บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1623 มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก
บทที่ 1623 มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก
“รีบดูเร็วเข้า! มีการเปลี่ยนแปลงในการจัดอันดับล่าหรือไม่?”
“โชคดีที่ซูหว่านเอ๋อร์ยังคงอยู่ที่อันดับหนึ่ง เนื่องจากเหตุการณ์ของเสี่ยวหลัวหลั่วและอี้เทียนถูกกำจัดไปก่อนหน้านี้ ข้ากังวลจริง ๆ ว่า ซูหว่านเอ๋อร์จะล่วงเกินตัวตนที่ร้ายกาจอย่างเฉินสวินหรือไม่”
“ใช่แล้ว ชายคนนั้นเป็นดั่งดาวร้ายจริง ๆ ใครก็ตามที่พบเจอกับเขา ล้วนต้องเคราะห์ร้าย”
“อืม? เหตุใดชื่อของเถี่ยอวิ๋นผิงถึงไม่อยู่ในอันดับที่สี่สิบ? หรือว่านางและเฉินสวินจะทำการใหญ่เกินตัว และถูกกำจัดไปแล้ว?”
“เจ้าโง่! เจ้าไม่สังเกตหรือว่าเถี่ยอวิ๋นผิงอยู่ในอันดับที่ยี่สิบเอ็ด!?”
“อันดับที่ยี่สิบเอ็ด? สวรรค์! มันเพิ่งผ่านพ้นไปเพียงชั่ววัน แต่นางกลับกระโดดขึ้นไปเกือบยี่สิบอันดับแล้ว?”
“ช่างผิดปกติยิ่งนัก! นี่จะต้องเป็นฝีมือของเฉินสวินคนนั้นอย่างแน่นอน!”
เมื่ออันดับการล่าที่คุ้นเคยถูกเปิดเผยภายใต้ม่านรัตติกาล มันได้ดึงดูดความสนใจของผู้บ่มเพาะทุกคนทันที
เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่าซูหว่านเอ๋อร์ยังคงรักษาอันดับที่หนึ่งได้ หลายคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยไม่รู้ตัว ทว่าเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่าอันดับของเถี่ยอวิ๋นผิงได้เพิ่มขึ้นจากอันดับที่สี่สิบมาเป็นอันดับที่ยี่สิบเอ็ดจริง ๆ ก็ทำให้เกิดความแตกตื่นทันที
เป็นที่ทราบกันดีว่า ยิ่งอันดับสูงเท่าใด การแข่งขันก็จะยิ่งเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้าสิบอันดับแรก การไต่ขึ้นเพียงอันดับเดียว ก็ยากพอ ๆ กับการขึ้นสวรรค์
แต่ท่ามกลางสถานการณ์ที่โหดร้ายและรุนแรงเช่นนี้ ชื่อของเถี่ยอวิ๋นผิงกลับค่อย ๆ สูงขึ้นราวกับดวงดาว และนางไต่ขึ้นมาครอบครองอันดับที่ยี่สิบเอ็ด แล้วพวกเขาจะไม่ตกใจได้อย่างไร?
“นางทำสิ่งนี้สำเร็จได้อย่างไร”
“เจ้าควรถามคำถามนั่นกับเฉินสวิน ข้าเคยจับตาดูนางมาก่อนหน้านี้แล้ว และจำนวนสัตว์ร้ายที่ขอบเขตเทวาวิญญาณที่นางล่ามาจนถึงเมื่อวานคือสามร้อยเจ็ดสิบตัว ทว่ายามนี้กลับเพิ่มขึ้นเป็นหกร้อยเก้าสิบสามตัวแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่ง เพียงแค่วันเดียว นางได้ฆ่าสัตว์ร้ายขอบเขตเทวาวิญญาณไปถึงสามร้อยยี่สิบสามตัว!”
“สามร้อยยี่สิบสามตัว! นั่นคือสัตว์ร้ายมากกว่าสามร้อยตัวที่เทียบได้กับเทวารู้แจ้งวิญญาณ เฉินสวินทำสิ่งนั้นสำเร็จได้อย่างไร?”
