บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1624 เหมือนกระดิกนิ้ว
บทที่ 1624 เหมือนกระดิกนิ้ว
ท้องฟ้าเป็นสีเทาและขุ่นมัวไปหมด ในขณะที่มีเงาร่างดำสนิทจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนผ่านฟ้าดินอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด พวกเขาข้ามมิติทำลายห้วงอากาศจนเกิดความวุ่นวายไปหมด
เงาร่างดำสนิทล้วนเป็นดวงวิญญาณแปดเปื้อน ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณมลทินอเวจีสีดำ เหมือนสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่มาจากแดนชำระล้าง พวกมันมุ่งหน้าไปทั่วทิศด้วยใบหน้าโหดเหี้ยม
ตู้ม!
กวนหงอวี่ซัดกระบี่ใส่ ปราณกระบี่พุ่งออกไปเป็นเส้นแสง ขับไล่ดวงวิญญาณแปดเปื้อนกว่าสิบดวงที่นำอยู่ออกไปได้
ตอนนี้ชุดถูกย้อมไปด้วยสีเลือด ผมยาวสยายคลอไหล่ ใบหน้าสุขุมนุ่มลึกถูกอารมณ์เย็นชาและจิตสังหารทดแทนอยู่ในตอนนี้
สายตาของกวนหงอวี่เย็นยะเยือก ริมฝีปากเม้มแน่น ถึงจะถูกล้อมอยู่ตอนนี้ แต่ก็ยังดูมั่นคงเหมือนศิลากลางมหาสมุทร ไม่ว่าจะถูกคลื่นสาดสักเพียงใด ก็ยังไม่อาจเคลื่อนไหวศิลานั้นได้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป กวนหงอวี่ก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น ใบหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้น
เป็นเพราะซูหว่านเอ๋อร์ใช้เรี่ยวแรงไปจนหมดแล้ว ใบหน้าอ่อนหวานของนางตอนนี้ซีดขาว ร่างบางเองก็อ่อนแรงจนสั่นเล็กน้อย
แม้นางจะกัดริมฝีปากแดงแน่นและไม่ยอมพูดอะไร กวนหงอวี่ก็รู้ว่าดวงจิตแห่งเต๋าของนางถูกโจมตีหนัก ใกล้จะถูกปราณมลทินอเวจีรุกล้ำเข้ามาได้แล้ว
จึงทำให้กวนหงอวี่หนักใจยิ่ง แต่ก็ทำได้เพียงปกป้องซูหว่านเอ๋อร์ไว้ให้ดีที่สุด และขับไล่ดวงวิญญาณแปดเปื้อนที่เข้าโจมตีฝูงแล้วฝูงเล่า
“หว่านเอ๋อร์ อดทนไว้ก่อนนะ หากเราทนไว้จนถึงย่ำค่ำพรุ่งนี้ได้ก็จบแล้ว” กวนหงอวี่พยายามทำเสียงให้ผ่อนคลายที่สุดเพื่อเป็นกำลังใจให้ซูหว่านเอ๋อร์
“ศิษย์พี่ ข้าจะทำให้ได้ อย่าเสียสมาธิเพราะข้าเลย ในเมื่อข้าสามารถประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ในการชุมนุมล่าดาราครั้งนี้ ถึงจะถูกคัดออกไปตอนนี้ ก็ไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิด” ซูหว่านเอ๋อร์ฝืนยิ้ม นางเองก็ทำเป็นผ่อนคลายเพราะไม่อยากให้กวนหงอวี่กังวลเช่นกัน
มีหรือนางจะไม่รู้ว่าร่างกายของกวนหงอวี่เองก็ใช้พลังต่อสู้กับดวงวิญญาณแปดเปื้อนไปจนเกือบหมดแล้ว
ครืน!
ดวงวิญญาณแปดเปื้อนอีกกลุ่มพุ่งเข้ามา กวนหงอวี่จึงไม่มีเวลาพูดได้แต่ต้องสู้เต็มกำลัง
แต่ในใจมีความกังวลอยู่เล็กน้อย หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ พวกเขาจะฝืนทนจนถึงค่ำได้หรือ?
อึก!
ทันใดนั้น ซูหว่านเอ๋อร์ก็ร่างสะท้าน ก่อนสำลักเลือดออกมา พลังวิญญาณและแก่นพลังทั้งหลายภายในร่างแทบถึงขีดสุด
“หว่านเอ๋อร์!” กวนหงอวี่ตกใจมาก เขากัดฟันแบกร่างซูหว่านเอ๋อร์ไว้บนหลัง “หยุดคิดเรื่องอื่นแล้วกินยาเข้าไปเสีย!”
ตู้ม!
