่าสะพรึงกลัวมาตลอดทาง ขณะที่มันกวาดล้างอย่างไม่หยุดยั้งด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ซึ่งเป้าหมายของมันก็คือเฉินซีที่ซ่อนตัวอยู่ลึกเข้าไปในภูเขา!
ด้วยสภาพในปัจจุบัน หากเฉินซีถูกโจมตีด้วยปราณกระบี่นี้ เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
ฟิ่ว!
ในช่วงเวลาเป็นตายนี้ ปราณกระบี่ที่สุกใสและแวววับก็กวาดไปทั่วท้องฟ้า
ครืน!
มันบดขยี้ปราณกระบี่สีเทาจนกลายเป็นผุยผง ทำให้เกิดพิรุณแสงโปรยปราย ยิ่งกว่านั้น ฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้ดูเหมือนจะถูกทุบออกเป็นเสี่ยง ๆ และไม่มีส่วนใดเลยที่ยังคงสภาพสมบูรณ์
หลังจากนั้น เสียงกระบี่คำรามที่แหบห้าวและชั่วร้ายก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ ครั้งนี้มันเผยให้เห็นถึงความโกรธเกรี้ยวอย่างชัดเจน
แต่ในเวลาไม่นาน เสียงกระบี่คำรามก็จมหายไป เพราะปราณกระบี่ที่สุกใสและแวววับจำนวนนับไม่ถ้วนได้ตกลงมาจากท้องฟ้าอีกครั้ง ปราณกระบี่พุ่งลงมาดุจพายุ และครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันออกทั้งหมดของดาวดวงวิญญาณมลทิน
ครืน!
ปราณกระบี่ถาโถมจนเกิดเสียงดังกึกก้อง กระบี่ที่ลุกโชติช่วงได้ฉีกม่านรัตติกาลออกเป็นชิ้น ๆ และแสงที่ลุกโชนของมันก็ส่องสว่างไปทั่วปฐพี
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
…
รูปร่างเพรียวบางของจักรพรรดินีอวี้เชอที่สวมเสื้อคลุมปักลวดลายวิหคอมตะยืนอย่างภาคภูมิบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ใบหน้าของนางถูกปิดด้วยผ้าคลุมสีแดง ดวงตาเปล่งประกายด้วยแสงเรืองรองที่ลึกล้ำและเย็นชาอย่างแปลกประหลาด
กระบี่พิฆาตฟ้าในมือได้กลับคืนสู่ความเงียบแล้ว แต่ดูเหมือนว่านางจะตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้น คิ้วสีดำหมึกยังเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่ไม่สามารถปกปิดได้
“ครั้งนี้… ดูเหมือนว่าการต่อสู้จะจบลงเร็วกว่าปกติ?” ร่างใหญ่ขมวดคิ้วและสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าการต่อสู้คืนนี้ผิดปกติเล็กน้อย
ทันทีที่สิ้นคำ มันทำให้ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ ตระหนักได้ทันทีว่า สถานการณ์ต่อสู้ที่มักจะทัดเทียมกันได้ถูกพลิกตาลปัตร และเห็นได้ชัดว่ากระบี่พิฆาตฟ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่าเล็กน้อย
“ฝ่าบาท ดูเหมือนว่า…” อวิ๋นชิงขมวดคิ้วขณะที่กล่าวเบา ๆ
“ใช่ มีบางสิ่งได้เบี่ยงเบนความสนใจของกระบี่มลทินอเวจีในระหว่างการต่อสู้ครั้งนี้” จักรพรรดินีอวี้เชอกล่าว
“โอ้?” อวิ๋นชิงหรี่ตาลง พลันตระหนักว่านี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ดี ซึ่งจะช่วยจักรพรรดินีอวี้เชอปราบกระบี่มลทินอเวจีได้!
“แค่รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหลือเวลาอีกสามวันจนกว่าการชุมนุมล่าดาราจะสิ้นสุดลง หากเราสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ บางทีข้าอาจจะสามารถ…” นางกล่าวเพียงเท่านั้น แต่อวิ๋นชิงเข้าใจว่าจักรพรรดินีอวี้เชอหมายถึงอะไร
“ฝ่าบาท ต้องการให้ข้าสืบสวนหรือไม่?”