“อัศจรรย์ยิ่งนัก! มันเหนือจินตนาการอย่างแท้จริง!”
“หากพวกเขายังเดินหน้าต่อไปด้วยความเร็วเช่นนี้ เมื่อการชุมนุมล่าดาราสิ้นสุดลงในอีกสองวันนับจากนี้ อันดับของเถี่ยอวิ๋นผิงอาจขึ้นสู่สิบอันดับแรก!”
ผู้คนกล่าวคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา ซึ่งดูเหมือนว่าเฉินซีและเถี่ยอวิ๋นผิงจะกลายเป็นหัวข้อที่พวกเขาพึงพอใจที่จะกล่าวถึง
หากเป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลที่ทำสิ่งนี้สำเร็จ พวกเขาก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย ทว่าทั้งหมดนี้กลับสำเร็จได้โดยเทวารู้แจ้งวิญญาณ ซึ่งดูเหมือนว่าจะผิดปกติเกินไปและไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย!
เด็กคนนั้นมาจากที่ใดกัน? ไยถึงผิดปกติได้ปานนี้?
คำถามเหล่านี้ยังคงอยู่ในใจของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่ามันจะรุนแรงมากในยามนี้ และมันทำให้พวกเขาไม่สามารถสงบจิตใจได้
มีเพียงจักรพรรดินีอวี้เชอและอวิ๋นชิงเท่านั้นที่ยังคงเพ่งความสนใจไปที่ดาววิญญาณมลทิน พวกเขากำลังสั่งสมกำลัง ในขณะที่รอให้กระบี่มลทินอเวจีปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ
ตามที่คาดไว้ ในไม่ช้ากระบี่มลทินอเวจีได้ปลดปล่อยปราณกระบี่ออกมาอีกครั้ง และมันลอยขึ้นเหนือสวรรค์ทั้งเก้า ราวกับกำลังจะฟันเทียบอันดับล่าบนท้องฟ้าจนแยกออกจากกัน
จักรพรรดินีอวี้เชอลงมืออย่างไม่ลังเล นางชักกระบี่พิฆาตฟ้าออกมา ทว่ากลับต้องประหลาดใจ เพราะค่ำคืนนี้ไม่มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น ทำให้การต่อสู้จบลงด้วยผลที่เสมอกันอีกครั้ง
สิ่งนี้ทำให้จักรพรรดินีอวี้เชอรู้สึกงุนงงเล็กน้อย “หรือว่าร่องรอยของการพลิกตาลปัตรจากร้ายกลายเป็นดีที่ปรากฏเมื่อค่ำคืนนี้จะหายไปแล้ว?”
หรือบางทีอาจมีมากกว่าที่ตาเห็น?
อวิ๋นชิงก็สับสนเช่นกัน และขมวดคิ้วพลางครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
“จับตาดูต่อไป ตามการทำนายที่ข้าได้รับจากผู้ยิ่งใหญ่ในเอกภพจักรวรรดิ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับข้าที่จะปราบกระบี่มลทินอเวจี หากพลาดครั้งนี้ ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะพบโอกาสเช่นนี้อีกครั้ง”
จักรพรรดินีอวี้เชอสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะที่ชุดสีแดงเพลิงปลิวไปตามสายลม นางเป็นเหมือนดอกบัวสีแดงที่แกว่งไกวท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน นางสูงส่ง สง่า และโดดเดี่ยว
ดวงตาของอวิ๋นชิงหรี่ลง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมจักรพรรดินีอวี้เชอจึงเต็มใจที่จะไม่หยุดยั้งเพื่อปราบกระบี่มลทินอเวจีในระหว่างการชุมนุมล่าดาราครั้งนี้ ปรากฏว่าเป็นเพราะคำแนะนำของผู้ยิ่งใหญ่จากเอกภพจักรวรรดิ!