แค่ใจเผลอไปจังหวะเดียว ดวงวิญญาณแปดเปื้อนก็ฉวยโอกาสพุ่งเข้ามาใส่ร่างกวนหงอวี่จนเขาเซถอยหลังไป เลือดในกายพลุ่งพล่านไปหมด
“ศิษย์พี่ระวัง!” ซูหว่านเอ๋อร์ร้องเสียงหลง
“ข้าไม่เป็นไร” กวนหงอวี่กัดฟันใช้วิชาลับ แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกจากร่าง กลิ่นอายกลับมามั่นคงอีกครั้ง ฝืนโจมตีผลักดวงวิญญาณแปดเปื้อนพวกนั้นกลับไป
แต่เวลาผ่านไปเกือบเค่อ หน้าตาเขาก็ยิ่งซีดขาว ลมหายใจหอบหนัก เป็นสัญญาณเหมือนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
ช่วยไม่ได้นี่นะ ดวงวิญญาณแปดเปื้อนพวกนั้นมากันมากมายเหลือเกิน พวกมันมีกำลังมากทั้งยังไม่กลัวตาย จึงไม่อาจทำลายดวงวิญญาณแปดเปื้อนทั้งหมดลงได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่ากวนหงอวี่จะมีพลังต่อสู้สะท้านฟ้าแค่ไหน อย่างไรก็ไม่อาจทนการต่อสู้ที่ลากยาวเช่นนี้ได้
หากเขาได้พักสักนิด สถานการณ์ก็คงไม่เลวร้ายเช่นนี้
บ้าเอ๊ย!
สายตาจดจ้องแต่ยังฝูงดวงวิญญาณแปดเปื้อนที่กำลังรุดเข้ามาจากทุกทิศทาง กวนหงอวี่ได้แต่ถอนหายใจ หรือว่าพวกเราจะต้องจบลงตรงนี้นะ?
แต่ข้าไม่ปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้นแน่!
ซูหว่านเอ๋อร์รั้งอันดับแรกมาโดยตลอด จะมาแพ้ตรงนี้ได้อย่างไร?
อีกทั้งการชุมนุมล่าดาราจะจบลงย่ำค่ำพรุ่งนี้แล้ว เห็นชัยชนะอยู่รำไรใครจะไปยอมแพ้?
ครืน!
แต่ไม่ว่าในใจจะโกรธแค้นหรือไม่เต็มใจเพียงใด พวกดวงวิญญาณแปดเปื้อนก็ยังโจมตีเข้ามาไม่หยุดหย่อน หน้าตาของพวกมันไร้อารมณ์และดูน่าหวาดกลัวยิ่ง
ต้องทนให้ได้! ต้องทำให้ได้! กวนหงอวี่คำรามในใจ นัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด
ตอนนี้พลังกายเขาหมดสิ้นแล้ว ที่ยังยืนอยู่ตอนนี้ได้คือกำลังใจล้วน ๆ
แต่ยิ่งเวลาผ่านไป กำลังใจที่แข็งแกร่งก็เริ่มสั่นคลอน จิตใจเริ่มรู้สึกไม่ชัดเจนขึ้นมา
ตู้ม!
ทันใดนั้นก็มีแรงโจมตีหนึ่งซัดเข้ามาจนร่างกวนหงอวี่ปลิวไป กระทั่งซูหว่านเอ๋อร์ที่อยู่บนหลังก็กระเด็นไปด้วย
แต่ก่อนที่ร่างจะกระแทกลงกับพื้น ดวงวิญญาณแปดเปื้อนจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง พวกมันสะสมพลังรอจังหวะศัตรูร่วงลงมา คล้ายกับอยากฉีกร่างเขาเป็นชิ้น ๆ
เราจะรอดจนถึงช่วงสุดท้ายหรือไม่นะ…? ไม่ว่าเขาจะเก่งแค่ไหน กวนหงอวี่ก็อดรู้สึกสิ้นหวังในสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้
จะเป็นตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงกระบี่คำรามลั่นอยู่ข้างหู เหมือนเสียงคำรามของมังกรและเสียงของเต๋า ตอนแรกก็เป็นเสียงเบา ๆ แต่ไม่นานมันก็ดังจนก้องฟ้าดิน!
ข้าเห็นภาพหลอนไปหรือ? กวนหงอวี่ชะงักไป เขาเงยหน้าขึ้นมองรอบข้าง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าดวงวิญญาณแปดเปื้อนที่เดิมทีกำลังพุ่งเข้ามาจับทุกทิศกลับกลายเป็นเหมือนซากศพขาดวิ่นแล้วร่วงลงกับพื้น
นี่มัน… กวนหงอวี่ตกตะลึงไม่อยากเชื่อสายตาตน
“ศิษย์พี่ มันไม่ใช่ภาพหลอนใช่หรือไม่?” เสียงซูหว่านเอ๋อร์ที่ดังขึ้นข้างหูเหมือนนางกำลังละเมอ
ชิ้ง!