“ไม่ ถ้าเจ้าไป เจ้าจะทำให้กระบี่มลทินอเวจีหวาดกลัวและทำให้มันตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง และข้าไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าใดจึงจะมีโอกาสได้ปราบมันอีกครั้ง” ดวงตาที่สุกใสของจักรพรรดินีอวี้เชอเปล่งประกายแห่งปัญญา นางหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวผ่านกระแสปราณทันที “ให้ความสำคัญกับเฉินสวินคนนั้นให้มากหน่อย”
เฉินสวิน? ดวงตาของอวิ๋นชิงหรี่ลง จากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
…
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น
เฉินซีลืมตาขึ้น และร่องรอยของความกลัวยังคงติดค้างอยู่ในใจเมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
ในเวลานั้น สถานการณ์น่ากลัวเกินไปจริง ๆ และหากเขาไม่คลี่คลายได้ทันเวลา ดวงจิตแห่งเต๋าก็คงเกือบจะถูกกระบี่มลทินอเวจียึดครองไปแล้ว!
เมื่อดวงจิตแห่งเต๋าของเฉินซีตกเป็นของกระบี่มลทินอเวจี เขาก็คงไม่ต่างไปจากดวงวิญญาณแปดเปื้อนที่ไร้ชีวิตเหล่านั้น
ดูเหมือนว่าการมีอยู่ของต้นอ่อนเงาทมิฬจะทำให้กระบี่มลทินอเวจีรู้สึกถูกคุกคามเช่นกัน มิฉะนั้น มันคงไม่กำหนดเป้าหมายเป็นข้าด้วยตัวของมันเองอย่างแน่นอน…
เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เขาตระหนักดีว่าเนื่องจากต้นอ่อนเงาทมิฬได้นำปราณมลทินอเวจีมาเป็นสารอาหารหล่อเลี้ยงสำหรับการเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ใช่สิ่งที่กระบี่มลทินอเวจีจะปล่อยไปได้อย่างแน่นอน
นับจากคืนนี้เป็นต้นไป ข้าต้องคอยระวังตัว และไม่อาจปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด เฉินซีตัดสินใจแน่วแน่
หลังจากนั้น ร่างสูงใหญ่ก็แวบไปจากที่แห่งนี้
เหลือเวลาอีกไม่ถึงสามวัน ก่อนที่การการชุมนุมล่าดาราจะสิ้นสุดลง และเถี่ยอวิ๋นผิงยังคงอยู่ในอันดับที่สี่สิบ
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้เวลาออกล่าให้คุ้มค่าที่สุด!
ท้ายที่สุดแล้ว เฉินซีได้สัญญากับนางแล้วว่า เขาจะช่วยให้นางขึ้นสู่สิบอันดับแรกให้ได้
…
โลกที่มืดมิดถูกปกคลุมไปด้วยปราณมลทินอเวจีที่หนาเป็นชั้น ๆ และขุ่นมัวจนมองไม่เห็นแม้แต่มือของตนเอง
ทันใดนั้น ลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวหยกก็ปรากฏขึ้นมาเหมือนภูติ และขยับไหววูบวาบอยู่ในหมอกที่ขุ่นมัว
มันเหมือนกับเป็นเส้นเลือด ซึ่งเหล่าดวงวิญญาณแปดเปื้อนในบริเวณใกล้เคียงก็สังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นในเวลาต่อมา เสียงหวีดแหลมก็ดังก้องไปทั่วหมอกทมิฬ
ฟิ่ว! ฟิ่ว! ฟิ่ว!
หมอกบนฟ้าดินอันกว้างใหญ่นี้คร่ำครวญอย่างรุนแรง ในขณะที่ดวงวิญญาณแปดเปื้อนอย่างน้อยสี่สิบตัวได้กู่ร้องไปในอากาศและพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกมันมาถึงที่นี่ ลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวหยกนั้นก็หายไปทันที และไม่สามารถสัมผัสได้อีกต่อไป
สิ่งนี้ทำให้พวกมันสับสน และยืนนิ่งอยู่ตรงจุดนั้นด้วยท่าทางที่ประหลาดใจเล็กน้อย
ฟิ่ว!