หากใครก็ตามในโลกนี้ที่มีคุณสมบัติพอจะให้คำแนะนำแก่จักรพรรดินีอวี้เชอได้ แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นที่ปลีกวิเวกอยู่อย่างสันโดษภายในเอกภพจักรวรรดิ
“วันนี้เฉินสวินมีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?” จู่ ๆ จักรพรรดินีอวี้เชอก็ถามคำถามนี้ขึ้นมากะทันหัน
เทียบอันดับการล่าลอยอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืน และอันดับของเถี่ยอวิ๋นผิงก็เด่นเป็นสง่า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะวัดประสิทธิภาพของเฉินซีจากสิ่งนี้ และเห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่จักรพรรดินีอวี้เชอกำลังถามถึง
“เด็กน้อยคนนั้นดูเหมือนจะมีสมบัติล้ำค่าบางอย่าง ทำให้พลังชีวิตยากที่จะระบุตำแหน่งได้ เป็นเพราะเหตุนี้เขาจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบเมื่อต้องรับมือกับดวงวิญญาณแปดเปื้อนเหล่านั้น สำหรับเรื่องอื่น ข้ายังคงไม่สามารถระบุได้” อวิ๋นชิงเรียบเรียงความคิด ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา
“สมบัติล้ำค่าที่สามารถปกปิดพลังชีวิต? ไม่ หากเป็นเช่นนั้น เขาจะไม่สามารถดึงดูดความสนใจของกระบี่มลทินอเวจีได้อย่างแน่นอน จากการสังเกตของข้า เด็กคนนั้นอาจเก็บงำความลับบางอย่าง”
จักรพรรดินีอวี้เชอดูเหมือนจะจมอยู่กับความคิด ดวงตาที่สุกใสเปล่งประกายด้วยแสงอันลวงตา “หากอิงจากต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดาของเด็กน้อยคนนั้น มันก็ควรค่าที่เจ้าต้องให้ความสนใจมากขึ้น”
นางไม่ได้บอกว่าควรใส่ใจอะไรมากกว่านี้ แต่อวิ๋นชิงก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง “หรือว่าฝ่าบาทจะทราบต้นกำเนิดของเด็กคนนั้นแล้ว?”
“กระหม่อมทราบแล้ว” ในท้ายที่สุด อวิ๋นชิงก็พยักหน้า และไม่ได้สักถามอะไรมากไปกว่านี้ เมื่อกล่าวถึงบางสิ่ง ในเมื่อจักรพรรดินีอวี้เชอไม่ได้กล่าวไว้ ดังนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทาสเทพเช่นเขาควรรู้
…
รุ่งอรุณมาถึงอย่างเช่นเคย และเหลือเวลาเพียงสองวันก่อนที่การชุมนุมล่าดาราจะสิ้นสุดลง
จากการจัดอันดับล่าที่ปรากฏเมื่อคืนนี้ มีผู้เข้าร่วมเพียงหนึ่งร้อยสิบสามคนที่ยังไม่ถูกคัดออก
ในทางกลับกัน มีผู้เข้าร่วมไม่ถึงสิบคนที่ก้าวเข้าสู่ดาววิญญาณมลทิน ซึ่งรวมถึงเฉินซีและเถี่ยอวิ๋นผิง กวนหงอวี่และซูหว่านเอ๋อร์
สำหรับผู้เข้าร่วมคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าสู่ดาววิญญาณมลทิน เนื่องจากคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง ดังนั้นจึงเลือกออกล่าอยู่ที่ดวงดาวรอบนอก
ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยอันดับในปัจจุบัน พวกเขาเพียงแต่ต้องยืนหยัดจนถึงที่สุด เพื่อรับรางวัลมากมาย
ณ ดาววิญญาณมลทิน
เมื่อรุ่งอรุณมาถึง เฉินซีได้พาเถี่ยอวิ๋นผิงออกเดินทางข้ามภูเขาและผ่านหมอกสีดำหนาทึบ
ตลอดทั้งเช้า เฉินซีใช้กลยุทธ์เดิม จัดการกับดวงวิญญาณแปดเปื้อนไปสามชุด ซึ่งมีมากถึงเก้าสิบสามตัว
หากเป็นคนอื่น ๆ ความสำเร็จดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่าพอใจแล้ว แต่ถ้าเทียบกับความสำเร็จเมื่อวานนี้ เฉินซีกลับขมวดคิ้วและไม่พอใจเล็กน้อย
เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน ชายหนุ่มก็หยุดปฏิบัติการต่อดวงวิญญาณแปดเปื้อนอย่างกะทันหัน จากนั้นเงยหน้าขึ้นแทน และจ้องมองไปทางทิศตะวันออก
ชายหนุ่มครุ่นคิด ด้วยความเร็วในการล่าเช่นนี้ แม้เขาจะสามารถทำให้เถี่ยอวิ๋นผิงขึ้นสู่สิบอันดับแรกได้ ก่อนที่การชุมนุมล่าดาราจะสิ้นสุดลง แต่เขาก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าต้นอ่อนเงาทมิฬจะผ่านการเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ!