เสียงกระบี่คำรามขึ้นอีกครั้ง คราวนี้กวนหงอวี่เห็นมันอย่างชัดเจน มันคือกระแสปราณกระบี่จำนวนมากที่ซัดลงจากฟ้า!
พวกมันเหี้ยมโหด รวดเร็ว ทั้งยังรุนแรง ส่องแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งกฎปกคลุมไปทั่วฟ้า ดูสง่างามดั่งมังกร รวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด และหนาแน่นเหมือนพายุฝน ปกคลุมไปทั่วฟ้าดินจนเกิดรอยแยกในห้วงอากาศ
พวกดวงวิญญาณแปดเปื้อนกลับถูกพายุปราณกระบี่กลืนกิน…
อึก!
กวนหงอวี่อ้าปากค้างเมื่อได้สติกลับคืน รู้แล้วว่ามียอดฝีมือเข้ามาช่วย!
เขารีบพยุงร่างลุกขึ้น จากนั้นแหงนหน้ามองอีกครั้ง บนนั้นไม่เหลือดวงวิญญาณแปดเปื้อนในระยะหมื่นลี้ที่ยังอยู่ในสภาพดีเลย!
อีกทั้งหมอกมืดที่กระจายตัวอยู่รอบก็สลายหายไปสิ้น
จากนั้น ทั้งกวนหงอวี่กับซูหว่านเอ๋อร์ก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งใช้วิชาเคลื่อนมิติไปมาอยู่ในสนามต่อสู้พร้อมกับกระบี่ในมือ แต่ละท่วงท่ากระบี่สะบั้นศีรษะของดวงวิญญาณแปดเปื้อนร่วงลงกับพื้น ทุกการเคลื่อนไหวนั้นแม่นยำเชี่ยวชาญ ดูท่าคงไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเช่นนี้
มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้กวนหงอวี่กับซูหว่านเอ๋อร์ตกตะลึงนัก จิตใจพร่ามัวไปเล็กน้อย ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป เร็วจนพวกเขายังไม่ทันหายตกใจ
“พวกเจ้าสองคนเป็นอะไรหรือไม่?” ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงเรียบเรื่อยดังขึ้น ดึงสติกวนหงอวี่กับซูหว่านเอ๋อร์กลับมา
ทั้งสองหันไปมอง ก็เห็นร่างสูงของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นใกล้ ๆ ส่งสายตาเรียบเรื่อยมาให้
กวนหงอวี่พลันเข้าใจ ร้องออกมาว่า “เฉินสวิน?”
หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาเองก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในอันดับล่าเช่นกัน ย่อมได้ยินทุกอย่างเกี่ยวกับเฉินซีกับเถี่ยอวิ๋นผิงมาบ้าง
ดังนั้นเมื่อควบรวมกับความสามารถล้นฟ้าที่เฉินซีเผยให้เห็นระหว่างสังหารดวงวิญญาณแปดเปื้อนรอบกายในตอนนี้แล้ว กวนหงอวี่จึงรู้ว่าคนตรงหน้าคือเฉินสวินอย่างแน่นอน!
ถึงขั้นที่ยังจำได้ว่าเขาเคยพบชายผู้นี้ตอนลงชื่อเข้าร่วมการชุมนุมล่าดารา ได้เห็นการต่อสู้ของอีกฝ่ายอยู่ไกล ๆ ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าเฉินซีไม่เหมือนใคร แต่ก็ไม่คิดว่าจะไม่เหมือนใครมากเช่นนี้
“ใช่แล้ว” เฉินซีพยักหน้า
“เป็นเจ้าจริงด้วย!” เมื่อได้ยินชื่อนี้ ซูหว่านเอ๋อร์ก็ตกใจเช่นกัน จากนั้นจึงเข้าใจเรื่องราวแต่ก็ไม่อยากเชื่อไปพร้อมกันด้วย ชายหนุ่มตรงหน้านางคือ เฉินสวินที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจนี่เอง!