ทันใดนั้น จู่ ๆ ปราณกระบี่ก็ปรากฏขึ้นมาจากอากาศ ทั้งดูลึกลับและฉับพลัน
พรวด!
มันฟันเข้าที่หน้าอกของดวงวิญญาณแปดเปื้อน ทำให้มันล้มลงกับพื้น
ทันใดนั้น ดวงวิญญาณแปดเปื้อนกลุ่มนี้ก็เกิดความปั่นป่วนและโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าพวกมันจะพยายามอย่างไรก็ตาม ก็ไม่อาจระบุตำแหน่งของศัตรูได้
เรื่องนี้ทำให้พวกมันมึนงงอีกครั้ง และยืนนิ่งดั่งตัวโง่งม และดูน่าสมเพชอย่างยิ่ง
เหตุผลก็คือ แม้พวกมันจะมีความแข็งแกร่งเทียบได้กับขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ แต่สติปัญญาของพวกมันถูกกัดกร่อนโดยปราณมลทินอเวจีอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพวกมันจึงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอีกต่อไป และภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถรับรู้ถึงตำแหน่งของศัตรูได้ พวกมันจึงไม่ได้ตอบสนองเหมือนที่ผู้บ่มเพาะพึงกระทำ
พรวด!
ในไม่ช้า ปราณกระบี่อีกเล่มก็ปรากฏขึ้น และดวงวิญญาณแปดเปื้อนที่ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ทันก็ถูกจัดการ หน้าอกของมันถูกฟันจนแยกออก ก่อนที่จะล้มลงกับพื้นและไม่อาจลุกยืนได้อีก
ในที่สุด ดวงวิญญาณแปดเปื้อนเหล่านั้นก็ตระหนักว่าสถานการณ์ตกอยู่ในอันตราย และด้วยสัญชาตญาณ พวกมันจึงเริ่มหลบหนีไปยังระยะไกลโดยตั้งใจที่ไปจากสถานที่อันแปลกประหลาดนี้
ทว่าสายเกินไปแล้ว ในช่วงเวลาถัดมา ปราณกระบี่หลายเล่มได้ฉีกผ่านอากาศจนเกิดเสียงหวีดหวิว ถาโถมลงมาดุจฝนดาวตกอย่างหนาแน่น ซึ่งปกคลุมไปทั้งฟ้าดิน
พรวด! พรวด! พรวด!
สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย และเสียงปราณกระบี่ที่ฉีกผ่านร่างกายก็ดังขึ้นติด ๆ กัน แสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องไปรอบ ๆ ราวกับดอกไม้ไฟซึ่งดูงดงามและเจิดจ้า
เพียงชั่วครู่ ทั้งหมดนี้ก็จบลง และเหล่าดวงวิญญาณแปดเปื้อนที่อยู่รอบ ๆ ทั้งหมด ก็ถูกฟันและนอนกองกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
อากาศเกิดความผันผวน จากนั้นร่างสูงโปร่งของเฉินซีก็ปรากฏตัวขึ้น โดยมีเถี่ยอวิ๋นผิงยืนอยู่เคียงข้าง ทันทีที่หญิงสาวปรากฏตัว นางก็ตวัดกระบี่สีครามในมือฟันเข้าที่ศีรษะของดวงวิญญาณแปดเปื้อนด้วยท่าทางที่ชำนาญและแม่นยำอย่างยิ่ง
นี่เป็นดวงวิญญาณแปดเปื้อนกลุ่มที่สามที่นางฆ่าในวันนี้ เนื่องจากเฉินซีได้สร้างบาดแผลอย่างแสนสาหัสให้พวกมัน ก่อนที่นางจะเป็นคนปิดฉาก ซึ่งง่ายดายยิ่งกว่าเชือดไก่ ดังนั้นนางจึงไม่ต้องเผชิญกับอันตรายใด ๆ
“ไปกันเถอะ ไม่มีร่องรอยของดวงวิญญาณแปดเปื้อนในระยะ 25,000 ลี้ รอบตัวเราแล้ว เราต้องเปลี่ยนจุดล่า”
หลังจากที่เถี่ยอวิ๋นผิงสังหารพวกมันทั้งหมดแล้ว เฉินซีก็ตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบและตั้งใจที่จะพานางไปยังพื้นที่อื่น
เถี่ยอวิ๋นผิงเชื่อฟังเฉินซีอย่างยิ่ง
พวกเขาไม่ลังเลที่จะพุ่งออกไปในระยะไกลทันที