นี่คือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเฉินซีถึงขมวดคิ้วและรู้สึกไม่พอใจ
“จากนี้ไป เราจะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก!” ในท้ายที่สุด ความเด็ดเดี่ยวก็ฉายวาบผ่านดวงตาของเฉินซี และได้ตัดสินใจแน่วแน่ ก่อนหน้านี้ เขามักจะหลีกเลี่ยงทางทิศตะวันออกอยู่เสมอ เพราะกังวลจะถูกโจมตีโดยกระบี่มลทินอเวจี
แต่เป็นที่ประจักษ์ว่ากลยุทธ์ที่ปลอดภัยดังกล่าวมีข้อบกพร่อง และเขาไม่สามารถหาปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ต้นอ่อนเงาทมิฬเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ
เถี่ยอวิ๋นผิงตกตะลึง จากนั้นนางก็พยักหน้า “ข้าจะทำตามการตัดสินใจของผู้อาวุโส”
ประสบการณ์ของนางในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ทำให้นางรู้สึกไว้ใจเฉินซีอย่างไม่มีข้อแม้ ดังนั้นนางจึงไม่สงสัยหรือตั้งคำถามใด ๆ
“มันอาจเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แต่ไม่ต้องกังวล ข้าจะทุ่มสุดตัว และข้ารับประกันว่าเจ้าจะสามารถยืนหยัดได้จนกว่าจะสิ้นสุดการชุมนุมล่าดารา” เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
พลังชีวิตของเขารุนแรงมาก ในขณะที่ความตั้งใจก็น่าเกรงขามอย่างยิ่ง ชายหนุ่มสามารถสัมผัสได้ชัดเจนว่า ยิ่งเข้าใกล้ทางทิศตะวันออกของดาววิญญาณมลทิน ไม่เพียงแต่จำนวนของดวงวิญญาณแปดเปื้อนจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น แม้แต่บรรยากาศก็เริ่มมีแรงกดดันอย่างน่าสะพรึงกลัว
มันคือกลิ่นอายของกระบี่มลทินอเวจี มันน่าสยดสยอง ชั่วร้าย เย็นยะเยือก และไร้ความปรานี ทำให้เฉินซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปฏิบัติต่อมันอย่างระมัดระวัง
เถี่ยอวิ๋นผิงพยักหน้า ใบหน้าเล็ก ๆ ถูกปกคลุมด้วยท่าทางหนักแน่น ถึงแม้เฉินซีจะขอให้นางถอนตัวจากการแข่งขันในตอนนี้ นางก็คงจะตอบตกลงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เพราะนางสัมผัสได้ว่า หลังจากที่ได้ประสบกับการล่าที่ดำเนินมาเกือบสองเดือนนี้ ความแข็งแกร่งของนางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นอย่างมาก ดังนั้นแม้นางจะไม่ได้รับโอสถทวิวิญญาณ แต่นางก็มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น ในขณะนี้ นางจึงเลิกสนใจอันดับของนางในการชุมนุมล่าดาราไปนานแล้ว
เฉินซีไม่ได้กล่าวอะไรอีกต่อไป เมื่อตัดสินใจแล้ว เขาจะไม่เสียเวลาอีกต่อไป และนำเถี่ยอวิ๋นผิงเข้าใกล้ทางทิศตะวันออกมากขึ้น
ในระหว่างทาง พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงต่อการเผชิญหน้ากับฝูงดวงวิญญาณแปดเปื้อนได้ แต่พวกมันก็ไม่สามารถขัดขวางฝีเท้าของเฉินซีได้เลย
เมื่อพลบค่ำมาถึง พวกเขาก็ล่าและสังหารสัตว์ร้ายขอบเขตเทวาวิญญาณไปกว่าสามร้อยตัวแล้ว และหากทำงานหนักอีกสักหน่อย ความสำเร็จในวันนี้ ก็จะเทียบได้กับความสำเร็จของเมื่อวาน
อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานของเฉินซีไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เขามาที่นี่เพื่อค้นหาปัจจัยสำคัญสำหรับต้นอ่อนเงาทมิฬ เพื่อช่วยให้มันเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ แต่น่าเสียดาย ที่เขายังไม่ได้เบาะแสใด ๆ จนถึงเวลานี้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการเผชิญหน้าโดยบังเอิญจึงเกิดได้ยาก มันเป็นดั่งภาพลวงตาและไม่มีอยู่จริง ทั้งยังไม่มีร่องรอยให้ค้นพบ ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงทำได้เพียง ‘วัดดวง’ เท่านั้น และไม่สามารถค้นหามันด้วยตนเองได้
อย่างไรก็ตาม ในตลอดทางที่ผ่านมา เฉินซีสังเกตเห็นว่า เมื่อพวกเขาเคลื่อนตัวลึกเข้าไปในบริเวณทางทิศตะวันออก ปราณมลทินอเวจีในอากาศก็หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบัน มันมีความหนาแน่นเหมือนของเหลว และปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน
ยิ่งกว่านั้น ความหนาวเย็นและแรงกดดันอันน่าสยดสยองที่แผ่ออกมาจากกระบี่มลทินอเวจีก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และมันเหมือนกระบี่คมกริบที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ ทำให้ทั้งสองเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
ถึงขั้นที่ความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณแปดเปื้อนเริ่มที่จะน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม พวกมันเทียบได้กับเทวาวิญญาณชั้นยอด และถ้าเฉินซีไม่ผนึกอักขระเต๋าเพื่อปกปิดพลังชีวิต ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะมาที่นี่อย่างง่ายดายเช่นนี้
ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังต้องเผชิญกับการต่อสู้มากมายตลอดทาง บางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่บางสิ่งเฉินซีเป็นผู้เริ่มโดยเจตนา และวัตถุประสงค์ในการทำเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใดนอกจากต้องการช่วยให้เถี่ยอวิ๋นผิงได้ไต่อันดับ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเลิกสนใจไปนานแล้วก็ตาม
นี่เป็นหลักการของเฉินซี เขาต้องทำสิ่งที่สัญญาไว้ให้สำเร็จ และไม่ได้หวังว่าคนอื่นจะต้องรู้สึกขอบคุณ แต่พยายามมีจิตสำนึกที่แน่วแน่
ครืน!
หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยชา คลื่นการต่อสู้ที่ผันผวนอย่างรุนแรงก็พัดออกมาจากหมอกสีเทาหนาทึบในระยะไกล มันทำให้สภาพแวดล้อมปั่นป่วน ทำให้แม้แต่มิติยังบิดเบี้ยวและกลายเป็นความวุ่นวาย
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเสียงคำรามของดวงวิญญาณแปดเปื้อนดังก้องมาตามสายลม และดูเหมือนว่าจะน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
สิ่งนี้ทำให้จิตใจเฉินซีสั่นไหวจนต้องระมัดระวังถึงขีดสุด จากนั้นจึงแผ่ขยายจิตสัมผัสออกไป ในเวลาไม่นานนัก คิ้วของเขาก็เลิกขึ้น พลันกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ที่แท้พวกมันเอง!”
…………….