เฉินซียิ้มแล้วไม่ได้อธิบายอะไรอีก
เขาลงมือช่วยเหลือทั้งคู่เมื่อครู่เพราะเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก อย่างไรระหว่างพวกเราก็ไร้ความเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน เฉินซีไม่ใช่คนใจแคบที่จะมองผู้เข้าร่วมการชุมนุมล่าดาราทุกคนเป็นศัตรูเสียหน่อย
“สหายเต๋า ขอบคุณเจ้ามาก!” กวนหงอวี่ป้องมือเอ่ยคำเสียงจริงจัง
“ขอบคุณ” ซูหว่านเอ๋อร์ลงจากหลังกวนหงอวี่มาคำนับให้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้ หากไม่ได้เฉินซีช่วยไว้พวกเขาก็คงถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่จำเป็นหรอก ก็แค่เรื่องเล็กเหมือนกระดิกนิ้วมือเท่านั้น” เฉินซียิ้ม จากนั้นก็หันหลังเดินไปหาเถี่ยอวิ๋นผิง
การชุมนุมล่าดาราเหลือเวลาอยู่เพียงไม่ถึงวันก็จะจบลงแล้ว เขายังหาสิ่งที่ทำให้ต้นอ่อนเงาทมิฬแปรเปลี่ยนให้สมบูรณ์ไม่ได้เลย เขาจึงไม่อยากเสียเวลาอีก
ในขณะเดียวกันนั้น เถี่ยอวิ๋นผิงก็เพิ่งเก็บกวาดสนามต่อสู้เสร็จ พอเห็นเฉินซีเดินมาหาก็กล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “ครั้งนี้มีตั้งสองร้อยสามสิบเก้าตัว”
ตัวเลขเหมือนจะไม่เท่าไหร่ แต่พวกมันมีฝีมือทัดเทียมขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณ นับว่ามีมูลค่าเกินกว่าจำนวนนี้มากนัก
“ไปต่อเถอะ” เฉินซีพยักหน้าให้
เมื่อเห็นว่าเฉินซีคิดจะจากไปทั้งอย่างนั้น กวนหงอวี่ก็อึ้งไป จากนั้นก็เหมือนคิดอะไรได้แล้วรีบพูดออกมาว่า “สหายเต๋าหยุดก่อน จะเริ่มเข้าเขตแดนของกระบี่มลทินอเวจีในอีกสามหมื่นลี้จากที่นี่ เมื่อเจ้าเข้าเขตแดนนั้นเมื่อไหร่ก็เท่ากับเกินกำลัง อาจพบเจอเรื่องไม่คาดฝันได้!”
เฉินซีมุ่นคิ้ว เงียบไปเล็กน้อยก่อนกล่าวขึ้น “ขอบคุณสำหรับคำเตือนด้วย สหายเต๋า”
ว่าแล้วเขาก็เดินนำหน้าเถี่ยอวิ๋นผิงไปต่อ ไม่คิดหยุดฝีเท้าสักนิด
นั่นจึงทำให้กวนหงอวี่ชะงักไป เขามองเฉินซีอยู่นานก่อนจะหัวเราะเสียงขื่นแล้วส่ายหน้า ไม่อาจเข้าใจการกระทำของเฉินซีได้
“ศิษย์พี่ ท่านว่าเขาคิดจะสยบกระบี่มลทินอเวจีหรือไม่?” ซูหว่านเอ๋อร์พลันถามขึ้น
กวนหงอวี่อึ้งไป ยักไหล่แล้วตอบ “ใครจะไปรู้? แต่ไม่ว่าอย่างไรเราก็ติดหนี้บุญคุณเขา ต่อไปต้องหาโอกาสตอบแทนให้ได้”
เขาหยุดไปจังหวะหนึ่งแล้วว่าต่อ “ไปเถอะ ออกไปจากที่นี่กันก่อน”
ตอนนี้ทั้งคู่หมดเรี่ยวหมดแรง สิ่งสำคัญในตอนนี้คือต้องกลับไปฟื้นพลัง
ค่ำคืนมาเยือน บรรยากาศที่เดิมทีเป็นสีเทาครึ้มยิ่งเพิ่มความมืดมนขึ้นไปทบทวี
ม่านราตรีกำลังโรยตัว กวนหงอวี่จึงได้แต่หันไปอีกครั้ง มองไปทางเฉินซีกับเถี่ยอวิ๋นผิงที่จากไปด้วยความคิดสงสัยเต็มหัวใจ
ทำไมพวกเขา… ถึงตรงไปทางนั้นเล่า?
…
บนท้องฟ้าพร่างดาว จักรพรรดินีอวี้เชอพลันลืมตาขึ้น ชุดสีแดงเพลิงสะบัดพลิ้วไปตามลม นางจับจ้องไปยังฟ้าไกล ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึก “อวิ๋นชิง ทุกอย่างจะจบลงในเวลาย่ำค่ำพรุ่งนี้ คืนนี้เป็นวันสุดท้ายในการสยบกระบี่มลทินอเวจีแล้ว เจ้าพร้อมหรือไม่?”
“ข้าจะทำเต็มที่!” อวิ๋นชิงที่หลังโค้งงอเล็กน้อยพลันยืดจนตรง ใบหน้าแก่ชราเผยแววเย่อหยิ่งหากแต่มุ่งมั่น เหมือนมีจิตพลังกดดันบีบคั้นที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้
…………….