…
เมื่อม่านรัตติกาลใกล้เคลื่อนตัวลงมา เฉินซีและเถี่ยอวิ๋นผิงได้ร่วมกันสังหารดวงวิญญาณแปดเปื้อนไปเก้าชุด นับรวมได้ถึงสามร้อยยี่สิบสามตัว
นี่เป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง
แต่เถี่ยอวิ๋นผิงกลับรู้สึกละอายเล็กน้อย เพราะในระหว่างกระบวนการทั้งหมดนี้ เฉินซีได้จัดการกับอันตรายทั้งหมด สิ่งที่นางทำคือปิดฉากด้วยการโจมตีครั้งสุดท้ายและส่งเหยื่อไปลงนรก ซึ่งไม่มีเกียรติแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม นางทราบดีว่าเฉินซีกำลังทำทั้งหมดนี้เพื่อนาง และความตื้นตันที่รู้สึกในใจนั้นไม่อาจอธิบายได้
นางตัดสินใจแล้วว่า หากเฉินซีมีคำร้องขอใด ๆ นางก็จะไม่ลังเลที่จะสละชีวิตเพื่อเขา!
ในทางกลับกัน เฉินซีก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่า รู้สึกภูมิใจจากการสังหารหมู่ที่ทำตลอดทั้งวันนี้ เพราะเขาได้ใช้กลอุบายบางอย่าง
ตอนแรก เขาใช้กลิ่นอายของต้นอ่อนเงาทมิฬเพื่อล่อดวงวิญญาณแปดเปื้อนเข้ามา และจากนั้นจึงใช้อักขระผนึกเต๋าเพื่อปกปิดกลิ่นอายของตน ทำให้เขาเป็นเหมือนมือสังหารที่ซ่อนอยู่ในเงามืด ท้ายที่สุด เขาใช้กระบวนท่าสะบั้นไร้ลักษณ์ที่ลึกลับและโหดเหี้ยมที่สุดเพื่อสังหารคู่ต่อสู้ ซึ่งตลอดกระบวนการทั้งหมดนี้ เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายเหมือนกับการกวาดใบไม้แห้ง
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีรู้สึกใจสนใจอย่างแท้จริง คือการเปลี่ยนแปลงของต้นอ่อนเงาทมิฬในตลอดทั้งวันนี้ ต้นอ่อนเงาทมิฬได้ดูดซับปราณมลทินอเวจีในฟ้าดินอย่างต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงของมันก็เร็วขึ้นอย่างเป็นที่ประจักษ์ ยิ่งกว่านั้น พลังศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่ออกมานั้นบริสุทธิ์และหนาแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
ถึงขนาดที่ต้นอ่อนเงาทมิฬในปัจจุบันสามารถเติมเต็มพลังศักดิ์สิทธิ์ของเฉินซีได้เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งหมด และเขาไม่จำเป็นต้องใช้ผลึกศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป
เมื่อม่านรัตติกาลเคลื่อนตัวลงมา เฉินซีก็ไม่ลังเลที่จะซ่อนตัวกับเถี่ยอวิ๋นผิง จากนั้นเขาก็ระงับกลิ่นอายทั้งหมดของต้นอ่อนเงาทมิฬ และผนึกประสาทสัมผัสของตน จมสู่การทำสมาธิอย่างลึกซึ้ง
ที่ทำเช่นนี้ เพราะเขากังวลว่าฉากที่น่าสะพรึงกลัวอย่างเมื่อคืนนี้ จะกลับมาเล่นงานตนอีกครั้ง
ในทางกลับกัน เถี่ยอวิ๋นผิงก็เริ่มทำสมาธิเช่นเดียวกัน เมื่อมีเฉินซีอยู่ข้าง ๆ นางก็เลิกกังวลเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียง
แต่ทั้งสองไม่รู้ตัวเลยว่า ทันทีที่เทียบอันดับล่าปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในคืนนี้ มันก็เหมือนกับเสียงฟ้าร้องที่ทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่!
…………….